16 พ.ย. 2568 – นายนพดล กรรณิกา อดีตผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก กรมกิจการพลเรือนทหารบก กองทัพบก ปี ๒๕๕๗ และศิษย์เก่าด้านการจัดการนโยบาย-ยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัย จอร์จทาวน์ วอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา หลักสูตรเรียนร่วม คณะนายทหาร ระดับ Joint Chiefs of Staff (JCS) กระทรวงกลาโหม สหรัฐอเมริกา และศิษย์เก่า ด้าน วิทยาการข้อมูล (Data Science & Methodology) มหาวิทยาลัย มิชิแกน สหรัฐอเมริกา
เสียงเรียกร้องให้ “เอาคืน-ยึดคืน-รบตอบโต้” มักเกิดขึ้นพร้อมอารมณ์ชาตินิยม แต่ประวัติศาสตร์โลกพิสูจน์แล้วว่าผู้นำประเทศและกองทัพที่ยอมเปิดศึกเพื่อหวังคะแนนนิยม มักทำให้ประเทศต้องจ่ายราคาแพงที่สุดและเป็นราคาที่ลูกหลานต้องรับแทน ด้านล่างนี้เป็นกรณีศึกษาที่ เกิดขึ้นจริง และเป็นตัวอย่างชัดเจนของประเทศที่ “ได้ใจประชาชนช่วงสั้น แต่สูญเสียโอกาสหลายสิบปี” เพราะเลือกใช้สงครามแทนยุทธศาสตร์
สืบเนื่องจาก สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุทหารไทยเหยียบกับทุ่นระเบิด PMN-2 เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2568 ทำให้สังคมไทยสั่นสะเทือน และก่อให้เกิดกระแสเรียกร้องให้ “รบ-ยึดคืน” จากประชาชนจำนวนหนึ่งในสื่อออนไลน์ แต่ในเวลาเดียวกัน รัฐบาลไทยได้เดินหมากด้วย Strategic Pause การหยุดเชิงยุทธศาสตร์ที่สงบนิ่ง แต่มีพลังเทียบเท่าการรบเต็มรูปแบบในยุคใหม่
เบื้องหลังความนิ่งนี้ คือหลักยุทธศาสตร์สากลที่ใช้โดยมหาอำนาจโลกและคือหลักคิดที่พิสูจน์แล้วว่าการ “ชนะโดยไม่ต้องรบ” นั้นยั่งยืนกว่าการรบที่ได้ใจเพียงชั่วคราว ประวัติศาสตร์โลกให้คำตอบอย่างชัดเจนว่าประเทศที่เลือกสงครามเพื่อเรียกคะแนนนิยม มักต้องชดใช้ผลเสียยาวนาน 30-60 ปี ขณะที่ประเทศที่เลือกความฉลาด สุขุม และความชอบธรรม สามารถรักษาความได้เปรียบทางยุทธศาสตร์ได้ยาวนานกว่า
ผมได้ค้นความข้อมูลมาแชร์ กรณีศึกษาจริงจากนานาชาติ เพื่อสะท้อนข้อเท็จจริงเชิงประวัติศาสตร์ว่าการรบแม้เพียงครั้งเดียวอาจทำให้ประเทศต้องล้มเหลวทางเศรษฐกิจ การทูต และโครงสร้างรัฐนานหลายทศวรรษ
กรณีที่ 1 เวียดนาม – ชนะสงคราม แต่แพ้การพัฒนาประเทศไปกว่า 20-30 ปี ความจริงทางประวัติศาสตร์ คือ หลังสงครามเวียดนาม (1975) และการรุกเข้าไปกัมพูชา (1978) ซึ่งประชาชนเวียดนามจำนวนมาก “ปลื้ม” ว่าประเทศมีอำนาจ แข็งแกร่ง และชนะศัตรู แต่ผลที่ตามมาคือผลเสียทางเศรษฐกิจ–การทูตร้ายแรงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
1) เวียดนามถูกคว่ำบาตรเต็มรูปแบบกว่า 19 ปี
1975–1994
– สหรัฐคว่ำบาตร
– สหภาพยุโรปคว่ำบาตร
– ญี่ปุ่นระงับความช่วยเหลือ
– อาเซียนประณาม
– การลงทุนต่างชาติเป็นศูนย์
ผลคือ GDP โตต่ำที่สุดในอาเซียน และประชาชนยากจนอย่างกว้างขวาง
2) ถูกโดดเดี่ยวจากเวทีโลก (International Isolation)
หลังรุกเข้ากัมพูชา เวียดนามถูกมองว่าเป็น “ประเทศรุกราน” ขาดความชอบธรรมทางการทูต ไม่ได้รับการยอมรับ แม้ในเวที UN
3) ถูกจีนลงโทษ (สงครามจีน–เวียดนาม 1979)
จีนโจมตีเต็มรูปแบบตามชายแดน ทำให้เวียดนามสูญเสียกำลังพลจำนวนมากและต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการป้องกันตนเองต่อเนื่องหลายปี
4) คนเวียดนามถูกจำกัดการเดินทางต่างประเทศอย่างยาวนานระดับความเข้มงวดใกล้เคียงประเทศปิดประเทศ ทำให้แรงงาน–นักศึกษา–ประชาชนเสียโอกาสรุ่นต่อรุ่น
5) ฟื้นตัวช้ามาก ใช้เวลายาวนานกว่า 30 ปี
เวียดนามเพิ่งเริ่มผงาดทางเศรษฐกิจจริง ๆ หลังปี 2005 เท่ากับว่าสงครามทำให้เสียโอกาสเกือบ หนึ่งชั่วอายุคนเต็ม ๆ
บทเรียน
การรบ “ทำให้ได้ใจ” ประชาชนช่วงสั้น แต่ประเทศต้องเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ–การทูตนานกว่าที่ชนะในสนามรบหลายเท่า
กรณีศึกษา 2 อาร์เจนตินา – รบ Falklands ได้ใจทั้งชาติ แต่ประเทศล่มสลายปี 1982 รัฐบาลเผด็จการอาร์เจนตินา สั่งทหารยึดหมู่เกาะ Falklands เพื่อ “ปลุกกระแสชาตินิยม” ประชาชนกว่า 90% สนับสนุนรัฐบาลทันที
ผลลัพธ์คือหายนะระดับประเทศ
– แพ้สงครามภายใน 10 สัปดาห์
– หนี้ต่างประเทศพุ่ง
– เงินเฟ้อ 3,000%
– เศรษฐกิจล่มทั้งระบบ
– ผู้นำถูกโค่น
– ประเทศจมในวิกฤติยาวนานถึงปัจจุบันกว่า 40 ปี
บทเรียน
ได้ใจเพียงไม่กี่เดือน แต่เสียประเทศไปหลายสิบปี
กรณีศึกษา 3 อิรักบุกคูเวต ชนะใจคนในประเทศ แต่แพ้ทั้งโลก ปี 1990 อิรักบุกคูเวต ประชาชนชื่นชมผู้นำ เกิดกระแสชาตินิยมรุนแรง แต่ผลที่ตามมาคือ
– UN คว่ำบาตรเต็มรูปแบบ
– เศรษฐกิจล่มสลาย
– รัฐอ่อนแอและไร้เสถียรภาพ
– ประชาชนอดอยาก
– ประเทศฟื้นกลับมาไม่ได้จนถึงปัจจุบัน
บทเรียน
ความสะใจชั่วคราว ไม่คุ้มกับความล่มจมของรัฐ
กรณีศึกษา 4 รัสเซีย-ยูเครน สงครามที่ทำลายเศรษฐกิจไปหลายทศวรรษ
– แม้รัสเซียจะมีประชาชนบางส่วนสนับสนุนการรบ
– แต่ผลกระทบคือหนักที่สุดในโลกสมัยใหม่:
– ถูกคว่ำบาตร 15,000 รายการ
– บริษัทต่างชาติออกไปกว่า 1,000 แห่ง
– เงินลงทุนไหลออกมหาศาล
– ภาพลักษณ์ประเทศเสียหายทั่วโลก
– การพัฒนาเทคโนโลยี–เศรษฐกิจหยุดชะงัก
บทเรียน
การรบครั้งเดียว ทำลายโอกาสประเทศไปอีกหลายทศวรรษ
กรณีศึกษา 5 ปากีสถาน – รบกับอินเดีย ได้ใจประชาชน แต่เสียประเทศ ปากีสถานเข้าสู่สงครามหลายครั้งเพื่อรักษาศักดิ์ศรีแต่ผลคือ
– แพ้สงคราม
– เสียบังกลาเทศ
– เศรษฐกิจอ่อนแอ
– โครงสร้างรัฐถอยหลังยาวนานเทียบอินเดีย
บทเรียน
ชัยชนะบนอารมณ์ ไม่สามารถแทนที่ความมั่นคงของรัฐชาติได้
ข้อสรุปเชิงยุทธศาสตร์สำหรับประเทศไทย
– ตอนนี้ไทยถือความชอบธรรมเต็ม 100%
– หลักฐานชัดเจนว่าไทยถูกคุกคามก่อน
– ทุ่นระเบิด PMN-2 ไม่ใช่อาวุธไทย
– พื้นที่เกิดเหตุอยู่ในโซนที่กำลังเจรจาลดอาวุธ
การหยุดของรัฐบาลคือการคุมเกมทั้งกระดาน ประเทศไทยสามารถ Freeze กระบวนการทางทหาร–การทูตทั้งหมด ทำให้สถานการณ์อยู่ในมือไทยอย่างสมบูรณ์ หากไทยรุกหรือเปิดศึก ความชอบธรรมจะกลับหัวทันทีจาก “ผู้ถูกละเมิด” → กลายเป็น “ผู้รุกราน” ทำให้สูญเสียความได้เปรียบทั้งหมดในทันที
สงครามที่ได้ใจคนแค่สัปดาห์เดียว อาจทำให้เสียประเทศไป 50–60 ปี ทุกประเทศในประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า ถ้าตัดสินใจรบ จะได้ใจประชาชนระยะสั้น แต่ความสะใจนั้นแพงที่สุด และลูกหลานของเราเป็นผู้จ่าย
ข้อสังเกตสุดท้าย
– ประเทศไทยกำลังชนะ — ด้วยยุทธศาสตร์ที่เหนือกว่าสงคราม
– ประเทศไทยไม่ขี้ขลาด แต่ประเทศไทย ฉลาดกว่า สุขุมกว่า ชอบธรรมมากกว่า
วันนี้ไทยได้เปรียบทั้งความชอบธรรม กฎหมายระหว่างประเทศ มติสังคมโลก ความถูกต้องเชิงยุทธศาสตร์ กระแสสนับสนุนในชาติ หลักฐานภาคสนาม และจังหวะเวลาที่เหนือกว่า
สิ่งที่ไทยต้องทำคือ
รักษาความจริง – รักษาความชอบธรรม – คุมเกมต่อไปอย่างสุขุม กองทัพไทยเตรียมบทโหด แต่อย่าเพลี่ยงพล้ำเปิดศึก นี่คือชัยชนะที่ไม่ต้องรบและเป็นชัยชนะที่ยั่งยืนที่สุดตามหลักของซุนวู Sun Tzu และทฤษฎีสมัยใหม่ของ JCS
“การชนะศึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการชนะโดยไม่ต้องรบ”
ประเทศไทยกำลังอยู่ในตำแหน่งนั้นแล้ว
และเราต้องไม่ทำให้ความได้เปรียบนี้สูญเปล่า
เครดิต thaipost.net
ถอดบทเรียนการศึก 5 สมรภูมิ ชี้รบเพื่อเอาใจประชาชน แต่ประเทศต้องจ่ายราคาแพงนานหลายทศวรรษ
2) ถูกโดดเดี่ยวจากเวทีโลก (International Isolation)
หลังรุกเข้ากัมพูชา เวียดนามถูกมองว่าเป็น “ประเทศรุกราน” ขาดความชอบธรรมทางการทูต ไม่ได้รับการยอมรับ แม้ในเวที UN
3) ถูกจีนลงโทษ (สงครามจีน–เวียดนาม 1979)