เรื่องเล่า : โลงศพข้างบ้าน (๒)


                                                                                        โลงศพข้างบ้าน (๒)
                                                                                         ' มุขปาฐก '

                                แม้ยังไม่กระจ่างในทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องราวเหนือคาดคิดของครอบครัวพี่มน  แต่ความจริงที่ได้รับรู้เพิ่มเติมจากเหล่าเพื่อนบ้านก็ช่วยไขข้อข้องใจให้กับข้าพเจ้าแล้วว่า เหตุใดบ้านหลังที่ข้าพเจ้าเช่าอยู่นี้จึงมีคนย้ายเข้าออกบ่อย ซึ่งรวมทั้งข้าพเจ้าเองที่ไม่นึกว่าจะสามารถหาบ้านเช่าในตรอกนี้ได้ อีกทำไมถึงแทบไม่มีใครมาข้องแวะหรือสุงสิงกับพี่มนและลูก ๆ เลย ทั้งชาวบ้านในตรอกทุกคนก็ดูเหมือนไม่อยากคบหาสมาคมกับครอบครัวพี่มน
                                พี่มนคือคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เรื่องราวและมูลเหตุทั้งหมดกระจ่างแจ้ง  แต่การที่ข้าพเจ้าจะเข้าไปถามตรง ๆ อาจใช่ที่ อีกทั้งพี่มนเป็นคนไม่ค่อยพูด และเรื่องราวเหล่านี้แกอาจจะมีความประสงค์ที่จะเก็บไว้เป็นความลับไม่ต้องการเล่าให้ใครฟังก็เป็นได้  แต่ข้าพเจ้าก็มิสามารถปล่อยวางหรือเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้เพราะอาจส่งให้ปัญหาอื่น ๆ เกิดขึ้นตามมา หนึ่งในนั้นคือภรรยาของข้าพเจ้าอาจรู้สึกไม่สบายใจที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป  แม้ว่าโดยพื้นนิสัยและจริตของเธอมิใช่คนหวาดกลัวอะไรง่าย ๆ  แต่ปัญหาใหญ่คือลูกสาวคนเดียวที่อย่างไรก็ต้องล่วงรู้เข้าสักวัน วัยอันอ่อนไหวและจิตวิตกได้ง่ายอาจทำให้แกตกอยู่ในสภาพหวาดผวาตลอดเวลา  ข้าพเจ้าไม่อยากเลือกทางออกสุดท้ายเพื่อหมายตัดปัญหาทั้งหมดนั่นคือการย้ายหนี เพราะตระหนักดีว่านั่นมิใช่การแก้ปัญหาที่แท้จริง อีกลึก ๆ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พี่มนต้องมีเหตุผลและความมุ่งหมายอะไรสักอย่างถึงได้ทำเช่นนั้น การพูดคุยซักถามอย่างจริงใจเท่านั้นที่จะทำให้ได้รับความกระจ่างได้ แต่การจะเข้าหาและเริ่มต้นพูดคุยโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกอึดอัดขัดเคืองจนถึงกับปิดกั้นควรจะทำอย่างไร นี่คือโจทย์ใหญ่ที่ข้าพเจ้าต้องตีให้แตก
                                ข้าพเจ้ายังคงไม่สามารถหาหนทางเข้าหาพี่มนที่เหมาะควรและดูเป็นธรรมชาติได้แม้ว่าจะใช้เวลาครุ่นคิดอยู่หลายคืน แต่ข้าพเจ้าก็จำต้องตัดสินใจกลับเข้าไปอยู่ก่อน เพราะการไปค้างบ้านญาตินานผิดปกติอาจทำให้พี่มนและลูก ๆ เริ่มผิดสังเกต  โดยที่ภรรยาก็เห็นคล้อยหลังได้รับฟังและเข้าใจในเหตุผลของข้าพเจ้า และนับเป็นโชคเหลือแสนหลังกลับเข้าไปอยู่ได้ไม่กี่วันข้าพเจ้าก็มีโอกาสได้เข้าหาพี่มนโดยไม่ต้องเปลืองสมองครุ่นคิดหาวิธีอีกต่อไป วันนั้นในตอนเช้ามืดขณะกำลังจัดร้านข้าพเจ้าก็ได้ยินแม่ค้าในตลาดพูดกันว่าวันนี้พี่มนไม่ได้มาขายของ ด้วยความรีบร้อนออกจากบ้านข้าพเจ้าเองก็ไม่ทันได้สังเกตว่าพี่มนยังอยู่ในบ้าน แม้จะเห็นว่าประตูบ้านปิดทว่าไฟที่เปิดสว่างอยู่ข้างในก็เป็นปกติเหมือนเช่นทุกวัน ข้าพเจ้าสันนิษฐานเอาว่าแกน่าจะไม่สบาย เพราะปกติแกจะไม่เคยหยุด เกือบเที่ยงข้าพเจ้าก็ตัดสินใจที่จะไปเยี่ยม โดยปล่อยให้ภรรยาอยู่เฝ้าร้านคนเดียว 
                                เมื่อเดินไปถึงหน้าบ้านพี่มนแล้วข้าพเจ้าก็ตัดสินใจเคาะประตูและร้องเรียกทันที รออยู่ชั่วอึดใจเท่านั้นก็ได้ยินเสียงพี่มนเดินมาเปิดประตู ทันทีที่เห็นเป็นข้าพเจ้าแกก็รีบเชิญชวนให้เข้าไปนั่งด้านในซึ่งสร้างความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้าอยู่มิน้อย ทีท่าของพี่มนผิดไปจากที่คาดเดาไว้อย่างมาก ไม่มีอากัปกิริยาหลบเลี่ยงหรือขับไสข้าพเจ้าเลยแม้แต่น้อย พี่มนป่วยจริง ๆ เพราะสังเกตได้ทันทีจากสีหน้าและท่าทางการเดิน ทั้งแกยังเดินมานั่งลงบนเตียงพับแทนที่จะไปนั่งที่เก้าอี้ ข้าพเจ้ารีบกลับไปเอายาลดไข้ที่บ้านทันทีหลังพี่มนบอกว่าแกลุกไปขายของไม่ไหวและกำลังจะออกไปซื้อยาหน้าปากตรอก หลังจากที่ช่วยให้พี่มนได้กินยาแล้วข้าพเจ้าก็อยู่คุยกับแกต่ออีกครู่หนึ่งก่อนจะขอตัวกลับไปขายของ ช่วงเวลาที่คุยกันนั้นแกก็ไม่ได้แสดงกิริยาอาการใด ๆ อันบ่งบอกถึงความหวั่นวิตกต่อสายตาของข้าพเจ้าที่บางครั้งก็กวาดมองไปรอบ ๆ บ้าน หรือแม้แต่เหลือบมองหา “บางสิ่งบางอย่าง”
                                 ความจริงที่เพิ่งประจักษ์ในวันนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องย้อนกลับมาทบทวนความคิด ความเชื่อและการคาดเดาของตัวเองอีกครั้ง เพราะความจริงแล้วพี่มนหาได้มีท่าทีที่จะปกปิดเรื่องตัวเอง  หรือบ่ายเบี่ยงที่จะคุยเรื่องของครอบครัว รวมทั้งกลัวว่าใครจะล่วงรู้เรื่องราวในบ้าน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วข้าพเจ้าจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปเยี่ยมแกอีกครั้งในเช้าวันรุ่งขึ้นพร้อมกับใช้โอกาสนี้ถามแกตรง ๆ  และแล้วข้าพเจ้าก็ได้รับทราบความจริงทั้งหมดอันน่าทึ่ง พี่มนเล่าให้ฟังอย่างเปิดเผยว่า การนำโลงศพมาตั้งไว้ในบ้านนั้นไม่ใช่ความคิดของแกเลย  แต่เป็นความต้องการของสามีซึ่งได้สั่งเสียไว้ก่อนจะสิ้นลม รวมทั้งกำชับกำชาให้แกลงไปนอนในโลงด้วย  ส่วนโลงนั้นก็เป็นโลงใหม่หาใช่โลงศพของผู้เป็นสามีไม่ แรกทีแกก็ไม่เข้าใจความมุ่งหมายของผู้เป็นสามี ลูก ๆ เองก็คัดค้านอย่างหนักเพราะไม่เข้าใจในเจตนารมณ์ของพ่อ แต่มาบัดนี้แกและลูก ๆ เข้าใจแล้ว เพราะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในบ้านทันทีหลังแกทำใจได้และฝืนลงไปนอนในโลง  โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวลูก ๆ ทั้ง ๓ คน ในเช้าวันแรกที่แกตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าตัวเองได้นอนอยู่ในโลงศพนั้น แกถึงกับตกตะลึงด้วยความกลัว ไม่พอใบหน้าของลูก ๆ ทั้ง ๓ ที่ลอยอยู่เบื้องหน้ายิ่งทำให้แกตกใจจนแทบกรีดร้องออกมาอย่างคนเสียสติ แต่เสียงร้องระงมของลูก ๆ ทำให้แกต้องกลืนก้อนเสียงของตัวเองลงคอ หลังจากพยายามรวบรวมสติก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนได้ลงไปนอนในโลงและเพิ่งข่มตาหลับลงได้ตอนใกล้สว่าง แล้วแกก็รีบลุกขึ้นนั่งขณะที่ลูก ๆ ยังร้องไห้ไม่หยุด หลังจากวันนั้นลูก ๆ ทั้ง ๓ คนก็เปลี่ยนไป จากที่เคยชอบทะเลาะเบาะแว้งกันก็หันมารักใคร่กลมเกลียว เคยชอบนอนตื่นสายเกี่ยงกันทำงานก็กลายเป็นคนกระตือรือร้นขมีขมันช่วยงานบ้านและแผงขายที่ตลาด เคยขี้เกียจเรียนหนังสือก็เปลี่ยนเป็นเด็กที่รักเรียนขยันขันแข็งท่องตำรับตำรา เคยเกกมะเหรกเกเรก่อเรื่องสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวันก็แปรเป็นเด็กเรียบร้อยมีสัมมาคารวะและอ่อนน้อมถ่อมตน  เคยคิดถึงแต่ตัวเองไม่สนใจใครก็กลับเป็นยึดตัวเองน้อยลงใส่ใจคนอื่นมากขึ้น และอื่น ๆ อีกมากมายที่เปลี่ยนจากด้านลบเป็นด้านดีชนิดเป็นคนละคน พี่มนเองก็ไม่อยากสรุปว่าเป็นเพราะลูก ๆ กลัวว่าแกจะตายไปอีกคน  และจะทำให้ชีวิตต้องลำบากมากขึ้นเลยต้องหันมาปรับปรุงตัวเอง แต่แกอยากจะยกให้เป็นความดีความงามของดวงวิญญาณสามีผู้ล่วงลับที่ช่วยดลจิตดลใจลูก ๆ ให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ตัวข้าพเจ้าเองหลังได้รับฟังและมาคิดทบทวนดูแล้วกลับมีความคิดเห็นแตกต่างจากพี่มน นั่นคือ ทั้งหมดทั้งสิ้นล้วนเป็นกุศโลบายของสามีแกในการอบรมสั่งสอนลูกเสียมากกว่า เพราะการทำเช่นนี้จะทำให้เด็กได้สำนึกว่า สิ่งใดคือสิ่งสุดท้ายและเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิต จักไม่มีประโยชน์อันใดเลยหากจะเห็นคุณค่าของสิ่ง ๆ นั้นเมื่อมันได้จากไปแล้ว แต่การเห็นคุณค่า ดูแลและเอาใจใส่ในขณะที่สิ่งนั้นยังคงอยู่คือกิจที่พึงกระทำ และเหนือกว่านั้นข้าพเจ้ายังมองเลยไปว่านี่เป็นวิธีการอันแยบยลและลุ่มลึกที่ทำให้คนสำนึกได้ในฉับพลัน และเป็นการปลูกจิตสำนึกถาวรอย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง หากแต่ในฟากของข้าพเจ้าแม้จะประทับใจมากในวิธีการอบรมสั่งสอนเช่นนี้ ทว่าก็มิอาจหาญและใจไม่ถึงพอที่จะเลือกใช้แนวทางนี้กับลูกของตัวเอง
                               ที่ได้เล่ามาทั้งหมดคือเรื่องราวของครอบครัวพี่มน ซึ่งมิได้เกินเลยไปจริง ๆ หากจะกล่าวว่า นี่เป็นเรื่องเหนือคาดคิดและชวนให้ตกตะลึงโดยแท้ หรือท่านผู้ฟังอาจจะมีมุมมองหรือทัศนะเป็นอย่างอื่นก็สุดแต่จะคิดเห็นกัน แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วเรื่องราวของเพื่อนบ้านครอบครัวนี้น่าทึ่งจริง ๆ
                    
                                                          ----------------------------------------------------------------------                             
 
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่