Rising Ball คีย์หลักที่สำคัญในการคอนโทรลเกมบนคอร์ตเทนนิสตั้งแต่ยุค 2000s เป็นต้นมา

กระทู้สนทนา
เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงจบปี 2025 ของเทนนิสไปแล้ว วันนี้ผมเลยอยากจะมาชวนคุยเรื่องนึงที่สำคัญมากสำหรับเทนนิสยุคใหม่ นั่นก็คือ Rising Ball นั่นเองครับ ซึ่งนับว่าเป็นลูกที่ตีได้ยากถึงยากมาก แต่ถ้าใครตีได้ในระดับที่สมบูรณ์แบบก็สามารถที่จะคุมเกมได้แทบจะทั้งหมดเลยทีเดียว ซึ่งบนโลกนี้แทบจะนับนิ้วได้เลยว่าใครตีได้ในระดับนั้นบ้าง สำหรับคนที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เดี๋ยวผมจะมาอธิบายให้ฟังครับ

Rising Ball คือ การตีลูกเทนนิสในขนะที่ “ลูกยังกระดอนไม่ถึงจุดสูงสุด“ ซึ่งจะต่างจากการตีทั่วไปที่เรามักจะรอให้ลูกเทนนิสกระดอนถึงจุดสูงสุดจนบอลตกลงมาเล็กน้อยแล้วค่อยตี (หรือที่เรียกกันว่ารอตีจังหวะสองนั่นล่ะ) โดยคนแรกๆที่ตีลูก Rising Ball ได้สมบูรณ์แบบแล้วทำให้มันโด่งดังไปทั่วโลกก็คือ Andre Agassi นั่นเองครับ

ข้อดีของการตี Rising Ball ก็คือ

- ลูกจะกลับไปหาคู่ต่อสู้ได้เร็วกว่าปกติ ทำให้คู่ต่อสู้มีเวลาในการเตรียมตัวตีในแต่ละ Shot น้อยลง ส่งผลให้เรากลายเป็นคนที่สามารถชิงเปิดเกมบุกก่อนและคุมเกมได้ทั้งหมด
- สามารถใช้การยืมแรงจากลูกที่คู่ต่อสู้ตีมาเพื่อตีโต้กลับไปได้ ด้วยความที่ลูกยังกระดอนไม่ถึงจุดสูงสุด ทำให้ลูกยังมีความแรงอยู่ ซึ่งมีประโยชน์มากกับการรับมือคนที่ตี Topspin หนักๆ เช่น Nadal ส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องถอยไกลจากเส้น Baseline มากนัก

จะเห็นได้เลยว่า Rising Ball มีประโยชน์มากทั้งในเกมรุกและเกมรับ โดยในเกมรุกมันจะทำให้เราสามารถบีบคู่ต่อสู้ให้ต้องเล่นเกมรับไปโดยอัตโนมัติ ส่วนในเกมรับมันจะช่วยให้เราไม่ต้องถอยจากเส้น Baseline ไกล ทำให้คู่ต่อสู้ไม่สามารถบีบเราให้ถอยไกลๆแล้วรอตีจังหวะสองได้ (ใน Grass court และ Hard court จะเห็นผลได้ชัดเจนที่สุด)

แต่ข้อเสียใหญ่ๆของ Rising Ball ก็คือมันต้องอาศัยฟุตเวิร์คที่ดี ปฏิกิริยาการตอบสนองที่รวดเร็ว การอ่านทิศทางของลูกที่คู่ต่อสู้ตีมาอย่างแม่นยำ และวงสวิงที่มีความกระชับ ถ้าคุณมีไม่ครบทั้ง 4 อย่างนี้ การตี Rising Ball จะกลายเป็นจุดอ่อนให้คู่ต่อสู้เล่นงานคุณทันที

ถ้าเรามาไล่ดูรายชื่อนักเทนนิสชายที่ตี Rising Ball ได้ในระดับที่สมบูรณ์แบบนั้น จะมีอยู่แค่ไม่ถึง 10 คนเท่านั้น (นับรวมทั้งหมดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน) ได้แก่

- Andre Agassi
- Roger Federer
- Novak Djokovic
- Nikolay Davydenko
- David Nalbandian
- Kei Nishikori
- Jannik Sinner
- Carlos Alcaraz

จากรายชื่อดังกล่าว คุณจะเห็นเลยว่าทุกๆคนต่างก็เป็นนักเทนนิสที่ขึ้นไปถึง Top 8 ในยุคของตัวเองกันมาหมดแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะกับ Federer และ Djokovic ที่เรียกได้ว่าแทบจะครอง Grass court และ Hard court กันเลยทีเดียว กวาดแชมป์กันเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะใน Grandslam ถ้าไล่กลับไปดู จะเห็นว่าทั้งคู่ได้แชมป์จาก คอร์ต 2 ประเภทนี้เยอะมาก

- Federer : AO 6 + Wim 8 + USO 5 = 19 (คิดเป็น 95% ของจำนวน Grandslam ทั้งหมดที่ได้)
- Djokovic : AO 10 + Wim 7 + USO 4 = 21 (คิดเป็น 87.5% ของจำนวน Grandslam ทั้งหมดที่ได้)

(ถ้าเกิดว่าไม่มี Nadal ที่จองสัมปทาน Clay court ละก็ 2 คนนี้น่าจะได้ FO เพิ่มขึ้นอีกพอสมควรเลย เพราะเช้าชิงได้บ่อยอยู่ แต่มักจะไปจบที่การแพ้ Nadal เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกับ Federer ที่แพ้เป็นประจำ)

ส่วนในปัจจุบันคนที่ตี Rising Ball ได้ในระดับที่สมบูรณ์แบบนั้นมีแค่ Sinner และ Alcaraz เท่านั้น ทำให้ทั้ง 2 คนนี้ไม่ว่าเจอกับใครก็สามารถเป็นฝ่ายคุมเกมได้หมด (ยกเว้นเวลาที่ทั้งคู่เจอกันเองที่มันจะสูสีมากเพราะตีเร็วพอๆกัน) เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่อธิบายได้ว่าทำไมปัจจุบันถึงยังไม่มีใครตาม 2 คนนี้ทันเลย ซึ่งก็ต้องรอดูในปี 2026 ว่าจะมีใคร Breakthrough ขึ้นมากลายเป็น Big 3 ยุคใหม่ได้ครับ

(ป.ล 1 ฝั่งนักเทนนิสหญิง ผมไม่แน่ใจเลยว่าใครตี Rising Ball ได้สมบูรณ์แบบบ้าง เพราะผมไม่ค่อยได้ตามฝั่งหญิงเท่าไหร่ ใครเชี่ยวชาญก็มาช่วยเพิ่มเติมได้ครับ)

(ป.ล 2 Rising Ball เป็นแค่ 1 ในสาเหตุหลักเชิงเทคนิคเท่านั้นนะครับ การจะเป็นมือ 1 ของโลกและประสบความสำเร็จได้ในระดับ Federer และ Djokovic นั้นมันมีอีกหลายสาเหตุเลยครับ เช่น Shot Selection, สภาพจิตใจเวลาเจอความกดดัน ฯลฯ ซึ่งพวก Davydenko, Nalbandian และ Nishikori นั้นไปไม่ถึงระดับที่ Federer และ Djokovic ทำได้ ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรนั่นเองครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่