1. จุดเริ่มต้น
ผม (อายุ 35) คบกับแฟน (อายุ 32, เป็นครู) มาได้ปีกว่า ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยดี แต่แล้วผมได้ค้นพบความจริงว่าเธอมีหนี้สินก้อนใหญ่ 1.8 ล้านบาท (ซึ่งต่อมาเธอบริหารจัดการปิดไป 2 แสนบาท ทำให้ยอดหนี้ที่ต้องวางแผนจริงคือ 1.6 ล้านบาท) ที่มาของหนี้สินจุดเริ่มต้นคือกู้เงินมาซื้อรถ จากนั้นเธอก็มีอาการทรซึมเศร้าและไม่คิดว่าจะมีชีวิตต่อจึงกู้เงินมาใช้จ่ายไม่คิด นอกจากนี้ยังกู้เงินมาลงทุนในธุรกิจขายเสื้อผ้าซึ่งล้มเหลว จากนั้นก็ยืมเงินมาจ่ายหนี้เป็นงูกินหาง จนการเงินถึงขั้นวิกฤต ตอนผมทราบเรื่องจากจดหมายแจ้งหนี้ และได้ถามถึงข้อเท็จจริง และได้ช่วยเธอจัดการแก้หนี้รวมหนี้ในขั้นต้นเพื่อให้มีเงินเหลือมากพอ
2. วิกฤตครอบครัวปฏิเสธ
เมื่อผมตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ ท่านไม่สามารถยอมรับได้เลย ไม่ใช่แค่เรื่อง "หนี้สิน" แต่ยังรวมถึง "ค่านิยม" อีก 5 ข้อที่ท่านไม่ชอบในตัวแฟน (การดื่มสังสรรค์, การแต่งตัว, ทัศนคติเรื่องความขยันทำมาหากินที่ต่างจากครอบครัวผม และบุคลิกครอบครัวของเธอ) สำหรับผมมองว่ามันไม่ได้เกินไปและเธอรู้กาลเทศะ แต่พ่อกับแม่ซึ่งสีแนวคิดแบบสมัยก่อนคิดว่าไม่ดีและเป็นห่วงอนาคตผม ความขัดแย้งนี้รุนแรงขึ้นไปอีก เพราะพ่อแม่ผมมี "แผลเก่า" จากเรื่องของน้องสาวที่เคยปฏิเสธคนที่ท่านเลือกให้
3. การเลิกเพื่อยุติปัญหา
ด้วยแรงกดดันและความขัดแย้งที่รุนแรง ผมจึงถูกบีบให้เลือกระหว่างความสบายใจของพ่อแม่กับอนาคตกับแฟน ผมเลือก "ความสบายใจของพ่อแม่" โดยการ "บอกเลิก" กับเธออย่างเป็นทางการ และลาครอบครัวของเธอเพื่อยุติปัญหา
4. แผนพิสูจน์ตัวเอง
แม้จะบอกเลิก แต่ความรู้สึกในใจผมรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมสำหรับเราเลย นี่เป็นความผิดครั้งแรก
แต่กลับถูกบัผังคับให้เลิกทั้งที่ยังรัก ผ่านไปไม่นานผมจึงได้ตกลงกับแฟนว่า
เป้าหมาย: ในอีก 1 ปีข้างหน้า ผมจะขอโอกาสจากพ่อแม่อีกครั้ง
เงื่อนไข เธอจะต้องพิสูจน์ความตั้งใจจริงด้วยผลลัพธ์ที่จับต้องได้ ได้แก่ 1. สอบผ่านภาษาอังกฤษ (เพื่อปูทางสู่การเลื่อนวิทยฐานะ 2. เริ่มต้นแผนการแก้หนี้อย่างจริงจัง (หนี้จะหมดใน 6-7 ปี 3. พยายามหารายได้เสริม
โดยผมทำหน้าที่เป็น "โค้ช" ติวภาษาอังกฤษให้เธอทางออนไลน์ทุกคืน และช่วยเธอวางแผนเรื่องอาชีพเสริม
5. แผนแตก
การติวทุกคืนทำให้พ่อแม่สงสัย ผมจึงตัดสินใจบอก "ความจริง" ทั้งหมด (เรื่องที่ยังติดต่อกัน, เรื่องการติว, และเรื่องแผน 1 ปี)
ผลลัพธ์คือ ท่าน "ปฏิเสธ" แผนนี้ทันที
ท่านยืนกรานคำเดิมว่า "ไม่ยอมรับ" โดยอ้างเหตุผลเดิมทั้งหมด (หนี้ + ค่านิยม) และมองว่าผม "ดื้อรั้น" และ "ซ่อนเร้น"
6. สถานการณ์ปัจจุบัน "การเผชิญหน้าในสงครามเย็น"
ณ จุดนี้ คือสถานการณ์ที่ตึงเครียดที่สุด
กับพ่อแม่: ผมมองว่าการที่ท่านรู้ก็ดีเหมือนกัน ที่ท่านจะได้ "เตรียมใจ" ตลอด 1 ปีนี้ แต่มันก็ทำให้การแก้ปัญหานั้นยากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการติว หรือการติดต่อกันโดยไม่ได้สนใจความรู้สึกท่าน
กับแฟน: ผมกังวลอย่างหนักว่า หากเธอล่วงรู้ความจริงทั้งหมดว่า "พ่อแม่ปฏิเสธแผน 1 ปีนี้ไปแล้ว" เธออาจจะ "ท้อและยอมแพ้" ไปเลย เพราะมองว่าพยายามไปก็ไม่มีประโยชน์
ความขัดแย้งในใจคุณ ผมเองไม่หวังมรดก และสร้างอนาคตเองได้ แต่ก็ทุกข์ใจอย่างหนักว่า "ชีวิตคู่จะมีความสุขและอบอุ่นได้อย่างไร หากต้องเริ่มต้นโดยที่พ่อแม่ไม่สนับสนุน"
ในตอนนี้ผมเลือกที่จะให้เธอพิสูจน์ตัวเอง และผมเองก็คอยช่วยข้าง ๆ แต่ก็รู้ว่ามีเกมยาวและยากมาก ทุกคนคิดเห็นกับเรื่องราวนี้อย่างไรครับ
ครอบครัวปฏิเสธแฟนด้วยเหตุผลเรื่องหนี้สินและค่านิยม