@... In Depth Review : Babymonster – Psycho เจาะลึก MV ที่ผมชอบที่สุดของ Babymonster แบบช็อตต่อช็อต ซีนต่อซีน…@

Psycho เป็นเพลง Side B ที่เกือบได้เป็น Title แต่สุดท้ายเคาะให้เพลง We Go Up ขึ้นเป็น Title แทน ส่วนตัวก็ลุ้นมากว่าจะทำ MV Psycho หรือเปล่า หรือจะมาเพียงแค่ Dance Performance เท่านั้น แต่ก็ยังหวังว่าน่าจะทำ เพราะตอนหยางออกมาพูดก่อนนั้น ดูเหมือนว่าจะทำ MV ด้วย

.
 
สุดท้ายก็สมหวังได้ทำ MV ออกมาจริงๆ แล้วก็รู้สึกว่าชอบกว่า We Go Up อีก เพราะ We Go Up มันเน้นทำเอามันส์ โชว์ศักยภาพทีมทำ MV และความพร้อมทุ่มงบ MV ของ YG มากกว่า มันก็เลยอาจจะดูอลังการ CGI เยอะ ภาพสวย และสนุก แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรให้เขียนถึงมากมาย ดูจบแล้วก็จบไป แล้วก็กลายเป็นว่า Dance Performance ดูสนุกกว่าอีก เพราะไลน์เต้นเด็กๆ มันดูเพลินตากว่า

.
 
ส่วน Psycho ตัว MV อาจจะไม่ได้มีสัญลักษณ์อะไรให้ตีความมากมายเหมือน MV ของ Blackpink แต่เนื้อหาเพลง และสิ่งที่แฝงเอาไว้ก็ถือว่าน่าสนใจที่เอามาตีความ เพราะบางคนก็ฟังเพลงแบบไม่ได้สนใจเนื้อเพลงว่าพูดถึงอะไร (ผมก็เป็นบ่อยในบางเพลง) แต่อยากมาลองอธิบายเนื้อหาเพลงนี้ในมุมมองของผมดูว่าคำว่า Psycho ที่เนื้อเพลงกล่าวถึง มันตีความไปในแง่ไหนได้บ้าง

 
Concept :

สำหรับ Concept ของเพลง Psycho หยางเคยสปอยไว้ตอนรีวิวอัลบั้มเมื่อสามเดือนก่อนไว้ประมาณนี้



“เวลาเราพูดถึงคำว่า Psycho อาจจะทำให้คนคิดถึงคำนี้ในแง่ลบ แต่สำหรับพวกเรา Psycho หมายถึงผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลกนี้ คือคนที่มีความคิดพิเศษไม่เหมือนใคร เราทุกคนต่างก็มีความแตกต่างกันใช่ไหม ข้อดีหรือข้อเสียของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป แต่คนที่เปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ มักจะเป็นคนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่พิเศษในบางอย่าง และเหล่าศิลปินที่มีความคิดไม่เหมือนใคร ดังนั้นเพลงนี้จึงจะพูดถึงคำว่า Psycho ในเชิงบวก และเป็นเพลงที่มีความเข้มข้นทางดนตรีมากเช่นกัน ซึ่งจริงๆ แล้วเพลงนี้เคยพิจารณาว่าจะเอาเป็นเพลงไตเติ้ลด้วยเหมือนกัน”

.
 
ด้วยเหตุนี้ Concept ของเพลงนี้จึงสื่อสารให้เห็นถึงแง่บวกของคำว่า Psycho ในเชิงว่าคนที่คิดไม่เหมือนใคร ทำอะไรไม่เหมือนใคร บางครั้งก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนบ้า คนโรคจิตอะไร แต่เพียงแค่เขามองโลกไม่เหมือนกับคนส่วนใหญ่มองเท่านั้นเอง และคนที่มีมุมคิดที่แตกต่างแบบนี้ บางทีก็สามารถเอาพลังงานด้านลบ มาเป็นแรงผลักดันในการทำอะไรดีๆ ที่แตกต่างได้เช่นกัน

.
 
ใน MV เราจะเห็นบุคลิคที่แตกต่างของ Member มีทั้งช่วงที่อ่อนแอ หวาดกลัว และช่วงที่เข้มแข็ง พร้อมเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวเหล่านั้นอย่างกล้าหาญ ก็แสดงให้เห็นถึงสองด้านของจิตใจนั่นเอง

.
 
โทนสีหลักใน MV :

โทนสีหลักคือ แดง และ ดำ ซึ่งก็เป็นโทนสีหลักของ Babymonster มาตั้งแต่เปิดตัวช่วงเด็กฝึกแล้ว ซึ่งสีแดงที่ใช้ก็เลือกโทนสีแดงที่เหมาะสม มันดูลึกลับ น่าค้นหาดี ตัดกับสีดำทำให้สื่อสารถึงความ Psycho ได้ค่อนข้างดี ถือว่าเลือกใช้โทนสีได้ดีเลยในการทำ MV เพลงนี้

.


 
ทีนี้มาพูดถึงเนื้อหาที่อยู่ใน MV รวมถึงเนื้อเพลงว่าต้องการจะสื่อสารอะไร เล่ากันแบบตรงๆ ตามซีนภาพ และเนื้อเพลงแบบช็อตต่อช็อต เพลงต่อเพลงไปเลย

.
 
ซีนแรก :

เพลงเปิดมาด้วยภาพรูกุญแจบนประตูสีดำ ก่อนกล้องจะซูมผ่านประตูเข้าไปเจอกับวง Babymosnter
ซีนนี้ก็ชัดเจนว่าเป็นการเปิดเข้าไปในจิตใจของสมาชิก จะมองว่ากำลังไขเข้าไปดูด้านที่เป็นภาวะ Psycho ที่ไม่เหมือนภาพภายนอกที่เห็นทั่วไปก็ว่าได้



 
ภายในนั้นมีฉากหลังเป็นภาพปาก แล้วน้ำลายกระเซ็นออกมา แล้วตรงฟันก็มีคำว่า Psycho อยู่ อาจจะอยากสื่อให้เห็นถึงคำพูดจากพวก Psycho ที่พูดด้านลบใส่จนน้ำลายแตกฟอง แล้วเด็กๆ ก็ต้องทนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เก็บกดคำพูดแง่ลบเหล่านี้เอาไว้ในจิตใจเรื่อยมา

 
เนื้อเพลงประโยคแรกคือ Babymon Hashtag  ก็ชัดเจนว่าหมายถึงการใช้ Hashtag Babymon ในการพูดถึงวงไม่ว่าจะในแง่ร้าย หรือดีก็ตามที อายอนทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Hashtag ซึ่งก็เหมาะนะ เพราะเอาจริงๆในวงนี้ อายอนคือคนที่โดนวิจารณ์หนักสุดในทุกเรื่อง



.
 
ซีนต่อมาคือชิกิต้าเตะประตูสีดำบานนั้นออกมา พร้อมกับเดินออกมาด้วยแววตาที่เข้มแข็ง พร้อมกับเสือดำสองตัวที่เดินนำหน้าออกมา



 
ท่อนแรกคำว่า Move ไม่ได้แปลว่าเคลื่อนที่ เคลื่อนไหวนะครับ แต่มันคือเวลาใครมายืนบัง ขวางทางเรา เกะกะเรา เราก็จะบอกว่าให้ Move ไปซะ อย่าเกะกะ อะไรทำนองนั้น เมื่อมารวมกับประโยคถัดไปก็ยิ่งชัดเจน
 
You don’t want no problems in that

ไม่อยากมีปัญหาก็ถอยไป


.
 
Mood… You talk too much

อารมณ์ไม่ค่อยดีละนะ  ชักจะพูดมากเกินไปละนะ




 
ชอบโทนเสียงที่ชิกิต้าร้องในท่อนนี้นะ มันดูได้อารมณ์มากๆ เลย หม่นๆ เหมือนนักเลงพร้อมหาเรื่อง แถม Acting สีหน้า แววตา ท่าทาง มันได้เลยจริงๆ

ส่วนทำไมใช้เสือดำ อันนี้ลองให้ Grok AI วิเคราะห์ว่า การใช้สัญลักษณ์เป็นเสือดำ มันมีความหมายอย่างไรได้บ้าง


 .

Ooh, an empty cart makes the loudest noise

พวกรถเข็นว่างๆ เนี่ย เสียงดังที่สุด



อารมณ์คือพวกที่ไม่ซื้อของอะไรเลย ส่วนมากชอบบ่น ชอบเสียงดัง ทั้งๆ ที่ไม่เคยอุดหนุนอะไร ก็ประชดแอนตี้แหละ ว่าไม่เคยซื้อบั้ม ไม่เคยซื้ออะไร แต่วิจารณ์จังเลยนะ 

แต่ใน MV Sub English จะแปลเป็นพวกเห่าเสียงดัง แต่ไม่กล้ากัด  ก็ได้ใจความไม่ต่างกันเท่าไหร่
ในภาพก็จะเห็นว่าพออยู่กับศิลปินอย่างรุกะจริงๆ ก็ไม่กล้าพูดไม่กล้าวิจารณ์ ไม่กล้าทำอะไรได้แต่ทำหน้าจ๋อยๆเท่านั้นเอง

ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า ตัวใส่หน้ากากแล้วผมสีแดง ก็คือแอนตี้นั่นเอง



.

ซีนต่อมาเป็นอายอนเดินออกมาแบบมั่นใจไม่กลัวใครเช่นกัน ในมือถือไม้เท้าที่หัวเครื่องประดับเป็นรูปชีต้า



I dash like a cheetah

ฉันพุ่งทะยานประหนึ่งเสือชีต้า
 
ชีต้าก็คือสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุด ก็เปรียบกับอายอนที่ทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว วันนึงๆ ทำอะไรเยอะแยะมากมายหลายอย่าง เดินบนพรมแดง ใส่เสื้อผ้าสวยๆ ไฟส่องตลอดเวลา ในขณะที่คนอื่นๆ (อาจจะหมายถึงแอนตี้ที่คอยวิจารณ์) ได้แต่เดินในมุมมืด เชื่องช้า อ่อนแรง ไม่มีใครสนใจ
 


.
 
Sore like an eagle

บินพุ่งทะยานเหมือนนกอินทรีย์



นกอินทรีย์ก็คือนกที่แข็งแรง เป็นนักล่า ผู้ล่า บินไปมาบนอากาศด้วยความรวดเร็ว แข็งแรง ไม่ใช่พวกอ่อนแอที่บินได้แป๊ปเดียวก็ต้องหยุดพัก
ในภาพก็เห็นอายอนเอาไม้เท้ารูปเสือชีต้าร์ตีลูกกอล์ฟไป เพื่อ transition ไปยังซีนต่อไป

ปล. เสียดายท่อนนี้น่าจะเป็นชิกิต้า เพราะชีต้ามันเหมือนเป็นคำพ้องเสียงกับชิกิต้า แฟนคลับบางคนก็มักจะเรียกน้องว่าชีต้าน้อยอะไรแบบนี้ แต่ถามว่าท่อนเปิดที่ชิกิต้าร้อง กับท่อนนี้อันไหนดีกว่ากัน ก็ต้องบอกว่าท่อนเปิดดีกว่านะ ฮ่าๆๆ เพียงแต่ว่าพอมันมีเนื้อเพลงโยงกับชีต้า มันก็เลยคิดว่าถ้าชิกิต้าได้มาร้องท่อนนี้ด้วยก็คงดี

.
 
ลูกกอล์ฟที่ตีออกไป เหมือนตีไปหาหลุมต่อไป ก็คือการบินไปสู่เป้าหมายต่อไปนั่นเอง
 

 

 
แล้วแน่นอนว่าลูกกอล์ฟลูกนั้นก็ลอยไปเข้าปาก Asa เป็นซีน Transition ที่เท่มากเลย

MV เพลงนี้ทีมตัดต่อวางแผนเรื่อง Transition ระหว่างซีนได้สวยเลยนะ การเชื่อมเฟรมใช้เทคนิคเยอะและเนียนตามาก อันนี้ต้องชม



 
The unknown end

ไปยังจุดหมายปลายทางที่ยังไม่มีจุดจบ

.




Let’s run toward the dream

วิ่งไปสู่เป้าหมายที่ไฝ่ฝันเอาไว้

ในซีนนี้อาสะก็รับบทแม่สาวนักฆ่าเหมือนเดิม ถือดาบซามุไร แสดงความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม แล้วใช้ดาบเป็น Transition เข้าเฟรมถัดไปแบบสวยๆ อีกแล้ว
 
.


 
Everybody give me room
 
สำนวน give me room จะใช้เวลาเราอยากได้พื้นที่ส่วนตัว หรือบางทีก็ใช้เวลามีคนเกะกะขวางทาง บังทางเรา ก็จะใช้ประโยคนี้เพื่อให้คนอื่นถอยไป
 
.
 
Whatever they say, I’m doing

ไม่ว่าพวกนั้นจะว่ายังไง ฉันก็จะทำมัน


 
ก็สื่อให้เห็นว่าไม่ว่าแอนตี้ หรือใครจะพูดอะไรแบบไหนก็ตามที สุดท้ายฉันก็จะทำมันให้ดีสุด และไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาแบบไหนก็ตามที แต่อย่างน้อยก็ได้ทำ และได้เรียนรู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามมา แล้วก็ก้าวต่อไป
 
ในซีนนี้จะเห็นว่า Asa กระโดดลอยตัวไปฟันหน้ากาก สีแดงๆ ที่โยงใยด้านหลังหน้ากากก็คือเส้นผมของเหล่าแอนตี้ที่แฝงกายในความมืด ซึ่งพอฟันหน้ากากได้ก็เหลือแค่ผมเท่านั้น


.
.... ใช่ครับ ไม่มีหัว แล้วก็ไม่มีสมอง นี่แหละ แอนตี้ส่วนมากก็แบบนี้แหละ ...
 

.

ปล. ถูกใจโพสที่ตั้งใจวิเคราะห์ขนาดนี้ ให้เหรียญเป็นกำลังใจได้ครับ  ขอบคุณมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่