เมื่อ 11 พฤศจิกายน 2568 ที่ประชุมคณะกรรมการประกันสังคม (บอร์ด สปส.) ให้ความเห็นชอบเรื่องแนวทางการปรับปรุงสูตรคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตน ตามมาตรา 33 (พนักงานเอกชน ที่ทำงานในสถานประกอบการ) และมาตรา 39 (ผู้ที่เคยเป็นผู้ประกันตน มาตรา 33 มาก่อน และต้องการรักษาสิทธิประกันสังคมไว้) หรือที่เรียกว่า “สูตรบำนาญ CARE”
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างกฎกระทรวง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อเตรียมประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ด สปส. แถลงภายหลังการประชุมเรื่องแนวทางการปรับปรุงสูตรคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตน ซึ่งเป็นสูตรใหม่ โดยกล่าวย้ำว่า
“เรื่องนี้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า เป็นเรื่องดี และมีความจำเป็นต่อระบบบำนาญของประเทศ เพื่อให้กองทุนประกันสังคมมีความยั่งยืน และดูแลผู้ประกันตนได้อย่างทั่วถึงในระยะยาว” พ.ต.ท.วรรณพงษ์กล่าวหลังประกาศไฟเขียวสูตรบำนาญ CARE
ประเด็นดังกล่าวจึงเป็นความหวังผู้ประกันตนมากกว่า 10 ล้านคนทั่วประเทศ แม้จะเป็นเพียงเฟสแรก
อย่างไรก็ตาม ในวงกว้างยังมีคำถามจากผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 ในเรื่องรายละเอียดเงื่อนไขและความชัดเจนต่าง ๆ
ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี หนึ่งในกรรมการประกันสังคม (ฝ่ายผู้ประกันตน) เพื่อฉายภาพและไขข้อข้องใจถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน กับสูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งเป็นความหวังของผู้ประกันตนหลังเกษียณ
ความหวัง 8 ปีที่รอคอย
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ฉายภาพว่า จุดเริ่มต้นของการดำเนินการแก้ไขสูตรบำนาญ สปส. จนเป็นที่มาของ “สูตร CARE” นั้น ทาง สปส.เริ่มมีสิทธิประโยชน์บำนาญตั้งแต่ พ.ศ. 2542 สูตรคำนวณเดิมอ้างอิง (เฉลี่ยจากเงินเดือน 5 ปีสุดท้าย คูณ 20% และบวกอีก 1.5% ที่เกิน 15 ปี)
จุดเริ่มต้นในอดีต เนื่องจากตอนนั้นไม่ได้มีการประเมินว่า พนักงานภาคเอกชนในระบบประกันสังคม ณ ตอนนั้น หากเข้าสู่วัยเกษียณจะมีรายได้หรือฐานเงินเดือนเท่าไหร่ จึงตั้งสมมุติฐานใช้วิธีคำนวณคล้ายระบบราชการ โดยวางกรอบช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณว่าจะมีเงินเดือนมากที่สุด
แต่ความเป็นจริง ต้องรอหลังจากนั้น 15 ปี (พ.ศ. 2542-2557) ถึงมีพนักงานเอกชนคนแรกได้รับบำนาญประกันสังคม ทว่าความจริงสิ่งที่เกิดขึ้น พบว่าผู้ที่ทำงานภาคเอกชนช่วง 5 ปีช่วงสุดท้ายก่อนเกษียณ กว่า 60% ไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่ได้รับเงินเดือนเยอะสุด และกลับมีเงินเดือนลดลง รวมถึงพบปัญหาอื่น ๆ เช่น ลาออกก่อนเกษียณ ถูกเลิกจ้าง ฯลฯ ทำให้สูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพแบบเก่ามีปัญหา
หรือเมื่อเปลี่ยนสถานะจากผู้ประกันตน มาตรา 33 เป็นมาตรา 39 ทำให้ได้รับบำนาญน้อยลงกว่าผู้ที่ส่งช่วง 5 ปีสุดท้ายเยอะ ๆ จนถูกมองว่า “การโกงระบบ” จนมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินเฉพาะตัว ว่าสูตรคำนวณบำนาญชราภาพแบบเก่าไม่เป็นธรรม
ดังนั้น จึงมีการเรียกร้องให้แก้ไขสูตรบำนาญชราภาพสำหรับผู้ประกันตน ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 ซึ่ง สปส.ได้ว่าจ้างองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทำการศึกษาสูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ ๆ โดยอิงมาจากสูตรแม่แบบกองทุนบำนาญ CARE ที่ใช้ในหลายประเทศพัฒนา อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ สวีเดน ฯลฯ
เป็นสูตรคำนวณที่มีการอ้างอิง จากมูลค่าของค่าเงินเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ณ ขณะนั้น มีการศึกษา วิจัย และดำเนินการรับฟังความเห็น แต่ตอนนั้นไม่มีความคืบหน้า เพราะการตั้งบอร์ดประกันสังคมยุคก่อน มาจากการแต่งตั้ง 100% จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะอยากปรับโครงสร้างใหญ่ระบบประกันสังคม จนกระทั่ง พ.ศ. 2566 ภายหลังมีการเลือกตั้งบอร์ด สปส. ครั้งแรกที่ยึดโยงกับผู้ประกันตน จากนั้นจึงมีการผลักดันประเด็นนี้ต่อเนื่องช่วงปี 2568 และสำเร็จในที่สุด
แกะสูตรบำนาญ ที่เป็นธรรมจนวันตาย
ทั้งนี้ สูตรบำนาญแบบเดิม มีชื่อว่า Final Average Earnings (FAE) คำนวณเฉลี่ยจาก 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ และไม่คิดเศษเดือน (เช่น ส่ง 25 ปี 6 เดือน = 25 ปี) ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2540 หรือกว่า 27 ปีที่แล้ว
สำหรับปัญหาของสูตรคำนวณบำนาญ FAE คือ หากผู้ประกันตนมีค่าจ้างลดลง ช่วง 60 เดือนสุดท้าย จะทำให้ได้รับเงินบำนาญที่ลดลงด้วย โดยเฉพาะผู้ประกันตนที่ออกจากงาน และยังส่งเงินสมทบต่อ ตามมาตรา 39 ซึ่งมีเพดานค่าจ้างสูงสุดเพียง 4,800 บาทเท่านั้น ต่ำกว่ามาตรา 33 ที่มีเพดานค่าจ้างสูงสุดที่ 15,000 บาท
ขณะที่ สูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ มีชื่อว่า Career-Average Revalued Earnings (CARE) หลักการคือ คำนวณจากค่าเฉลี่ยของเงินสมทบในระบบ สปส. ตลอดอาชีพการทำงาน โดยนำมาคำนวณเป็นฐานเงินเดือน ก่อนที่จะคูณ 20% และบวกอีก 1.5%
โดยจะอิงตามค่าเงินปัจจุบัน เช่น ปี 2542 ได้ 7,000 บาท เมื่อเกษียณปี 2567 ก็จะได้ 15,000 บาท ซึ่งจะปรับมูลค่าจากฐานให้ได้เป็นปัจจุบันก่อน และนำมาเฉลี่ย โดยใช้ระบบด้านบำนาญเป็นฐานกลาง
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ชี้ว่า สูตรใหม่เมื่อมีการประกาศ จะทำให้ผู้ที่อยู่ในระบบบำนาญ สปส. จำนวนกว่า 5.7 แสนคน จาก 8 แสนคน ได้รับเงินเพิ่มขึ้น หรือคิดเป็น 10% และอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญสูตรใหม่กว่า 3 ล้านคน โดยได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% จากสูตรคำนวณที่เป็นธรรม จนกว่าจะเสียชีวิต
“หลักการคือจ่ายสมทบระบบ สปส.เท่าไหร่ เมื่อได้รับบำนาญประมาณ 5 ปี ก็จะคืนทุนและกลายเป็นกำไร จนกว่าจะเสียชีวิต” กรรมการ สปส. ฝ่ายผู้ประกันตน ระบุ
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ย้ำว่า สูตรคำนวณบำนาญ CARE ไม่ใช่เป็นการเพิ่มบำนาญ แต่เป็นการคำนวณใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกันตนที่สมทบในระบบ สปส.
สมทบนาน-เยอะ บำนาญเยอะสุด
ต่อข้อสงสัยที่ว่า ผู้ประกันตนมาตรา 33 หรือ 39 กลุ่มใดได้ประโยชน์สูงสุด รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ชี้แจงที่ว่า การเปรียบเทียบผู้ประกันตน มาตรา 39 ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ถือเป็นความเข้าใจผิด แต่จริง ๆ เป็นของมาตรา 33
“เพราะคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือ ผู้ที่สมทบด้วยอัตราที่สูงมาเป็นระยะเวลานานก็คือ มาตรา 33 เพราะบางคนอาจจะมีเงินเดือนลดลงช่วงท้ายก่อนเกษียณ ฉะนั้นหากคำนวณจากสูตรใหม่ มาตรา 33 จะได้รับประโยชน์กว่า”
ส่วนมาตรา 39 หากสมทบมานาน ยกตัวอย่างเช่น 20 ปีขึ้นไป จะไม่มีความแตกต่างจากมาตรา 33 เพราะฐานเงินเดือนคงที่ แต่สุดท้ายหากอิงสูตรบำนาญ CARE ใหม่ จะทำให้ได้รับบำนาญเพิ่มขึ้น 7-10 เปอร์เซ็นต์
“หลักการทางคณิตศาสตร์ ถ้าคุณสมทบเป็นเวลานานจะไม่มีวันที่ได้น้อยลง ได้มากอย่างเดียว แต่จะต่างกันตามมูลค่าของการสมทบ”
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ย้ำว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์สูงสุด คือ กลุ่มมาตรา 33 เพราะส่งเงินสมทบเป็นเวลานาน และถ้าส่งในอัตราสูงก็จะได้เงินสมทบเพิ่มขึ้น ส่วนการพัฒนาโครงการนี้เฟส 2 อาจจะมีการให้การคำนวณเพิ่มเติม เช่น ช่วงว่างงาน หรือผู้ประกันตนช่วงตั้งครรภ์ โดยคูณแต้มบำนาญตรงนี้ไปด้วยเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
เงินประคองช่วงท้ายชีวิตที่มีค่า
กรรมการประกันสังคม (ฝ่ายผู้ประกันตน) กล่าวทิ้งท้ายว่า เงินสมทบตรงนี้ถือเป็นเงินเดือนที่คิดตามความจริง เพื่อต้องการทำให้ได้รับความเป็นธรรม เป็นเบาะรองของการการันตีว่า หากทำงานไปเรื่อย ๆ และถึงช่วงสุดท้ายก่อนเกษียณ เงินเดือนลดลง บำนาญจะไม่ลดลงตาม เพราะในยุคปัจจุบันผู้คนมีความต้องการอยากเกษียณก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น
“จากการลงพื้นที่ไปเจอผู้ประกันตนที่เกษียณ เงินนี้ถือเป็นก้อนสุดท้าย แต่สูตรใหม่จะได้เพิ่มมากกว่า 4,500 บาทต่อเดือน จากที่เคยได้เพียง 1,500 บาทต่อเดือน เพื่อให้ผู้ประกันตนประคองชีวิตไปได้”
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการแก้กฎกระทรวง คาดว่าหากดำเนินการตามขั้นตอนปกติเต็มกรอบจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน
แต่เชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้จะสามารถทำให้ขั้นตอนรวดเร็วได้ ฉะนั้นต้องติดตามความคืบหน้าจากฝ่ายการเมืองต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/politics/news-1920670
‘ประกันสังคม’ เปิดสูตรบำนาญ CARE เงินประคองชีวิตก้อนสุดท้ายที่มีค่า
ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการยกร่างกฎกระทรวง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อเตรียมประกาศใช้อย่างเป็นทางการต่อไป
พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ด สปส. แถลงภายหลังการประชุมเรื่องแนวทางการปรับปรุงสูตรคำนวณบำนาญชราภาพของผู้ประกันตน ซึ่งเป็นสูตรใหม่ โดยกล่าวย้ำว่า
“เรื่องนี้ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า เป็นเรื่องดี และมีความจำเป็นต่อระบบบำนาญของประเทศ เพื่อให้กองทุนประกันสังคมมีความยั่งยืน และดูแลผู้ประกันตนได้อย่างทั่วถึงในระยะยาว” พ.ต.ท.วรรณพงษ์กล่าวหลังประกาศไฟเขียวสูตรบำนาญ CARE
ประเด็นดังกล่าวจึงเป็นความหวังผู้ประกันตนมากกว่า 10 ล้านคนทั่วประเทศ แม้จะเป็นเพียงเฟสแรก
อย่างไรก็ตาม ในวงกว้างยังมีคำถามจากผู้ประกันตน ม.33 และ ม.39 ในเรื่องรายละเอียดเงื่อนไขและความชัดเจนต่าง ๆ
ล่าสุด “ประชาชาติธุรกิจ” ได้สัมภาษณ์พิเศษ รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี หนึ่งในกรรมการประกันสังคม (ฝ่ายผู้ประกันตน) เพื่อฉายภาพและไขข้อข้องใจถึงสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน กับสูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ ที่คาดว่าจะเริ่มใช้ในช่วงต้นปี 2569 ซึ่งเป็นความหวังของผู้ประกันตนหลังเกษียณ
ความหวัง 8 ปีที่รอคอย
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี ฉายภาพว่า จุดเริ่มต้นของการดำเนินการแก้ไขสูตรบำนาญ สปส. จนเป็นที่มาของ “สูตร CARE” นั้น ทาง สปส.เริ่มมีสิทธิประโยชน์บำนาญตั้งแต่ พ.ศ. 2542 สูตรคำนวณเดิมอ้างอิง (เฉลี่ยจากเงินเดือน 5 ปีสุดท้าย คูณ 20% และบวกอีก 1.5% ที่เกิน 15 ปี)
จุดเริ่มต้นในอดีต เนื่องจากตอนนั้นไม่ได้มีการประเมินว่า พนักงานภาคเอกชนในระบบประกันสังคม ณ ตอนนั้น หากเข้าสู่วัยเกษียณจะมีรายได้หรือฐานเงินเดือนเท่าไหร่ จึงตั้งสมมุติฐานใช้วิธีคำนวณคล้ายระบบราชการ โดยวางกรอบช่วง 5 ปีสุดท้ายก่อนเกษียณว่าจะมีเงินเดือนมากที่สุด
แต่ความเป็นจริง ต้องรอหลังจากนั้น 15 ปี (พ.ศ. 2542-2557) ถึงมีพนักงานเอกชนคนแรกได้รับบำนาญประกันสังคม ทว่าความจริงสิ่งที่เกิดขึ้น พบว่าผู้ที่ทำงานภาคเอกชนช่วง 5 ปีช่วงสุดท้ายก่อนเกษียณ กว่า 60% ไม่ได้เป็นช่วงเวลาที่ได้รับเงินเดือนเยอะสุด และกลับมีเงินเดือนลดลง รวมถึงพบปัญหาอื่น ๆ เช่น ลาออกก่อนเกษียณ ถูกเลิกจ้าง ฯลฯ ทำให้สูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพแบบเก่ามีปัญหา
หรือเมื่อเปลี่ยนสถานะจากผู้ประกันตน มาตรา 33 เป็นมาตรา 39 ทำให้ได้รับบำนาญน้อยลงกว่าผู้ที่ส่งช่วง 5 ปีสุดท้ายเยอะ ๆ จนถูกมองว่า “การโกงระบบ” จนมีการฟ้องร้องเกิดขึ้น สุดท้ายศาลฎีกาตัดสินเฉพาะตัว ว่าสูตรคำนวณบำนาญชราภาพแบบเก่าไม่เป็นธรรม
ดังนั้น จึงมีการเรียกร้องให้แก้ไขสูตรบำนาญชราภาพสำหรับผู้ประกันตน ตั้งแต่ พ.ศ. 2560 ซึ่ง สปส.ได้ว่าจ้างองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทำการศึกษาสูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ ๆ โดยอิงมาจากสูตรแม่แบบกองทุนบำนาญ CARE ที่ใช้ในหลายประเทศพัฒนา อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส อังกฤษ สวีเดน ฯลฯ
เป็นสูตรคำนวณที่มีการอ้างอิง จากมูลค่าของค่าเงินเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมมากขึ้น ณ ขณะนั้น มีการศึกษา วิจัย และดำเนินการรับฟังความเห็น แต่ตอนนั้นไม่มีความคืบหน้า เพราะการตั้งบอร์ดประกันสังคมยุคก่อน มาจากการแต่งตั้ง 100% จึงไม่มีแรงจูงใจที่จะอยากปรับโครงสร้างใหญ่ระบบประกันสังคม จนกระทั่ง พ.ศ. 2566 ภายหลังมีการเลือกตั้งบอร์ด สปส. ครั้งแรกที่ยึดโยงกับผู้ประกันตน จากนั้นจึงมีการผลักดันประเด็นนี้ต่อเนื่องช่วงปี 2568 และสำเร็จในที่สุด
แกะสูตรบำนาญ ที่เป็นธรรมจนวันตาย
ทั้งนี้ สูตรบำนาญแบบเดิม มีชื่อว่า Final Average Earnings (FAE) คำนวณเฉลี่ยจาก 60 เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ และไม่คิดเศษเดือน (เช่น ส่ง 25 ปี 6 เดือน = 25 ปี) ซึ่งใช้มาตั้งแต่ปี 2540 หรือกว่า 27 ปีที่แล้ว
สำหรับปัญหาของสูตรคำนวณบำนาญ FAE คือ หากผู้ประกันตนมีค่าจ้างลดลง ช่วง 60 เดือนสุดท้าย จะทำให้ได้รับเงินบำนาญที่ลดลงด้วย โดยเฉพาะผู้ประกันตนที่ออกจากงาน และยังส่งเงินสมทบต่อ ตามมาตรา 39 ซึ่งมีเพดานค่าจ้างสูงสุดเพียง 4,800 บาทเท่านั้น ต่ำกว่ามาตรา 33 ที่มีเพดานค่าจ้างสูงสุดที่ 15,000 บาท
ขณะที่ สูตรคำนวณบำนาญแบบใหม่ มีชื่อว่า Career-Average Revalued Earnings (CARE) หลักการคือ คำนวณจากค่าเฉลี่ยของเงินสมทบในระบบ สปส. ตลอดอาชีพการทำงาน โดยนำมาคำนวณเป็นฐานเงินเดือน ก่อนที่จะคูณ 20% และบวกอีก 1.5%
โดยจะอิงตามค่าเงินปัจจุบัน เช่น ปี 2542 ได้ 7,000 บาท เมื่อเกษียณปี 2567 ก็จะได้ 15,000 บาท ซึ่งจะปรับมูลค่าจากฐานให้ได้เป็นปัจจุบันก่อน และนำมาเฉลี่ย โดยใช้ระบบด้านบำนาญเป็นฐานกลาง
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ชี้ว่า สูตรใหม่เมื่อมีการประกาศ จะทำให้ผู้ที่อยู่ในระบบบำนาญ สปส. จำนวนกว่า 5.7 แสนคน จาก 8 แสนคน ได้รับเงินเพิ่มขึ้น หรือคิดเป็น 10% และอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีผู้ประกันตนที่ได้รับเงินบำนาญสูตรใหม่กว่า 3 ล้านคน โดยได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7% จากสูตรคำนวณที่เป็นธรรม จนกว่าจะเสียชีวิต
“หลักการคือจ่ายสมทบระบบ สปส.เท่าไหร่ เมื่อได้รับบำนาญประมาณ 5 ปี ก็จะคืนทุนและกลายเป็นกำไร จนกว่าจะเสียชีวิต” กรรมการ สปส. ฝ่ายผู้ประกันตน ระบุ
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ย้ำว่า สูตรคำนวณบำนาญ CARE ไม่ใช่เป็นการเพิ่มบำนาญ แต่เป็นการคำนวณใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ประกันตนที่สมทบในระบบ สปส.
สมทบนาน-เยอะ บำนาญเยอะสุด
ต่อข้อสงสัยที่ว่า ผู้ประกันตนมาตรา 33 หรือ 39 กลุ่มใดได้ประโยชน์สูงสุด รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ชี้แจงที่ว่า การเปรียบเทียบผู้ประกันตน มาตรา 39 ได้ประโยชน์สูงสุดนั้น ถือเป็นความเข้าใจผิด แต่จริง ๆ เป็นของมาตรา 33
“เพราะคนที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือ ผู้ที่สมทบด้วยอัตราที่สูงมาเป็นระยะเวลานานก็คือ มาตรา 33 เพราะบางคนอาจจะมีเงินเดือนลดลงช่วงท้ายก่อนเกษียณ ฉะนั้นหากคำนวณจากสูตรใหม่ มาตรา 33 จะได้รับประโยชน์กว่า”
ส่วนมาตรา 39 หากสมทบมานาน ยกตัวอย่างเช่น 20 ปีขึ้นไป จะไม่มีความแตกต่างจากมาตรา 33 เพราะฐานเงินเดือนคงที่ แต่สุดท้ายหากอิงสูตรบำนาญ CARE ใหม่ จะทำให้ได้รับบำนาญเพิ่มขึ้น 7-10 เปอร์เซ็นต์
“หลักการทางคณิตศาสตร์ ถ้าคุณสมทบเป็นเวลานานจะไม่มีวันที่ได้น้อยลง ได้มากอย่างเดียว แต่จะต่างกันตามมูลค่าของการสมทบ”
รศ.ดร.ษัษฐรัมย์ย้ำว่า กลุ่มที่ได้ประโยชน์สูงสุด คือ กลุ่มมาตรา 33 เพราะส่งเงินสมทบเป็นเวลานาน และถ้าส่งในอัตราสูงก็จะได้เงินสมทบเพิ่มขึ้น ส่วนการพัฒนาโครงการนี้เฟส 2 อาจจะมีการให้การคำนวณเพิ่มเติม เช่น ช่วงว่างงาน หรือผู้ประกันตนช่วงตั้งครรภ์ โดยคูณแต้มบำนาญตรงนี้ไปด้วยเพื่อให้เกิดความเท่าเทียม
เงินประคองช่วงท้ายชีวิตที่มีค่า
กรรมการประกันสังคม (ฝ่ายผู้ประกันตน) กล่าวทิ้งท้ายว่า เงินสมทบตรงนี้ถือเป็นเงินเดือนที่คิดตามความจริง เพื่อต้องการทำให้ได้รับความเป็นธรรม เป็นเบาะรองของการการันตีว่า หากทำงานไปเรื่อย ๆ และถึงช่วงสุดท้ายก่อนเกษียณ เงินเดือนลดลง บำนาญจะไม่ลดลงตาม เพราะในยุคปัจจุบันผู้คนมีความต้องการอยากเกษียณก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น
“จากการลงพื้นที่ไปเจอผู้ประกันตนที่เกษียณ เงินนี้ถือเป็นก้อนสุดท้าย แต่สูตรใหม่จะได้เพิ่มมากกว่า 4,500 บาทต่อเดือน จากที่เคยได้เพียง 1,500 บาทต่อเดือน เพื่อให้ผู้ประกันตนประคองชีวิตไปได้”
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการแก้กฎกระทรวง คาดว่าหากดำเนินการตามขั้นตอนปกติเต็มกรอบจะใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน
แต่เชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้จะสามารถทำให้ขั้นตอนรวดเร็วได้ ฉะนั้นต้องติดตามความคืบหน้าจากฝ่ายการเมืองต่อไป
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/politics/news-1920670