เมื่อคืนที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ที่สะเทือนไปทั่วทั้งโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อจู่ ๆ เว็บไซต์กว่าครึ่งโลกก็พร้อมใจกันล่มโดยมิได้นัดหมาย เล่นเอาวัยรุ่นยุค 5G อย่างเรา ๆ อยู่ไม่สุขกันเลยทีเดียว ซึ่งสาเหตุของความวายป่วงครั้งนี้ก็ไม่ได้มาจากการที่ใครสักคนในบ้านคุณลืมจ่ายค่าเน็ตแต่อย่างใด
แต่เป็นเพราะ “Cloudflare ล่ม” ครับ
โอเค… แล้วเจ้า Cloudflare ที่ว่านี้มันคืออะไร ทำไมพอมันล่มแล้วต้องลากเอาเว็บไซต์ทั่วโลกลงเหวไปด้วย วันนี้เรามาทำเข้าใจกันครับ
Cloudflare คืออะไร?
Cloudflare คือบริษัทเทคโนโลยีที่ให้บริการ CDN (Content Delivery Network) ซึ่งทำหน้าที่เป็น “เครือข่ายส่งเนื้อหา” นอกจากนี้ยังให้บริการด้านความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ต, และบริการ DNS (Domain Name System) ระดับโลก ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นตัวกลางที่อยู่ระหว่างผู้ใช้งานกับเซิร์ฟเวอร์หลักของเว็บไซต์
พูดง่าย ๆ ก็คือ Cloudflare นั้นเป็นเหมือนตัวกลางที่อยู่ระหว่างเรากับเว็บไซต์ มีหน้าที่หลัก ๆ 3 อย่าง คือ “กระจายข้อมูล”, “รักษาความปลอดภัย” และ “นำทาง”
1. กระจายข้อมูล (CDN)
บางคนอาจจะไม่เคยสังเกต แต่บนเว็บไซต์นั้นมีข้อมูลมากมาย ทั้งรูปภาพ วิดีโอ ไฟล์ และโค้ดต่าง ๆ สารพัด ถ้าข้อมูลเหล่านี้ต้องวิ่งมาจากเซิร์ฟเวอร์หลักที่อยู่ไกลลิบ เช่น เซิร์ฟเวอร์อยู่ที่อเมริกา แต่เราเข้าชมจากร้านข้าวแกงแถวเลียบด่วน เว็บก็จะโหลดช้า ไม่ทันใจวัยรุ่น
และ Cloudflare ก็เข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้ด้วยการตั้งเซิร์ฟเวอร์กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ นับร้อยแห่งทั่วโลก (เรียกว่า Edge Locations) เพื่อให้เว็บไซต์เอาไฟล์ต่าง ๆ ไปฝากไว้บนเซิร์ฟเวอร์เหล่านั้นในรูปแบบของสำเนา (Cache) คราวนี้เมื่อเราเข้าเว็บไซต์ มันก็จะไปดึงข้อมูลมาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุด ทำให้เว็บโหลดเร็วขึ้น และลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลักไปด้วยในตัว
2. รักษาความปลอดภัย (Security)
อีกหน้าที่หนึ่งของ Cloudflare คือการเป็น Web Application Firewall (WAF) หรือ “ด่านหน้า” ที่คอยรับมือการโจมตีทางไซเบอร์ที่พุ่งเป้าไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ อย่างที่ฮิต ๆ ก็มี DDoS ที่เป็นการส่งแพ็คเก็ตข้อมูลมหาศาลอัดใส่เว็บไซต์จนล่ม ไปจนถึงกระบวนท่าอื่น ๆ เช่น SQL Injection หรือ Cross-Site Scripting (XSS) เป็นต้น เพราะฉะนั้นการมี Cloudflare จึงช่วยให้เว็บไซต์ปลอดภัยและเสถียรกว่า
3. นำทาง (DNS)
นอกจากนี้ Cloudflare ยังให้บริการ DNS ซึ่งทำหน้าที่แปลชื่อโดเมน เช่น google.com ให้เป็นที่อยู่ IP ที่เครื่องคอมพิวเตอร์เข้าใจ เช่น 192.0.2.1 เพื่อให้คอมพิวเตอร์ของเรารู้ว่าจะต้องเชื่อมต่อไปที่เซิร์ฟเวอร์ไหนนั่นเอง
ทำไมล่มทีเดียว ถึง Shift หายกันครึ่งโลก?
จากหน้าที่ที่อธิบายไป Cloudflare มีอิทธิพลอย่างมากต่อโครงสร้างอินเทอร์เน็ตโลกอย่างไม่ต้องสงสัย หากมันล่ม หรือมีใครสักคนเดินไปเตะปลั๊ก สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ:
เว็บไซต์ที่ใช้บริการ Cloudflare จะล่มไปด้วยทันที แล้ว Cloudflare ก็ดันฮิตซะด้วย ทำให้มีเว็บไซต์นับล้าน ไปจนถึงโซเชียลมีเดีย, e-commerce และบริการธนาคาร เลือกใช้บริการ Cloudflare ผลกระทบจึงเกิดขึ้นเป็นวงกว้างอย่างที่เห็น
คอมพิวเตอร์ของเราจะไม่รู้ว่าเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ที่เราจะเข้านั้นอยู่ที่ไหน เพราะไกด์นำทางหรือ DNS บินไปพร้อมกับ Cloudflare แล้ว คราวนี้ถึงแม้เซิร์ฟเวอร์หลักของเว็บจะยังอยู่ แต่ก็เชื่อมต่อไม่ได้อยู่ดี
การจราจรบนโลกอินเทอร์เน็ตติดขัดจนเป็นอัมพาต เพราะเว็บไซต์ส่วนใหญ่ตั้งค่าไว้ให้ การเข้าชมทั้งหมดต้องผ่าน Cloudflare เมื่อ Cloudflare ล่ม มันจึงกลายเป็นจุดคอขวดที่ข้อมูลพากันมาอัดกันอยู่ในจุดเดียวจนไปไหนไม่ได้ ประหนึ่งแยกอโศกตอนเย็นวันศุกร์ที่ฝนตกก็ไม่ปาน
สรุปแล้วก็คือ Cloudflare ไม่ใช่เว็บไซต์ แต่เป็น “สะพานเชื่อม” ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอินเทอร์เน็ต เมื่อสะพานพัง การเดินทางของข้อมูลจึงเป็นอัมพาตกันไปเกือบหมดนั่นเอง
ถึงตรงนี้หวังว่าเพื่อน ๆ คงจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร หากครั้งต่อไปเข้าเว็บไม่ได้อีก และมั่นใจว่าจ่ายค่าเน็ตแล้ว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า Cloudflare มีปัญหาชัวร์ ๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อยากจะให้เห็นใจเขาหน่อย เพราะนาย Cloudflare นี่แหละคือคนที่แบกรับภาระในการทำให้โลกออนไลน์เร็ว ปลอดภัย และใช้งานได้ (เกือบ) ตลอดเวลาครับ
Cloudflare คืออะไร? ทำไมล่มที เว็บถึงเน่าไปครึ่งโลก?