Belift Lab กล่าวว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการกระทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของ มินฮีจิน โดยอ้างว่าเธอใช้วง ILLIT เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น
มินฮีจินโต้กลับว่า ทุกอย่างที่เธอทำเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ NewJeans เธอกล่าวว่าข้อกล่าวหาเรื่องการลอกเลียนแบบถูกหยิบยกขึ้นมาโดยสาธารณชน และการจัดการแถลงข่าวเป็นหน้าที่ของเธอในฐานะซีอีโอ
ในวันที่ 14 ศาลแพ่งแผนกที่ 12 ของศาลแขวงโซลตะวันตก (ผู้พิพากษาคิมจินยอง) ได้เปิดการพิจารณาครั้งที่ 4 ของคดีที่ Belift Lab ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมินฮีจิน อดีตซีอีโอ ADOR
ก่อนเริ่มการพิจารณา ผู้พิพากษาได้กล่าวเตือนมินฮีจินว่า
“ตามหลักแล้วต้องส่งเอกสารล่วงหน้าก่อน แต่ฝั่งมินฮีจินเพิ่งส่งวันนี้ แบบนี้ฝ่ายโจทก์จะโต้แย้งได้อย่างไร ถือว่ากระบวนการมีปัญหา ต่อไปให้ส่งอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ล่วงหน้า”

Belift Lab อ้างว่าแผนของมินฮีจินมีอยู่ 3 อย่าง ได้แก่
1. ทำให้ HYBE สั่นคลอน
2. โน้มน้าวกระแสสังคมให้เข้าทางตัวเอง
3. ควบคุมการเจรจาเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ
และในกระบวนการทั้งหมดนั้น เธอใช้วง ILLIT เป็นตัวจุดชนวนของแผนนี้
ในมุมมองของ Belift มินฮีจินคือ “มือที่มองไม่เห็น”
โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 เธอได้สั่งให้รองประธานอี “รวบรวมประเด็นที่จะทำให้ผู้บริหารของ HYBE เดือดร้อน” ซึ่งเชื่อว่าการยกประเด็นเรื่องลอกเลียนแบบก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
ต่อไปนี้เป็นแชทบทสนทนาใน KakaoTalk ระหว่างมินฮีจินและรองประธานอี รองประธานอีเป็นคนเขียนสคริปต์ในวันที่ปล่อย brand film เดบิวต์ของ ILLIT (ยังไม่ชัดเจนว่าสคริปต์นี้เขียนขึ้นเพื่อใครหรือมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้อย่างไร)
รองประธานอี: ผมกำลังร่างสคริปต์อยู่ครับ ช่วยให้คำติชมด้วยนะครับ
มินฮีจิน : ใส่ประโยค “ถ้าไม่มีมินฮีจินก็คงลำบากล่ะสิ” อันนี้ลงไปด้วย (เหตุผลก็ประมาณว่าวง OO, OO, OO, ILLIT, ดูสิ ถึงขั้นเลียนแบบ OO ด้วย)
รองประธานอี : ตอนนี้ผมกำลังกินข้าวกับน้องที่ทำงานสายวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ แล้วเรากำลังเอาวิดีโอของ ILLIT มาใช้กันครับ
มินฮีจิน : เรานี่ก็พิเศษไม่เหมือนใครจริงๆนะ ยังก็เถอะ… เรื่องนี้ต้องเป็นแค่การคุยกันแบบส่วนตัวเท่านั้นนะ
มินฮีจินสั่งให้ใส่ประโยคที่เธอแต่งเองว่า
“ถ้าไม่มีมินฮีจิน พวกนั้นคงลำบากล่ะสิ”
พร้อมทั้งเพิ่มข้อความว่า
“ไอดอล 5 วงที่กำลังทำกิจกรรมอยู่ตอนนั้นลอกเลียแบบ NewJeans”
ลงไปด้วย
Belift Lab ชี้ให้เห็นว่าเจตนาของมินฮีจินไม่ได้เป็นเพียงการดูถูกวง ILLIT เท่านั้น แต่มีเป้าหมายซ่อนอยู่ คือการใช้กระแสสังคมเป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับคุณค่าของตัวเอง ทำให้เงื่อนไขในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเปลี่ยนไปในทางที่เธอได้เปรียบ
Belift Lab ระบุว่า
“ในวันที่ปล่อยทีเซอร์ของ ILLIT เธอเอาคลิปที่ทำให้ ILLIT ดูแย่ไปให้ทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ดู และพยายามชักจูงให้พวกเขาเขียนรายงานแนะนำให้ขายหุ้น HYBE เธอวางแผนจะกดดัน HYBE แล้วแก้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อเตรียมทางออกให้ตัวเอง”
มินฮีจินยังใช้ “ฝ่ายสนับสนุนของตัวเอง” ในการทำสงครามความคิดเห็นสาธารณะ การไปออกรายการยูทูปของช่อง ChimChakMan ก็เช่นกัน
เธอบอกว่า “ให้ทำให้คนดูนึกถึงคอนเซปต์ลอกเลียนแบบแบบเป็นธรรมชาติ”
และยังพูดว่า “ผู้กำกับชินอูซอกจะคุมทิศทางให้เป็นไปตามที่ฉันต้องการ”
Belift Lab ใช้ข้อความแชท KakaoTalk ระหว่างมินฮีจินกับรองประธานอีเป็นหลักฐาน โดยในบทสนทนามีข้อความอย่างเช่น
“สุดท้ายคงต้องใช้สื่อแล้วล่ะ”
“ถ้าเป็นข่าวโจมตี HYBE ก็โอเคนะ”
“และเราต้องเตรียมทำศึกสงครามความคิดเห็นสาธารณะ”
ในทางกลับกัน มินฮีจินปฏิเสธทุกอย่าง โดยบอกว่านั่นเป็นการคาดเดาเกินจริงของ Belift Lab เธออ้างว่า
“ประเด็นลอกเลียนแบบเริ่มจากประชาชน ไม่ได้เริ่มจากคำพูดของมินฮีจิน”
และยื่นคอมเมนต์จากชาวเน็ตคนหนึ่งเป็นหลักฐาน เช่น
“เหมือนผู้จัดการบริษัททำปารีครัวซองต์ก่อนแล้วขายดี พอเห็นแบบนั้น ประธานบริษัทเลยทำปารีบาแกตต์ตาม”
ฝ่ายมินฮีจินกล่าวว่า ความคล้ายคลึงกันนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเพื่อประโยชน์ของ NewJeans เท่านั้น เธอยังคงยืนยันว่านี่เป็นอำนาจและหน้าที่ของเธอในฐานะซีอีโอของ Ador เธอเสริมว่า "แม้แต่พนักงานของ Hybe ก็ยังรายงานถึงความคล้ายคลึงกันในแผนงานเหล่านี้"
ในการพิจารณาคดีวันนั้น ศาลยังได้พูดถึงประเด็น “ปั๊มยอดอัลบั้ม” ด้วย
มินฮีจินเคยกล่าวเมื่อเดือนกันยายนว่า
“ในวันสุดท้ายของยอดขายสัปดาห์แรก อัลบั้มของ ILLIT ขายได้ 80,000 แผ่น ดูแล้วเหมือนตั้งใจดันยอดเพื่อให้ทำลายสถิติของ NewJeans หรือเปล่า”
เธอสงสัยว่ามีการปั่นยอดให้เพิ่มในวันสุดท้าย
Belift Lab ตอบโต้ว่า
“อัลบั้ม Get Up ของ NewJeans ก็ขายวันสุดท้ายถึงได้ถึง 300,000 แผ่น ถ้า 80,000 แผ่นของ ILLIT เป็นหลักฐานว่ามีการปั๊มยอด แล้ว 300,000 แผ่นของ NewJeans ก็ต้องถูกมองว่าเป็นการปั๊มยอดเหมือนกันหรือไม่?”
ก่อนจะสรุปว่า นี่เป็นตรรกะประมาณว่า
“พอยอดฉันเยอะคือความนิยม พอคนอื่นยอดเยอะคือปั๊มยอด”
Belift Lab กล่าวว่า
“สุดท้ายผู้ที่กลายเป็นเหยื่อของสงครามความคิดเห็นก็คือ ILLIT วงน้องใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ ยังไม่มีฐานแฟนด้วยซ้ำ แต่มินฮีจินกลับเลือกโจมตีวงที่อ่อนแอที่สุดเพื่อสร้างกระแสให้ตัวเอง”
Belift Lab ยังเปิดเผยแชต KakaoTalk ที่เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยเรื่อง “ปั๊มยอด” โดยบอกว่าสิ่งที่มินฮีจินทำก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
เป็นแชตจากเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งตอนนั้นเป้าโจมตีไม่ได้เป็น ILLIT แต่เป็นอีกวงหนึ่ง
รองประธานอี : การโจมตี HYBE โดยใช้ประเด็นปั๊มยอด จะส่งผลยังไงกับการทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น?
รองประธานอี : ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้ HYBE เจ็บตัวได้บ้าง
มินฮีจิน : แยกเขียนให้หน่อยนะ ระหว่างประเด็นที่คณะกรรมการความเป็นธรรมทางการค้าเฝ้าดูอยู่ กับประเด็นที่กรมสรรพากรเฝ้าดูอยู่
Belift Lab ยังนำไฟล์ “
Project 1945” ของมินฮีจินและรองประธานอีมาเป็นหลักฐานด้วย ในเอกสารดังกล่าวมีการวางแผนเรื่อง การจัดการชาร์ตเพลง + คณะกรรมการความเป็นธรรมทางการค้า วันที่จัดทำไฟล์คือ 2 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ ILLIT จะเดบิวต์ในวันที่ 25 มีนาคม แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนโจมี ILLIT ล่วงหน้า
Belift Lab ร้องเรียนว่าได้รับความเสียหายจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ก่อนการแถลงข่าวของมินฮีจิน คีย์เวิร์ดเกี่ยวกับ ILLIT เป็นคำเช่น “ขอบคุณ”, “สนับสนุน”, “น่ารัก” แต่หลังจากการแถลงข่าว คีย์เวิร์ดเปลี่ยนเป็น “น่าสงสาร”, “ลอกเลียนแบบ”, “ประเด็นถกเถียง”
ฝ่ายมินฮีจินตอบโต้ว่า
“การใช้คำว่า ‘ลอกเลียนแบบ’ เกิดจากการยอมรับว่ามีความคล้ายกัน ไม่ใช่การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การพูดถึงเรื่องลอกเลียนแบบในแถลงข่าวใช้เวลาประมาณ 5 นาที เป็นการตอบคำถามและเป็นความจริงทั้งหมด”
Belift Lab ระบุว่า
“หลังสงครามกระแสของมินฮีจิน ยอดสั่งซื้ออัลบั้มลดลงอย่างรวดเร็ว ตารางถ่ายทำถูกยกเลิก การโฆษณาถูกระงับ รวมถึงได้รับคำวิจารณ์เชิงลบและคำพูดรุนแรง ทำให้ได้รับความเสียหายทั้งทรัพย์สินและจิตใจ”
มินฮีจินโต้ว่า
“ยอดขายอัลบั้มมักลดลงหลังสัปดาห์แรกอยู่แล้ว นี่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะคำพูดของมินฮีจิน การกล่าวหาว่ามีความเสียหายเป็นเรื่องเกินจริง และถ้าเป็นสงครามกระแสที่รุนแรงเกินกว่าจะรับได้ คนที่ทำไม่ใช่ฉัน แต่เป็น HYBE ต่างหาก”
วันพิจารณาคดีครั้งต่อไปกำหนดไว้วันที่ 9 มกราคม 2026 เวลา 16.00 น. (เวลาเกาหลี)
https://m.entertain.naver.com/home/article/433/0000122673
Belift แสดงแชทหลักฐานในศาลว่า มินฮีจินวางแผนโจมตี HYBE, ชักจูงกระแสสังคม, ผลประโยชน์ส่วนตัว โดยใช้ ILLIT เป็นตัวจุดฉนวน
มินฮีจินโต้กลับว่า ทุกอย่างที่เธอทำเป็นไปเพื่อประโยชน์ของ NewJeans เธอกล่าวว่าข้อกล่าวหาเรื่องการลอกเลียนแบบถูกหยิบยกขึ้นมาโดยสาธารณชน และการจัดการแถลงข่าวเป็นหน้าที่ของเธอในฐานะซีอีโอ
ในวันที่ 14 ศาลแพ่งแผนกที่ 12 ของศาลแขวงโซลตะวันตก (ผู้พิพากษาคิมจินยอง) ได้เปิดการพิจารณาครั้งที่ 4 ของคดีที่ Belift Lab ยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายจากมินฮีจิน อดีตซีอีโอ ADOR
ก่อนเริ่มการพิจารณา ผู้พิพากษาได้กล่าวเตือนมินฮีจินว่า
“ตามหลักแล้วต้องส่งเอกสารล่วงหน้าก่อน แต่ฝั่งมินฮีจินเพิ่งส่งวันนี้ แบบนี้ฝ่ายโจทก์จะโต้แย้งได้อย่างไร ถือว่ากระบวนการมีปัญหา ต่อไปให้ส่งอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ล่วงหน้า”
1. ทำให้ HYBE สั่นคลอน
2. โน้มน้าวกระแสสังคมให้เข้าทางตัวเอง
3. ควบคุมการเจรจาเพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ
และในกระบวนการทั้งหมดนั้น เธอใช้วง ILLIT เป็นตัวจุดชนวนของแผนนี้
ในมุมมองของ Belift มินฮีจินคือ “มือที่มองไม่เห็น”
มินฮีจิน : ใส่ประโยค “ถ้าไม่มีมินฮีจินก็คงลำบากล่ะสิ” อันนี้ลงไปด้วย (เหตุผลก็ประมาณว่าวง OO, OO, OO, ILLIT, ดูสิ ถึงขั้นเลียนแบบ OO ด้วย)
รองประธานอี : ตอนนี้ผมกำลังกินข้าวกับน้องที่ทำงานสายวิเคราะห์ข้อมูลอยู่ แล้วเรากำลังเอาวิดีโอของ ILLIT มาใช้กันครับ
มินฮีจิน : เรานี่ก็พิเศษไม่เหมือนใครจริงๆนะ ยังก็เถอะ… เรื่องนี้ต้องเป็นแค่การคุยกันแบบส่วนตัวเท่านั้นนะ
“ถ้าไม่มีมินฮีจิน พวกนั้นคงลำบากล่ะสิ”
Belift Lab ชี้ให้เห็นว่าเจตนาของมินฮีจินไม่ได้เป็นเพียงการดูถูกวง ILLIT เท่านั้น แต่มีเป้าหมายซ่อนอยู่ คือการใช้กระแสสังคมเป็นเครื่องมือเพื่อยกระดับคุณค่าของตัวเอง ทำให้เงื่อนไขในสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเปลี่ยนไปในทางที่เธอได้เปรียบ
Belift Lab ระบุว่า
“ในวันที่ปล่อยทีเซอร์ของ ILLIT เธอเอาคลิปที่ทำให้ ILLIT ดูแย่ไปให้ทีมวิเคราะห์หลักทรัพย์ดู และพยายามชักจูงให้พวกเขาเขียนรายงานแนะนำให้ขายหุ้น HYBE เธอวางแผนจะกดดัน HYBE แล้วแก้สัญญาระหว่างผู้ถือหุ้นเพื่อเตรียมทางออกให้ตัวเอง”
และยังพูดว่า “ผู้กำกับชินอูซอกจะคุมทิศทางให้เป็นไปตามที่ฉันต้องการ”
Belift Lab ใช้ข้อความแชท KakaoTalk ระหว่างมินฮีจินกับรองประธานอีเป็นหลักฐาน โดยในบทสนทนามีข้อความอย่างเช่น
“สุดท้ายคงต้องใช้สื่อแล้วล่ะ”
“ถ้าเป็นข่าวโจมตี HYBE ก็โอเคนะ”
“และเราต้องเตรียมทำศึกสงครามความคิดเห็นสาธารณะ”
ในทางกลับกัน มินฮีจินปฏิเสธทุกอย่าง โดยบอกว่านั่นเป็นการคาดเดาเกินจริงของ Belift Lab เธออ้างว่า
“ประเด็นลอกเลียนแบบเริ่มจากประชาชน ไม่ได้เริ่มจากคำพูดของมินฮีจิน”
“เหมือนผู้จัดการบริษัททำปารีครัวซองต์ก่อนแล้วขายดี พอเห็นแบบนั้น ประธานบริษัทเลยทำปารีบาแกตต์ตาม”
“ในวันสุดท้ายของยอดขายสัปดาห์แรก อัลบั้มของ ILLIT ขายได้ 80,000 แผ่น ดูแล้วเหมือนตั้งใจดันยอดเพื่อให้ทำลายสถิติของ NewJeans หรือเปล่า”
เธอสงสัยว่ามีการปั่นยอดให้เพิ่มในวันสุดท้าย
Belift Lab ตอบโต้ว่า
“อัลบั้ม Get Up ของ NewJeans ก็ขายวันสุดท้ายถึงได้ถึง 300,000 แผ่น ถ้า 80,000 แผ่นของ ILLIT เป็นหลักฐานว่ามีการปั๊มยอด แล้ว 300,000 แผ่นของ NewJeans ก็ต้องถูกมองว่าเป็นการปั๊มยอดเหมือนกันหรือไม่?”
“พอยอดฉันเยอะคือความนิยม พอคนอื่นยอดเยอะคือปั๊มยอด”
Belift Lab กล่าวว่า
“สุดท้ายผู้ที่กลายเป็นเหยื่อของสงครามความคิดเห็นก็คือ ILLIT วงน้องใหม่ที่เพิ่งเดบิวต์ ยังไม่มีฐานแฟนด้วยซ้ำ แต่มินฮีจินกลับเลือกโจมตีวงที่อ่อนแอที่สุดเพื่อสร้างกระแสให้ตัวเอง”
Belift Lab ยังเปิดเผยแชต KakaoTalk ที่เกี่ยวข้องกับข้อสงสัยเรื่อง “ปั๊มยอด” โดยบอกว่าสิ่งที่มินฮีจินทำก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
เป็นแชตจากเดือนกุมภาพันธ์ 2024 ซึ่งตอนนั้นเป้าโจมตีไม่ได้เป็น ILLIT แต่เป็นอีกวงหนึ่ง
รองประธานอี : การโจมตี HYBE โดยใช้ประเด็นปั๊มยอด จะส่งผลยังไงกับการทำสัญญาระหว่างผู้ถือหุ้น?
รองประธานอี : ผมกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้ HYBE เจ็บตัวได้บ้าง
มินฮีจิน : แยกเขียนให้หน่อยนะ ระหว่างประเด็นที่คณะกรรมการความเป็นธรรมทางการค้าเฝ้าดูอยู่ กับประเด็นที่กรมสรรพากรเฝ้าดูอยู่
Belift Lab ยังนำไฟล์ “Project 1945” ของมินฮีจินและรองประธานอีมาเป็นหลักฐานด้วย ในเอกสารดังกล่าวมีการวางแผนเรื่อง การจัดการชาร์ตเพลง + คณะกรรมการความเป็นธรรมทางการค้า วันที่จัดทำไฟล์คือ 2 มีนาคม ซึ่งเป็นช่วงก่อนที่ ILLIT จะเดบิวต์ในวันที่ 25 มีนาคม แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนโจมี ILLIT ล่วงหน้า
Belift Lab ร้องเรียนว่าได้รับความเสียหายจากการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ก่อนการแถลงข่าวของมินฮีจิน คีย์เวิร์ดเกี่ยวกับ ILLIT เป็นคำเช่น “ขอบคุณ”, “สนับสนุน”, “น่ารัก” แต่หลังจากการแถลงข่าว คีย์เวิร์ดเปลี่ยนเป็น “น่าสงสาร”, “ลอกเลียนแบบ”, “ประเด็นถกเถียง”
ฝ่ายมินฮีจินตอบโต้ว่า
“การใช้คำว่า ‘ลอกเลียนแบบ’ เกิดจากการยอมรับว่ามีความคล้ายกัน ไม่ใช่การเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การพูดถึงเรื่องลอกเลียนแบบในแถลงข่าวใช้เวลาประมาณ 5 นาที เป็นการตอบคำถามและเป็นความจริงทั้งหมด”
Belift Lab ระบุว่า
“หลังสงครามกระแสของมินฮีจิน ยอดสั่งซื้ออัลบั้มลดลงอย่างรวดเร็ว ตารางถ่ายทำถูกยกเลิก การโฆษณาถูกระงับ รวมถึงได้รับคำวิจารณ์เชิงลบและคำพูดรุนแรง ทำให้ได้รับความเสียหายทั้งทรัพย์สินและจิตใจ”
มินฮีจินโต้ว่า
“ยอดขายอัลบั้มมักลดลงหลังสัปดาห์แรกอยู่แล้ว นี่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่เพราะคำพูดของมินฮีจิน การกล่าวหาว่ามีความเสียหายเป็นเรื่องเกินจริง และถ้าเป็นสงครามกระแสที่รุนแรงเกินกว่าจะรับได้ คนที่ทำไม่ใช่ฉัน แต่เป็น HYBE ต่างหาก”
วันพิจารณาคดีครั้งต่อไปกำหนดไว้วันที่ 9 มกราคม 2026 เวลา 16.00 น. (เวลาเกาหลี)