จุดเริ่มต้นในปี 2549
ดีลขายหุ้นชินคอร์ปที่ทั้งประเทศถามว่า
https://www.facebook.com/share/15MgLNTBXa9/?mibextid=wwXIfr
ทำไมไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว?
สู่การเสียภาษีกว่า 17,600 ล้านบาท
ลองย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดกันครับ
จุดเริ่มต้นจากการโอนหุ้น 1 บาท
บริษัท Ample Rich (จัดตั้งที่ BVI)
โอนขายหุ้นชินคอร์ปให้บุคคล 2 คน
คือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา
ในราคาต่อหุ้น 1 บาทจำนวน 329.2 ล้านหุ้น
ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 49.25 บาท/หุ้น
คำถามคือทำแบบนั้นเพื่ออะไร?
คำตอบอยู่ในวันที่ 23 มกราคม 2549
23 มกราคม 2549
หุ้นที่ทั้ง 2 คนได้รับมาจาก Ample Rich
ถูกขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ในราคา 49.25 บาท
กรณีทั้งหมดนี้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
เพราะการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์
ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดา
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ข้อ 2(23)
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย
จนทางกรมสรรพากรต้องออกแถลงข่าวยืนยัน
กรมสรรพากรยืนยันว่าได้รับยกเว้นภาษี
โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ สรุปได้ตามนี้
1. บุคคลธรรมดาซื้อต่ำกว่าตลาด
ไม่ถือเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดา
2. ส่วนการจ่ายเงินค่าหุ้นให้บริษัทในต่างประเทศ
ถ้าเงินที่จ่ายให้นั้นไม่เกินกว่าเงินทุนที่ บ.ขาย
ก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70
และการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ไม่ว่าจะได้หุ้นนั้นมาในกรณีใดก็ตาม
ก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามปกติ
อ้างอิงได้ตาม
เลข ปชส. 10/2549 และ 13/2549
แน่นอนว่ามีการโต้แย้งตามมาอีกมาก
และเป็นประเด็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย
ทำให้หลังจากนั้น
เราได้เห็นอะไรหลายอย่าง
หนึ่งในนั้นคือการประเมินภาษีของสรรพากร
ปี 2550 - 2553 ประเมินภาษีครั้งแรก
โดยตอนแรก สรรพากรประเมินภาษี
ไปที่บุตร 2 คน กรณีการขายหุ้นดังกล่าว
แต่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า
การประเมินภาษีแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง
เพราะที่จริงหุ้นเป็นของเจ้าของที่แท้จริง
คือ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่บุตรทั้ง 2 คน
จึงต้องประเมินให้ถูกคน และถูกกรอบของกฎหมาย
ผลของคำพิพากษานี้
ทำให้การประเมินภาษีต่อบุตรทั้งสอง
ถูก "เพิกถอน" ไปในที่สุด
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้
เพราะเมื่อรู้ว่าภาระภาษีที่แท้จริง
นั้นต้องเป็นของตัวการ ไม่ใช่ตัวแทน
ทำให้เกิดการประเมินภาษีอีกครั้ง
ก่อนหมดอายุความเพียง 3 วัน
28 มีนาคม 2560
ก่อนหมดอายุความ 3 วัน
สรรพากรส่งหนังสือประเมินภาษีไปที่ตัวการ
นั่นคือ นายทักษิณ ชินวัตร
เรียกเก็บภาษีจำนวน 17,600 ล้านบาท
ภาษี 17,600 ล้านบาทมาจากไหน
"เงินได้ทีต้องเสียภาษี" คิดจาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้น
ที่ Ample Rich ขายให้บุตร (ตัวแทน) ในราคาถูกเกินจริง
ส่วนต่างราคา: 49.25 (ราคาตลาด) - 1.00 (ราคาพาร์)
= 48.25 บาท/หุ้น จำนวนหุ้น: 329.2 ล้านหุ้น
รวมเป็นเงินได้ราว ๆ 15,900 ล้านบาท
คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย
คำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แบบก้าวหน้า (ปี 2549 ฐานสูงสุด 37%)
ตัวภาษีที่คิดได้จากเงินได้สุทธิ ประมาณ 5,870 ล้านบาท
คำนวณเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
เนื่องจากผ่านมา 10 ปีแล้ว (2549-2560)
กฎหมายกำหนดบทลงโทษไว้ตามนี้
เบี้ยปรับ 1 เท่า ประมาณ 5,870 ล้านบาท
เงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน สูงสุดไม่เกินภาษี
คิดเป็นเงินประมาณ 5,870 ล้านบาท
รวมทั้งหมด ประมาณ 17,600 ล้านบาท
นี่คือที่มาของภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด
แต่ก็ยังไม่ต้องจ่ายทันที ณ ตอนนั้น
เนื่องจากต่อสู้กันต่อในชั้นศาล
จากการประเมินดังกล่าวสู่ชั้นศาล
นำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน
ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงวันนี้
การต่อสู้ทีผ่านมาทั้งสองศาล
ทั้งศาลภาษีอากรกลาง (2565)
และ ศาลอุทธรณ์ (2566) ยกฟ้อง
เนื่องจากขั้นตอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นั่นคือ ไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบ
ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฏากร
ซึ่งต้องออกภายใน 5 ปีตามกฎหมาย
ไม่ใช่มาประเมินในปีที่ 10 โดยไม่มีหมายเรียก
ตอนแรกเรื่องเหมือนจะจบแค่นี้
แต่ต่อมากรมสรรพากรยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา
จนมาถึงวันนี้
17 พฤศจิกายน 2568
ศาลฎีกาพิพากษา “กลับ”
ให้การประเมินภาษีมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจในหลายประเด็น
1. เป็นเจตนาการปกปิดการถือหุ้น
โดยใช้บุตรและบุคคลอื่นเป็น "นอมินี" ถือหุ้นแทน
2. ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจรองรับ
นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงประโยชน์ทางภาษี
3.ขาดคุณธรรมทางภาษี
และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร
4. ธุรกรรมทั้งหมดนี้ถือว่า
มิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง
ดังนั้นจึงให้กรมสรรพากรประเมินภาษีตามเดิม
และไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
ในมุมของคนทำงานด้านภาษี
ผมเห็นความน่าสนใจของการพลิกคำตัดสิน
เรามองเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?
1. เรื่อง เจตนา มากกว่า รูปแบบ
กฎหมายภาษีควรให้ความสำคัญกับ
“ความจริงทางเศรษฐกิจ”มากกว่าเอกสารธุรกรรม
2. การที่ศาลไม่เชื่อว่าการโอนหุ้น 1 บาท
มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ (หรือมีประโยชน์ใดๆ)
เมื่อไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ
แปลว่าเป็นธุรกรรมเพื่อประโยชน์ทางภาษี
3. ขาดคุณธรรมทางภาษี คำนี้ได้ยินครั้งแรก
แต่ก็น่าสนใจว่าจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานได้อย่างไรต่อไป
เพราะคำว่า คุณธรรม สามารถจะวัดผลในแง่ไหนได้บ้าง
สิ่งนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไปในอนาคต
แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำตัดสินนี้
ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ทั้งหมดนี้คือ “บันทึกความเข้าใจ”
จากมุมมองของคนทำงานสายภาษีคนหนึ่ง
ไม่ได้เขียนเพื่อบอกว่า
คำตัดสิน “ถูก” หรือ “ผิด” ทางการเมือง
แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า…
ครั้งหนึ่ง ประเทศไทยเคยมีดีลขายหุ้น 73,000 ล้าน
ที่ไม่เสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว
และอีกเกือบ 20 ปีต่อมา
ดีลเดียวกันนี้ ถูกประเมินภาษีกลับมาที่ 17,600 ล้าน
คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “คน ๆ เดียว”
แต่มันคือกรณีศึกษาว่าการต่อสู้ทางกฎหมาย
และมันเปลี่ยนได้ตาม "ความคิด" ของคน
ขอบคุณครับ
บทสรุป 19 ปี จากโอนหุ้น 1 บาท ที่สุดท้ายกลายมาเสียภาษี 17,600 ล้าน
ดีลขายหุ้นชินคอร์ปที่ทั้งประเทศถามว่า
https://www.facebook.com/share/15MgLNTBXa9/?mibextid=wwXIfr
ทำไมไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว?
สู่การเสียภาษีกว่า 17,600 ล้านบาท
ลองย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดกันครับ
จุดเริ่มต้นจากการโอนหุ้น 1 บาท
บริษัท Ample Rich (จัดตั้งที่ BVI)
โอนขายหุ้นชินคอร์ปให้บุคคล 2 คน
คือ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา
ในราคาต่อหุ้น 1 บาทจำนวน 329.2 ล้านหุ้น
ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 49.25 บาท/หุ้น
คำถามคือทำแบบนั้นเพื่ออะไร?
คำตอบอยู่ในวันที่ 23 มกราคม 2549
23 มกราคม 2549
หุ้นที่ทั้ง 2 คนได้รับมาจาก Ample Rich
ถูกขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ในราคา 49.25 บาท
กรณีทั้งหมดนี้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
เพราะการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์
ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดา
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ข้อ 2(23)
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย
จนทางกรมสรรพากรต้องออกแถลงข่าวยืนยัน
กรมสรรพากรยืนยันว่าได้รับยกเว้นภาษี
โดยมีเนื้อหาที่สำคัญ สรุปได้ตามนี้
1. บุคคลธรรมดาซื้อต่ำกว่าตลาด
ไม่ถือเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดา
2. ส่วนการจ่ายเงินค่าหุ้นให้บริษัทในต่างประเทศ
ถ้าเงินที่จ่ายให้นั้นไม่เกินกว่าเงินทุนที่ บ.ขาย
ก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70
และการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ไม่ว่าจะได้หุ้นนั้นมาในกรณีใดก็ตาม
ก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามปกติ
อ้างอิงได้ตาม
เลข ปชส. 10/2549 และ 13/2549
แน่นอนว่ามีการโต้แย้งตามมาอีกมาก
และเป็นประเด็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย
ทำให้หลังจากนั้น
เราได้เห็นอะไรหลายอย่าง
หนึ่งในนั้นคือการประเมินภาษีของสรรพากร
ปี 2550 - 2553 ประเมินภาษีครั้งแรก
โดยตอนแรก สรรพากรประเมินภาษี
ไปที่บุตร 2 คน กรณีการขายหุ้นดังกล่าว
แต่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า
การประเมินภาษีแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง
เพราะที่จริงหุ้นเป็นของเจ้าของที่แท้จริง
คือ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่บุตรทั้ง 2 คน
จึงต้องประเมินให้ถูกคน และถูกกรอบของกฎหมาย
ผลของคำพิพากษานี้
ทำให้การประเมินภาษีต่อบุตรทั้งสอง
ถูก "เพิกถอน" ไปในที่สุด
แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้
เพราะเมื่อรู้ว่าภาระภาษีที่แท้จริง
นั้นต้องเป็นของตัวการ ไม่ใช่ตัวแทน
ทำให้เกิดการประเมินภาษีอีกครั้ง
ก่อนหมดอายุความเพียง 3 วัน
28 มีนาคม 2560
ก่อนหมดอายุความ 3 วัน
สรรพากรส่งหนังสือประเมินภาษีไปที่ตัวการ
นั่นคือ นายทักษิณ ชินวัตร
เรียกเก็บภาษีจำนวน 17,600 ล้านบาท
ภาษี 17,600 ล้านบาทมาจากไหน
"เงินได้ทีต้องเสียภาษี" คิดจาก "ส่วนต่าง" ราคาหุ้น
ที่ Ample Rich ขายให้บุตร (ตัวแทน) ในราคาถูกเกินจริง
ส่วนต่างราคา: 49.25 (ราคาตลาด) - 1.00 (ราคาพาร์)
= 48.25 บาท/หุ้น จำนวนหุ้น: 329.2 ล้านหุ้น
รวมเป็นเงินได้ราว ๆ 15,900 ล้านบาท
คำนวณภาษีที่ต้องจ่าย
คำนวณตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
แบบก้าวหน้า (ปี 2549 ฐานสูงสุด 37%)
ตัวภาษีที่คิดได้จากเงินได้สุทธิ ประมาณ 5,870 ล้านบาท
คำนวณเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
เนื่องจากผ่านมา 10 ปีแล้ว (2549-2560)
กฎหมายกำหนดบทลงโทษไว้ตามนี้
เบี้ยปรับ 1 เท่า ประมาณ 5,870 ล้านบาท
เงินเพิ่ม 1.5% ต่อเดือน สูงสุดไม่เกินภาษี
คิดเป็นเงินประมาณ 5,870 ล้านบาท
รวมทั้งหมด ประมาณ 17,600 ล้านบาท
นี่คือที่มาของภาษีที่ต้องจ่ายทั้งหมด
แต่ก็ยังไม่ต้องจ่ายทันที ณ ตอนนั้น
เนื่องจากต่อสู้กันต่อในชั้นศาล
จากการประเมินดังกล่าวสู่ชั้นศาล
นำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน
ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงวันนี้
การต่อสู้ทีผ่านมาทั้งสองศาล
ทั้งศาลภาษีอากรกลาง (2565)
และ ศาลอุทธรณ์ (2566) ยกฟ้อง
เนื่องจากขั้นตอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
นั่นคือ ไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบ
ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฏากร
ซึ่งต้องออกภายใน 5 ปีตามกฎหมาย
ไม่ใช่มาประเมินในปีที่ 10 โดยไม่มีหมายเรียก
ตอนแรกเรื่องเหมือนจะจบแค่นี้
แต่ต่อมากรมสรรพากรยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา
จนมาถึงวันนี้
17 พฤศจิกายน 2568
ศาลฎีกาพิพากษา “กลับ”
ให้การประเมินภาษีมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจในหลายประเด็น
1. เป็นเจตนาการปกปิดการถือหุ้น
โดยใช้บุตรและบุคคลอื่นเป็น "นอมินี" ถือหุ้นแทน
2. ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจรองรับ
นอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงประโยชน์ทางภาษี
3.ขาดคุณธรรมทางภาษี
และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร
4. ธุรกรรมทั้งหมดนี้ถือว่า
มิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง
ดังนั้นจึงให้กรมสรรพากรประเมินภาษีตามเดิม
และไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
ในมุมของคนทำงานด้านภาษี
ผมเห็นความน่าสนใจของการพลิกคำตัดสิน
เรามองเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?
1. เรื่อง เจตนา มากกว่า รูปแบบ
กฎหมายภาษีควรให้ความสำคัญกับ
“ความจริงทางเศรษฐกิจ”มากกว่าเอกสารธุรกรรม
2. การที่ศาลไม่เชื่อว่าการโอนหุ้น 1 บาท
มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ (หรือมีประโยชน์ใดๆ)
เมื่อไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ
แปลว่าเป็นธุรกรรมเพื่อประโยชน์ทางภาษี
3. ขาดคุณธรรมทางภาษี คำนี้ได้ยินครั้งแรก
แต่ก็น่าสนใจว่าจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานได้อย่างไรต่อไป
เพราะคำว่า คุณธรรม สามารถจะวัดผลในแง่ไหนได้บ้าง
สิ่งนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไปในอนาคต
แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำตัดสินนี้
ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
ทั้งหมดนี้คือ “บันทึกความเข้าใจ”
จากมุมมองของคนทำงานสายภาษีคนหนึ่ง
ไม่ได้เขียนเพื่อบอกว่า
คำตัดสิน “ถูก” หรือ “ผิด” ทางการเมือง
แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า…
ครั้งหนึ่ง ประเทศไทยเคยมีดีลขายหุ้น 73,000 ล้าน
ที่ไม่เสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว
และอีกเกือบ 20 ปีต่อมา
ดีลเดียวกันนี้ ถูกประเมินภาษีกลับมาที่ 17,600 ล้าน
คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ “คน ๆ เดียว”
แต่มันคือกรณีศึกษาว่าการต่อสู้ทางกฎหมาย
และมันเปลี่ยนได้ตาม "ความคิด" ของคน
ขอบคุณครับ