ทำไม? สวิตเซอร์แลนด์จึงรักษาความเป็นกลางได้อย่างยาวนานและยั่งยืน

https://www.facebook.com/share/p/1F2mwdFJUq/?mibextid=wwXIfr



ประเทศที่เป็นกลางคือ รัฐอธิปไตยที่เป็นกลางต่อคู่สงคราม ในสงครามเฉพาะหรือยึดมั่นในความเป็นกลางอย่างถาวรในทุกความขัดแย้งในอนาคต (รวมถึงการหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมพันธมิตรทางทหารเช่น NATO) ในสถานะที่ไม่ใช่คู่สงคราม ซึ่งแต่ละประเทศมีการให้นิยามของความเป็นกลางของตนแตกต่างกันออกไป โดยที่สวิตเซอร์แลนด์ยึดมั่นในหลักการ "ชาติเป็นกลางที่มีกองทัพ" เพื่อป้องกันและยับยั้งการรุกรานด้วยกำลังทหารจากต่างชาติ ขณะเดียวกันก็ห้ามมิให้ส่งกำลังทหารออกไปปฏิบัติการนอกประเทศอีกด้วย

“ชาติเป็นกลาง” กลายเป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ที่สำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งได้รับการยอมรับในปี 1815 โดยชาติมหาอำนาจในการประชุมใหญ่แห่งเวียนนา สำหรับการวางรากฐานรัฐธรรมนูญของสวิตเซอร์แลนด์ในปี 1848 ได้ยึดถือเอาความเป็นกลาง เพื่อเป็นเครื่องมือในการรักษาเอกราชของประเทศ ในปี 1907 อนุสัญญาเฮกได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ของรัฐที่เป็นกลางไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรก เพื่อแลกกับการไม่ละเมิดดินแดนของตน ประเทศเหล่านี้จึงมีหน้าที่ที่จะต้องอยู่ห่างจากสงคราม ปฏิบัติต่อคู่สงครามทุกฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน และไม่ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์หรือกำลังพลให้แก่คู่สงครามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สวิตเซอร์แลนด์เองก็ไม่ได้เข้าร่วมสหประชาชาติจนกระทั่งปี 2002 โดยเลือกที่จะดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างแข็งขันและมักมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างสันติภาพทั่วโลก

สวิตเซอร์แลนด์ถือว่า รัฐที่เป็นกลางจะต้องสามารถป้องกันตัวเองได้ด้วย ซึ่งอธิบายได้ว่า เหตุใดสวิตเซอร์แลนด์จึงพยายามรักษาระดับกำลังทหารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอมา กำลังพลส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาสาสมัคร เนื่องจากทหารอาชีพถูกจำกัดจำนวน ตามรัฐธรรมนูญของสวิตเซอร์แลนด์การเป็นทหารเป็นข้อบังคับสำหรับพลเมืองชาย ในขณะที่พลเมืองหญิงสามารถเลือกเป็นทหารได้ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนของทหารอาสาสมัครเป็น 10% ภายในปี 2030 หลังจากได้รับการฝึกขั้นพื้นฐานแล้ว ทหารจะต้องพัฒนาทักษะของตนด้วยการเข้ารับการอบรมทบทวนความรู้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ในแต่ละปี ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่จะเห็นทหารหนุ่มในเครื่องแบบพกพาอาวุธประจำกายทั้งในเมืองต่าง ๆ และบนรถไฟ พวกเขาอาจนำอาวุธปืนเล็กยาวประจำกายกลับบ้านด้วย ซึ่งมักจะก่อให้เกิดข้อถกเถียง เนื่องจากอาวุธปืนของกองทัพมักเข้าไปบทบาทเกี่ยวข้องในการฆาตกรรมและการฆ่าตัวตาย

สำหรับชายชาวสวิสที่ปฏิเสธที่จะเข้าเป็นทหารด้วยเหตุผลทางศีลธรรม อาจเลือกปฏิบัติหน้าที่ด้านพลเรือนได้ โดยต้องทำงานเพื่อสังคมเป็นระยะเวลานานกว่าการเป็นทหารหนึ่งเท่าครึ่ง ผู้ที่ถือว่า ไม่เหมาะสมที่จะเป็นทหารในระหว่างกระบวนการคัดเลือกจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเป็นทหาร และต้องเสียภาษีการเกณฑ์ทหาร แต่ความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้ขัดขวางการเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรระหว่างประเทศหลายแห่ง และแม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะไม่สามารถเข้าร่วม พันธมิตรทางทหารของ NATO ได้ แต่สวิตเซอร์แลนด์ก็ให้ความร่วมมือกับ NATO โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านโครงการหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ ในปี 1920 สวิตเซอร์แลนด์ได้เข้าร่วมสันนิบาตชาติ ซึ่งเป็นองค์กรยุคก่อนหน้าของสหประชาชาติ และประสบความสำเร็จในการทำให้นครเจนีวาเป็นสำนักงานใหญ่ขององค์กร หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง สวิตเซอร์แลนด์มุ่งมั่นที่จะสร้างภารกิจระดับโลกของตนเอง โดยใช้ความเชี่ยวชาญด้านการทูตและมนุษยธรรม

ทั้งนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง สวิตเซอร์แลนด์เกือบถูกฝ่ายอักษะ นำโดยเยอรมนีรุกรานตามแผนปฏิบัติการ Tannenbaum (ต้นเฟอร์) หรือก่อนหน้าในชื่อของปฏิบัติการ Grün (สีเขียว) ซึ่งเป็นแผนการบุกสวิตเซอร์แลนด์และลิกเตนสไตน์ แต่ปฏิบัติการถูกยกเลิกหลังจากฝ่ายสัมพันธมิตรบุกฝรั่งเศส อย่างไรก็ตาม ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองและสงครามเย็น ได้มีการตอกย้ำแนวคิดที่ว่า เพื่อรักษาความเป็นกลางโดยสมบูรณ์ สวิตเซอร์แลนด์ไม่ควรลงนามในพันธมิตรระหว่างประเทศใด ๆ โดยสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้เข้าร่วมสหประชาชาติจนกระทั่งปี 2002 ซึ่งนานกว่า 50 ปีหลังจากก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ แต่ถึงอย่างไร ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสวิตเซอร์แลนด์ยังคงเสริมสร้างความเข้มแข็งในการเป็นตัวแทนในองค์กรระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ สวิตเซอร์แลนด์จึงเป็นสมาชิกขององค์การยูเนสโก องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) สภายุโรป และองค์การเพื่อความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (OSCE) และอื่น ๆ ปัจจุบันนครเจนีวายังเป็นที่ตั้งขององค์กรระหว่างประเทศมากมายหลายแห่ง

การส่งเสริมสันติภาพและสิทธิมนุษยชนถือเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ในนโยบายต่างประเทศของสวิตเซอร์แลนด์ โดยยินดีให้ความช่วยเหลือในเรื่องต่าง ๆ อาทิ การจัดหาผู้ส่งสารทางการทูต ทั้งนี้การทูตของสวิตเซอร์แลนด์มีประเพณีอันยาวนานในการพยายามพูดคุยกับทุกฝ่าย "เพื่อสร้างความไว้วางใจ" นอกจากนี้แล้วยังมีส่วนร่วมในภารกิจรักษาสันติภาพทั้งทางทหารและพลเรือนที่นำโดยองค์กรระหว่างประเทศ โดยได้ส่งผู้เชี่ยวชาญไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนกระบวนการสันติภาพหรือติดตามการเลือกตั้ง และยังให้การสนับสนุนแก่ฝ่ายที่ขัดแย้งในการหาทางออก และทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยอย่างสม่ำเสมอ

ความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ถูกถกเถียงและถูกตั้งคำถามเป็นอย่างมากและหลายครั้งหลายหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับบทบาทของสวิสเซอร์แลนด์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ICRC (คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ) ทองคำของนาซีที่ถูกปล้น ในช่วงเวลาดังกล่าว สวิตเซอร์แลนด์ได้มีการละเมิดหลักการนี้หลายครั้ง เช่น การจัดหายุทโธปกรณ์และสินค้าสงครามให้กับคู่สงครามทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้ สวิตเซอร์แลนด์ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการปฏิเสธที่จะรับผู้ลี้ภัยชาวยิว และการเก็บเงินของเหยื่อจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไว้ในธนาคารสวิสจนถึงปลายทศวรรษ 1990 ธนาคารสวิสจึงตกลงที่จะชดเชยให้กับเหยื่อเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สำหรับทรัพย์สินที่สูญเสียไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ยังมีเรื่องที่ค่อนข้างอื้อฉาวอื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเป็นกลางของสวิตเซอร์แลนด์ อาทิ ปฏิบัติการกลาดิโอ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับระบอบการแบ่งแยกสีผิวในแอฟริกาใต้ คดีจารกรรม Crypto AG และล่าสุดความช่วยเหลือของสวิตเซอร์แลนด์ต่อยูเครนหลังจากการรุกรานของรัสเซียในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ยิ่งไปกว่านั้น สวิตเซอร์แลนด์ยังผลิตและส่งออกอาวุธไปยังหลายประเทศ ซึ่งหลายคนมองว่าขัดกับความเป็นกลางและความปรารถนาที่จะส่งเสริมสันติภาพของสวิตเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม มีข้อโต้แย้งว่าความเป็นกลางทางอาวุธของสวิตเซอร์แลนด์ควรทำให้สวิตเซอร์แลนด์มีความเป็นอิสระจากรัฐอื่น ๆ มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในด้านยุทโธปกรณ์ ทำให้มีการตั้งคำถามว่า สวิตเซอร์แลนด์ยังคงเป็นกลางอย่างสมบูรณ์อีกต่อไปหรือไม่ จากผลการสำรวจชาวสวิสในปี 2024 แสดงให้เห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 91% ยังปรารถนาที่จะรักษาความเป็นกลาง โดยให้เหตุผลว่า พวกเขาเชื่อว่า ความเป็นกลางของประเทศนั้นเป็นส่วนสำคัญของอัตลักษณ์ในความเป็นสวิตเซอร์แลนด์

เรื่อง: ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่