
TITLE: ร้องไห้จนตาบวม! "Saving Private Ryan" ไม่ใช่หนังสงคราม แต่คือบทเรียนชีวิตที่ต้องดูครับ
สวัสดีครับชาวพันทิปทุกคนนะครับ วันนี้ผมจะมารีวิวหนังที่ดูแล้วรู้สึกจุกอกจนแทบอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ หนังเรื่องนั้นก็คือ "Saving Private Ryan" ของผู้กำกับในตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก นั่นเองครับ บอกเลยว่าถ้าใครยังไม่เคยดู หรือเคยดูแล้วแต่ยังไม่ได้ทบทวนเนี่ย ผมแนะนำให้หามาดูอีกรอบจริงๆ ครับ เพราะมันไม่ใช่แค่หนังสงครามธรรมดาๆ แต่มันคือบทเรียนชีวิตที่โคตรจะเข้มข้น และสะท้อนความเป็นมนุษย์ออกมาได้แบบสุดๆ ไปเลยครับ
หลายคนอาจจะรู้จัก "Saving Private Ryan" ในฐานะหนังสงครามที่สมจริงที่สุดเรื่องหนึ่ง ภาพฉากยกพลขึ้นบกที่หาดโอมาฮ่าในวัน D-Day เนี่ย เป็นอะไรที่ผมดูแล้วขนลุกซู่ไปทั้งตัวจริงๆ ครับ ความดิบ ความโหด ความสมจริงของมัน มันไม่ใช่แค่ภาพสวยๆ CG อลังการ แต่มันคือการจำลองความสยดสยองของสงครามออกมาให้เราเห็นจะๆ ว่ามันโหดร้ายแค่ไหน เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงกรีดร้อง เสียงเลือดที่สาดกระเซ็น มันแทรกเข้ามาในทุกอณูของหนัง จนเรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในสมรภูมินั้นจริงๆ ครับ ฉากนี้แหละครับที่ทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้ขึ้นหิ้ง และได้รับคำชมมากมายขนาดนั้น
แต่สำหรับผมนะ "Saving Private Ryan" มันมากกว่าแค่ฉากแอ็คชั่นสงครามอันดุเดือดครับ หัวใจหลักของเรื่องนี้คือภารกิจของกลุ่มทหารภายใต้การนำของ กัปตัน จอห์น มิลเลอร์ ที่รับบทโดย ทอม แฮงค์ส ครับ ภารกิจนี้คือการตามหาและพาตัว พลทหาร เจมส์ ฟรานซิส ไรอัน กลับบ้านเกิดให้ได้ เพราะพี่น้องอีกสามคนของเขาเสียชีวิตในสนามรบไปแล้ว การเดินทางตามหาไรอันคนเดียวเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ พวกเขาต้องฝ่าฟันอันตรายมากมาย เจอศึกหนักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ระหว่างทางของการเดินทางเนี่ยแหละครับ ที่เราจะได้เห็นการปะทะคารม ความขัดแย้ง และการตั้งคำถามต่อภารกิจนี้ของเหล่าทหารแต่ละคน บางคนก็มองว่ามันไม่คุ้มค่าเลยที่จะเอาชีวิตทหารแปดชีวิตไปเสี่ยงเพื่อทหารคนเดียว บางคนก็ยึดมั่นในคำสั่ง แต่ลึกๆ แล้วทุกคนก็มีความรู้สึกนึกคิด มีความกลัว มีความหวัง มีครอบครัวรออยู่ที่บ้านครับ
ผมชอบวิธีการที่สปีลเบิร์กค่อยๆ เปิดเผยเบื้องหลังของตัวละครแต่ละตัวนะครับ เราจะได้เห็นภาพความทรงจำที่พวกเขาแต่ละคนมีต่อครอบครัว คนรัก หรือชีวิตก่อนที่จะมาเป็นทหาร มันทำให้เราเห็นว่าทหารเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่มีความรู้สึก มีความฝัน และมีความสูญเสียเหมือนกับเราทุกคนครับ ทอม แฮงค์ ในบทกัปตันมิลเลอร์นี่สุดยอดจริงๆ ครับ การแสดงออกทางสายตา สีหน้า ท่าทาง มันสื่อถึงความเหนื่อยล้า ความกดดัน และความรับผิดชอบที่แบกรับไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนเราเชื่อและเอาใจช่วยเขาตลอดทั้งเรื่อง
ประเด็นที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือเรื่องของ "คุณค่าของชีวิตมนุษย์" ครับ ภารกิจนี้มันตั้งคำถามถึงการตัดสินใจของผู้นำ ว่าชีวิตของทหารคนหนึ่งมีค่ามากพอที่จะเสี่ยงชีวิตของคนอื่นหรือไม่ และในขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพัน ความเสียสละ และความเป็นพี่เป็นน้องในหมู่ทหารด้วยกันเองครับ แม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่เมื่อถึงเวลาคับขัน พวกเขาก็พร้อมที่จะปกป้องซึ่งกันและกัน
ฉากจบของเรื่องนี่ทำผมน้ำตาไหลพรากเลยครับ เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมากๆ การที่กัปตันมิลเลอร์ต้องเผชิญหน้ากับความจริง และการตัดสินใจที่เขาได้ทำลงไป มันเป็นอะไรที่สะเทือนอารมณ์สุดๆ ครับ หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การบอกเล่าเรื่องราวสงคราม แต่มันคือการตั้งคำถามถึงความหมายของสงคราม ความหมายของชีวิต และความหมายของความเสียสละครับ
อีกอย่างที่ผมอยากจะชื่นชมคือดนตรีประกอบของ จอห์น วิลเลียมส์ ครับ มันเข้ากันได้ดีกับทุกฉากจริงๆ ทั้งฉากที่ตึงเครียด ฉากที่ซาบซึ้ง หรือฉากที่หดหู่ ดนตรีมันช่วยเสริมอารมณ์ของหนังให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีกครับ
สำหรับผม "Saving Private Ryan" ไม่ใช่หนังที่ดูแล้วสบายใจครับ มันคือหนังที่ดูแล้วต้องใช้พลังงานทางอารมณ์เยอะมากๆ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดู จะต้องได้ข้อคิดอะไรบางอย่างกลับไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจในความสูญเสีย หรือการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตครับ
ถ้าใครยังไม่เคยดู ผมขอแนะนำจริงๆ ครับ หาเวลามาดูให้ได้นะครับ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้เป็นตำนาน และทำไมผมถึงดูแล้วร้องไห้จนตาบวมขนาดนี้ครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ ถ้าใครมีความเห็นยังไงเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ มาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ ผมพร้อมรับฟังเสมอครับ
ร้องไห้จนตาบวม! "Saving Private Ryan" ไม่ใช่หนังสงคราม แต่คือบทเรียนชีวิตที่ต้องดูครับ
TITLE: ร้องไห้จนตาบวม! "Saving Private Ryan" ไม่ใช่หนังสงคราม แต่คือบทเรียนชีวิตที่ต้องดูครับ
สวัสดีครับชาวพันทิปทุกคนนะครับ วันนี้ผมจะมารีวิวหนังที่ดูแล้วรู้สึกจุกอกจนแทบอยากจะร้องไห้ออกมาดังๆ หนังเรื่องนั้นก็คือ "Saving Private Ryan" ของผู้กำกับในตำนานอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก นั่นเองครับ บอกเลยว่าถ้าใครยังไม่เคยดู หรือเคยดูแล้วแต่ยังไม่ได้ทบทวนเนี่ย ผมแนะนำให้หามาดูอีกรอบจริงๆ ครับ เพราะมันไม่ใช่แค่หนังสงครามธรรมดาๆ แต่มันคือบทเรียนชีวิตที่โคตรจะเข้มข้น และสะท้อนความเป็นมนุษย์ออกมาได้แบบสุดๆ ไปเลยครับ
หลายคนอาจจะรู้จัก "Saving Private Ryan" ในฐานะหนังสงครามที่สมจริงที่สุดเรื่องหนึ่ง ภาพฉากยกพลขึ้นบกที่หาดโอมาฮ่าในวัน D-Day เนี่ย เป็นอะไรที่ผมดูแล้วขนลุกซู่ไปทั้งตัวจริงๆ ครับ ความดิบ ความโหด ความสมจริงของมัน มันไม่ใช่แค่ภาพสวยๆ CG อลังการ แต่มันคือการจำลองความสยดสยองของสงครามออกมาให้เราเห็นจะๆ ว่ามันโหดร้ายแค่ไหน เสียงปืน เสียงระเบิด เสียงกรีดร้อง เสียงเลือดที่สาดกระเซ็น มันแทรกเข้ามาในทุกอณูของหนัง จนเรารู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในสมรภูมินั้นจริงๆ ครับ ฉากนี้แหละครับที่ทำให้ผมเข้าใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้ขึ้นหิ้ง และได้รับคำชมมากมายขนาดนั้น
แต่สำหรับผมนะ "Saving Private Ryan" มันมากกว่าแค่ฉากแอ็คชั่นสงครามอันดุเดือดครับ หัวใจหลักของเรื่องนี้คือภารกิจของกลุ่มทหารภายใต้การนำของ กัปตัน จอห์น มิลเลอร์ ที่รับบทโดย ทอม แฮงค์ส ครับ ภารกิจนี้คือการตามหาและพาตัว พลทหาร เจมส์ ฟรานซิส ไรอัน กลับบ้านเกิดให้ได้ เพราะพี่น้องอีกสามคนของเขาเสียชีวิตในสนามรบไปแล้ว การเดินทางตามหาไรอันคนเดียวเนี่ย มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ พวกเขาต้องฝ่าฟันอันตรายมากมาย เจอศึกหนักไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ระหว่างทางของการเดินทางเนี่ยแหละครับ ที่เราจะได้เห็นการปะทะคารม ความขัดแย้ง และการตั้งคำถามต่อภารกิจนี้ของเหล่าทหารแต่ละคน บางคนก็มองว่ามันไม่คุ้มค่าเลยที่จะเอาชีวิตทหารแปดชีวิตไปเสี่ยงเพื่อทหารคนเดียว บางคนก็ยึดมั่นในคำสั่ง แต่ลึกๆ แล้วทุกคนก็มีความรู้สึกนึกคิด มีความกลัว มีความหวัง มีครอบครัวรออยู่ที่บ้านครับ
ผมชอบวิธีการที่สปีลเบิร์กค่อยๆ เปิดเผยเบื้องหลังของตัวละครแต่ละตัวนะครับ เราจะได้เห็นภาพความทรงจำที่พวกเขาแต่ละคนมีต่อครอบครัว คนรัก หรือชีวิตก่อนที่จะมาเป็นทหาร มันทำให้เราเห็นว่าทหารเหล่านี้ก็เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ที่มีความรู้สึก มีความฝัน และมีความสูญเสียเหมือนกับเราทุกคนครับ ทอม แฮงค์ ในบทกัปตันมิลเลอร์นี่สุดยอดจริงๆ ครับ การแสดงออกทางสายตา สีหน้า ท่าทาง มันสื่อถึงความเหนื่อยล้า ความกดดัน และความรับผิดชอบที่แบกรับไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนเราเชื่อและเอาใจช่วยเขาตลอดทั้งเรื่อง
ประเด็นที่ผมชอบมากเป็นพิเศษคือเรื่องของ "คุณค่าของชีวิตมนุษย์" ครับ ภารกิจนี้มันตั้งคำถามถึงการตัดสินใจของผู้นำ ว่าชีวิตของทหารคนหนึ่งมีค่ามากพอที่จะเสี่ยงชีวิตของคนอื่นหรือไม่ และในขณะเดียวกัน มันก็สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพัน ความเสียสละ และความเป็นพี่เป็นน้องในหมู่ทหารด้วยกันเองครับ แม้จะมีความเห็นต่างกัน แต่เมื่อถึงเวลาคับขัน พวกเขาก็พร้อมที่จะปกป้องซึ่งกันและกัน
ฉากจบของเรื่องนี่ทำผมน้ำตาไหลพรากเลยครับ เป็นอะไรที่บีบคั้นหัวใจมากๆ การที่กัปตันมิลเลอร์ต้องเผชิญหน้ากับความจริง และการตัดสินใจที่เขาได้ทำลงไป มันเป็นอะไรที่สะเทือนอารมณ์สุดๆ ครับ หนังเรื่องนี้มันไม่ใช่แค่การบอกเล่าเรื่องราวสงคราม แต่มันคือการตั้งคำถามถึงความหมายของสงคราม ความหมายของชีวิต และความหมายของความเสียสละครับ
อีกอย่างที่ผมอยากจะชื่นชมคือดนตรีประกอบของ จอห์น วิลเลียมส์ ครับ มันเข้ากันได้ดีกับทุกฉากจริงๆ ทั้งฉากที่ตึงเครียด ฉากที่ซาบซึ้ง หรือฉากที่หดหู่ ดนตรีมันช่วยเสริมอารมณ์ของหนังให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไปอีกครับ
สำหรับผม "Saving Private Ryan" ไม่ใช่หนังที่ดูแล้วสบายใจครับ มันคือหนังที่ดูแล้วต้องใช้พลังงานทางอารมณ์เยอะมากๆ แต่ผมเชื่อว่าทุกคนที่ได้ดู จะต้องได้ข้อคิดอะไรบางอย่างกลับไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจในความสูญเสีย หรือการตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตครับ
ถ้าใครยังไม่เคยดู ผมขอแนะนำจริงๆ ครับ หาเวลามาดูให้ได้นะครับ แล้วคุณจะเข้าใจว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงได้เป็นตำนาน และทำไมผมถึงดูแล้วร้องไห้จนตาบวมขนาดนี้ครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับ ถ้าใครมีความเห็นยังไงเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ มาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ ผมพร้อมรับฟังเสมอครับ