บันทึกจากผู้รอดชีวิตจากเครื่องบินชนเพนตากอน วันที่เกิดเหตุการณ์วินาศกรรม ๑๑ กันยายน ๒๐๐๑

เช้านั้นของวันที่ 11 กันยายน 2001 ร.ต.อ.หญิง มาริลิน วิลส์ เดินเข้าปราการเพนตากอนด้วยความคิดว่าจะเป็นวันธรรมดา เธอหยิบเสื้อสเวตเตอร์ของกองทัพเพราะอาคารมักเย็น เข้าร่วมประชุมบุคลากรตามปกติ และนั่งลงที่โต๊ะประชุมกับเพื่อนร่วมงานอีกสิบสามคน
ไม่มีใครในห้องนั้นรู้ว่ามีเครื่องบินสองลำพุ่งชนตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ไปแล้ว

เวลา 09:37 น. โลกของพวกเขาแตกสลาย
อเมริกันแอร์ไลน์เที่ยวบิน 77 ที่บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิงกว่า 30,000 ปอนด์ พุ่งชนด้านตะวันตกของเพนตากอนด้วยความเร็วกว่า 500 ไมล์ต่อชั่วโมง การชนเกิดตรงใต้ห้องประชุมของพวกเธอ
วิลส์จำสิ่งหนึ่งได้ชัดเจน
เสียงระเบิดอันดังสนั่น และความมืดมิดทันที
ลูกไฟทะลุเพดาน เธอถูกแรงกระแทกโยนไปทั่วห้อง ผมของเธอติดไฟ ควันคลุ้งเต็มทุกลมหายใจ แสงไฟดับ ห้องบิดเบี้ยว ความเงียบกลายเป็นความโกลาหล

เธอช็อกอยู่ครู่หนึ่ง พยายามฟังตั้งสติว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ แล้วเธอก็เริ่มออกคลาน
ในความมืดมิด เธอจำตำแหน่งห้องและคลำหาเส้นทางออก เมื่อมือเธอจับประตู ความร้อนก็ส่งผ่านมาจนเผามือ เพราะห้องอีกฝั่งลุกเป็นไฟ
เธอถอยหลังและคลานไปทางออกอีกทาง
จนกระทั่งรู้สึกว่ามีใครสักคนจับเข็มขัดเธอ
“ใครน่ะ?” เธอถาม
เสียงเบาตอบกลับมา “ฉันชื่อโลอิส”
โลอิส สตีเวนส์ พนักงานพลเรือน  รู้สึกกลัว เจ็บปวด แทบหายใจไม่ออก
“จับฉันไว้ อย่าปล่อย ไม่ว่าฉันไปไหน เธอต้องไปด้วย” วิลส์บอก

และทั้งสองก็เริ่มต้นเคลื่อนไหวไปด้วยกัน  แบบนิ้วต่อนิ้ว ผ่านความมืด ไฟ กำแพงพัง และควันพิษจากไฟ เมื่อโลอิสบอกว่าหายใจไม่ไหว วิลส์ฉีกแขนเสื้อสเวตเตอร์ของตัวเองให้ใช้เป็นตัวกรอง
เมื่อขาโลอิสอ่อนแรง ปวดแสบจากถุงน่องไนลอนละลายติดผิว  วิลส์สัญญาว่า
“ขึ้นหลังฉัน ฉันจะอุ้มเธอ”
และเธอก็ทำตามนั้น

ระหว่างคลาน มีคนอื่นได้ยินเสียงเธอและตามออกมา กลายเป็นหกคนที่พึ่งพาวิถีทางของวิลส์
ในที่สุดพวกเขาถึงหน้าต่าง แต่ถูกปิดผนึกไว้
พวกเขาขว้างเครื่องพิมพ์เข้ากระแทกหน้าต่าง แต่เครื่องพิมพ์มันเปราะบางเกินไปที่จะทำให้กระจกแตก
จนมีคนหาของหนักกว่ามาและกระจกก็แตกลง อากาศบริสุทธิ์พัดเข้ามาพร้อมหอบเอาความหวังในการอยู่รอดเข้ามาด้วย
แต่วิลส์ยังไม่ออกไป
เธอยังคงอยู่ข้างใน  ช่วยนำคนอื่น ยกพวกเขา ให้มั่นคงขณะออกไปยังผู้ช่วยเหลือด้านล่าง

“ฉันจะออกทีหลัง” เธอกล่าว “ไปต่อเถอะ”
เมื่อเธอพยายามออกไป ห่วงโซ่ของมนุษย์ข้างนอกที่เกาะเกี่ยวโยงกันสำหรับห้อยตัวหนีลงมาด้านล่างก็หลุดพังลงจากน้ำหนักตัวและความล้า เธอตกลง  แต่ลงในอ้อมแขนของคนที่พยายามช่วยเธอ เจ้าหน้าที่นาวิกโยธินรับเธอไว้และพูดอย่างเงียบ ๆ
“ฉันรับไว้แล้ว เธอปลอดภัยแล้ว”
เพียงตอนนั้นเธอคิดถึงลูกสาวสองคน ถ้าเธอตายที่ห้องนั้น พวกเขาจะสูญเสียแม่ตลอดไป
เธอรอดชีวิต แต่ไม่ใช่ทุกคน
จากสิบสี่คนในห้องประชุม มีสามคนไม่รอด

รวมทั้งหมด 184 ชีวิตที่ต้องสูญเสีย ที่เพนตากอน  ผู้โดยสารเที่ยวบิน 77 และคนภายในอาคาร 125 คน
โลอิส สตีเวนส์ ผู้ที่วิลส์อุ้มบนหลัง มีชีวิตต่ออีก 23 ปี เสียชีวิตในปี 2024 ด้วยวัย 83 ปี ทั้งสองยังคงใกล้ชิด  ถูกผูกพันด้วยคำสัญญาเดียวในควันไฟ
“ไม่ว่าฉันไปไหน เธอต้องไปด้วย”

สำหรับความกล้าหาญนั้น ร.ต.อ.หญิง มาริลิน วิลส์ ได้รับ เหรียญวีรกรรมทหาร (Soldier’s Medal) และ เหรียญหัวใจม่วง (Purple Heart) จากบาดแผล  ไฟไหม้ สูดควัน และบาดเจ็บสมอง
แต่เธอไม่เคยเรียกตัวเองว่าฮีโร่
“วันนั้นเราเสียมากมาย” เธอกล่าวเบา ๆ “พวกนั้นคือเพื่อนของฉัน”
แม้หลังจากความทรงจำรุนแรง แฟลชแบ็ก และความกลัวทุกครั้งที่เครื่องบินบินผ่านเหนือหัว เธอกลับมาทำงานที่เพนตากอนต่อ และยังเข้าปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน
“ฉันรอดชีวิต” เธอกล่าวหลายปีต่อมา “ฉันยังอยู่ และถ้าเรื่องราวของฉันช่วยใครได้ ฉันก็ต้องเล่า”
เพราะเธอเข้าใจบางสิ่งที่ลึกซึ้ง

เรื่องบางเรื่อง ต้องถูกเล่า  ไม่ใช่เพื่อยกย่องโศกนาฏกรรม แต่เพื่อระลึกถึงความกล้าของคนธรรมดาที่ยืนหยัดเมื่อความมืดพยายามกลืนพวกเขา
ในเช้าวันนั้น ภายในห้องประชุมที่ลุกเป็นไฟ หญิงคนหนึ่งทำการตัดสินใจเลือก
เธออาจจะช่วยตัวเองเพียงอย่างเดียวให้รอด
แต่เธอกลับพูดว่า “ไม่ว่าฉันไปไหน เธอต้องไปด้วย”



https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02NuZZrLkyxAMkHNNcE1WsdMGTa7zoKREy2tZ7dvpFKT3MGLxT5tRTN9VVhxajjVwXl&id=100044739000097

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่