สงครามโทรคมนาคม จบหรือยัง แล้วต่อไปแข่งกันด้วยอะไร ?

ศึกห้ำหั่นกัน ระหว่างสองค่ายยักษ์ การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในโลกยุคใหม่ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง..

https://www.facebook.com/share/p/1A37BiE2PT/?mibextid=wwXIfr


ย้อนกลับไปไตรมาสแรก ปี 2567 True ควบรวมกิจการกับ dtac ทำให้ฐานลูกค้าเติบโตแบบก้าวกระโดด มาอยู่ที่ 51.3 ล้านเลขหมาย ซึ่งมากกว่า AIS ในเวลานั้นที่มีอยู่ 45 ล้านเลขหมาย

แต่ถ้ามองในอีกมุม ณ เวลานั้น AIS มีส่วนแบ่งตลาดในเชิงรายได้มากกว่า จากกลยุทธ์ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อลูกค้าหนึ่งคนได้มากกว่า

แต่แล้วก็เกิดจุดพลิกผันอีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 6 เดือน..

โดยในไตรมาส 3 ปี 2568 พบว่า AIS มีฐานลูกค้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ 46.3 ล้านเลขหมาย
แต่ True มีฐานลูกค้าลดลงเหลือ 46.9 ล้านเลขหมาย

หนึ่งในเหตุผลที่ True มีลูกค้าลดลงคงมาจากในช่วงแรกหลังควบรวมกิจการ ที่มีนโยบายเลือกที่ใช้ระบบโครงข่ายเดียว (Single Grid) เพื่อลดเสาซ้ำซ้อนระหว่าง True และ dtac

และสิ่งที่ตามมาระหว่างขั้นตอนการเปลี่ยนระบบ ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน ส่งผลให้ผู้ใช้บริการบางพื้นที่เจอปัญหาอินเทอร์เน็ตช้า สัญญาณไม่สเถียร เพราะต้องแย่งสัญญาณกันเองในช่วงนั้น

สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมีลูกค้า True จำนวนหนึ่งเลือกจะย้ายค่ายมาใช้บริการ AIS

นั่นคือปัจจัยภายนอก ที่ AIS ได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ

ส่วนปัจจัยภายในคือ AIS เลือกที่จะใช้กลยุทธ์เชิงรุกเพิ่มจำนวนฐานลูกค้าให้เติบโต

แล้ว AIS กำลังใช้วิธีไหน เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้เติบโต ?
และการแข่งขันระหว่าง 2 ยักษ์ใหญ่โทรคมนาคม เพื่อชิงฐานผู้ใช้งาน จบแล้วหรือยัง ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง  

ถ้าสังเกตข้อมูลเปรียบเทียบจำนวนผู้ใช้บริการโทรคมนาคมในแต่ละ Segment ช่วงไตรมาส 3 ปี 2568

True ฐานลูกค้ารายเดือน 15 ล้านเลขหมาย
AIS ฐานลูกค้ารายเดือน 13.4 ล้านเลขหมาย

AIS ฐานลูกค้าเติมเงิน 32.8 ล้านเลขหมาย
True ฐานลูกค้าเติมเงิน 31.8 ล้านเลขหมาย

AIS ฐานลูกค้า 5G 15.8 ล้านเลขหมาย
True ฐานลูกค้า 5G 15.5 ล้านเลขหมาย

จะเห็นว่า AIS เป็นผู้นำใน Segment เติมเงิน ที่เป็นตลาดใหญ่สุด และ 5G ที่กำลังมีผู้ใช้งานเติบโต

เบื้องหลังการเติบโตนี้มาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะการลงทุนในการพัฒนาโครงข่ายสัญญาณมือถือ 5G และอินเทอร์เน็ตบ้านอย่างต่อเนื่องกว่า 25,000-27,000 ล้านบาทต่อปี

เมื่อมีโครงข่ายสัญญาณคุณภาพที่เป็นหัวใจหลักแล้ว
นอกจากใช้สร้างแรงดึงดูดจากลูกค้า ยังต่อยอดสร้างแพ็กเกจที่หลากหลาย มาตอบโจทย์พฤติกรรมการใช้งาน โดยเฉพาะ 5G ที่กำลังสร้างฐานผู้ใช้เติบโต

รวมไปถึงดีลการร่วมมือกับ JAS ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกและ FA Cup ในราคาเริ่มต้น 199 บาทต่อเดือน ที่ถือเป็นอีกหนึ่ง “ไม้ตาย” ในการแย่งชิงลูกค้าไปจาก True

เพราะต้องยอมรับว่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดพรีเมียร์ลีกในอดีตถือเป็นอีกหนึ่ง “แม่เหล็ก” ที่ True ใช้ดึงดูดลูกค้าอยู่กับตัวเอง พอเปลี่ยนมือมาอยู่ที่ AIS ก็น่าจะทำให้ True สูญเสียลูกค้ากลุ่มคอบอลจำนวนมาก
เพราะหากอยากรับชมการแข่งขันพรีเมียร์ลีกครบทุกแมตช์ ก็อาจต้องย้ายค่ายมาใช้บริการ AIS แทน    

รวมไปถึงที่ผ่านมา AIS ยังทำแพ็กเกจบันเดิลกับ iPhone หลายรุ่นอย่างต่อเนื่อง และแพ็กเกจบันเดิลไปยังธุรกิจอินเทอร์เน็ตบ้าน AIS 3BB FIBRE 3 ที่นำเสนอราคาที่คุ้มค่ากว่าการใช้บริการเดียว

วิธีนี้เองที่นอกจากจะดึงดูดลูกค้าให้มาใช้บริการ AIS แล้วนั้น
ยังเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้งานหนึ่งคน ที่ไม่ได้จำกัดแค่บริการสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตอย่างเดียว แต่ยังมีค่าใช้จ่ายผ่านบริการอื่น ๆ

พอต้นน้ำธุรกิจอย่าง “โครงข่ายสัญญาณ” เสถียรลูกค้าเชื่อมั่น บวกกับวิธี Add On ธุรกิจอื่นๆ
พร้อมสร้างความหลากหลายในเชิงโครงสร้างราคาที่เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม

จนดึงดูดฐานลูกค้ามาได้ 46.3 ล้านเลขหมาย และมีลูกค้าแซงหน้า True ในกลุ่ม Segment ใหญ่ อย่างกลุ่มลูกค้า “เติมเงิน”
และในฐานลูกค้า 5G ที่เป็น Segment ที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง
ซึ่งนำมาถึงข้อได้เปรียบในการต่อยอดไปสู่ธุรกิจบริการดิจิทัลอื่น ๆ

เมื่อต่อจากนี้ Operator จะไม่ได้จำกัดตัวเองเป็นแค่ผู้ให้บริการสัญญาณโทรคมนาคมอย่างเดียว เหมือนในอดีต

แต่จะใช้จุดแข็งที่เป็นผู้ให้บริการสัญญาณมือถือและอินเทอร์เน็ตที่มีฐานลูกค้ามหาศาล
มาสร้างบริการดิจิทัลแบบ Ecosystem ทั้งแบบลงทุนเอง และร่วมมือกับบริษัทต่างอุตสาหกรรม

ตัวอย่างบริการดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของผู้คน เช่น บริการการเงิน, ท่องเที่ยว, ขนส่งพัสดุ, Food Delivery และอีกมากมายในอนาคต

ความน่าจะเป็นคือ ทั้งฝั่ง AIS และฝั่ง True จะมุ่งไปสู่ถนนเส้นเดียวกันคือการเป็น Operator
ที่เน้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านบริการที่เป็น Ecosystem

การแย่งชิงฐานลูกค้าจากที่เข้มข้นอยู่แล้ว จึงน่าจะเข้มข้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า
เพราะนั่นหมายถึง ลูกค้าหนึ่งคน จะไม่ได้ใช้บริการแค่สัญญาณมือถืออย่างเดียวเหมือนเดิม
แต่จะใช้บริการดิจิทัลอีกมากมายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ โอกาสสร้างรายได้และกำไรของบริษัทจะเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

สุดท้ายแล้ว การเหลือผู้เล่น 2 ยักษ์ใหญ่ ที่หลายคนอาจมองว่า “สงครามจบแล้ว”  
อาจจะต้องคิดใหม่ เพราะทั้งคู่กำลังลงเล่นในสนามใหญ่ ที่พลิกเกมอนาคต ไม่ใช่ Operator เดิม ๆ แต่ต้องการจะเป็น Super Operator ที่มีธุรกิจดิจิทัลที่หลากหลาย แทรกซึมเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของผู้คน

นั่นเท่ากับว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมในโลกยุคใหม่ เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง..

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่