ทำไม “เงินที่มั่นคง” บางครั้งถึงไม่ใช่เงินบาท — มุมมองตามหลักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน

💡 ทำไม “เงินที่มั่นคง” บางครั้งถึงไม่ใช่เงินบาท — มุมมองตามหลักเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน

หลายคนอาจตั้งคำถามว่า
“มั่นคงอะไร? ราคาบิตคอยน์ขึ้นลงทุกวัน จะมั่นคงกว่าเงินบาทได้ยังไง?”

คำว่า “มั่นคง” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงราคาไม่ผันผวน
แต่หมายถึง ความมั่นคงของหลักการ — หรือความ “ไม่ถูกบิดเบือน” จากผู้มีอำนาจ
ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Hard Money ตามแนวคิดของเศรษฐศาสตร์ออสเตรียน

🏛️ 1. เงินเฟียต: เงินที่เสถียรแค่ชื่อ แต่เปราะบางในโครงสร้าง

ในระบบเงินเฟียต รัฐหรือธนาคารกลางสามารถ “สร้างเงินใหม่” เข้าระบบได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรียกว่า:

มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

โครงการประชานิยม 50-50

บัตรกดเงิน

เงินดิจิทัลเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย

QE (Quantitative Easing)

แม้จะอธิบายด้วยเหตุผลที่ดูดี แต่ในมุมของเศรษฐศาสตร์ออสเตรีย สิ่งนี้คือ การทำให้ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นโดยไม่อิงผลผลิตจริงของประเทศ

> “สิ่งใดมีมากเกินไป มูลค่าจะลดลง”
— หลักการพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์

เมื่อเงินเฟ้อเกิดขึ้นจากการเพิ่มปริมาณเงิน ผู้ที่รับผลกระทบก่อนคือประชาชนทั่วไป เพราะราคาสินค้าเพิ่มเร็วกว่ารายได้ ทำให้ “อำนาจซื้อ” ลดลงเรื่อย ๆ แม้จำนวนเงินบาทในบัญชีจะเท่าเดิมก็ตาม

ในขณะที่กลุ่มคนที่ได้ประโยชน์ก่อน คือคนที่ “ได้ใช้เงินใหม่ก่อน” เช่น สถาบันการเงินหรือกลุ่มใกล้อำนาจ — นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Cantillon Effect

🔒 2. ทำไมบิตคอยน์ถูกมองว่า “มั่นคงกว่า” แม้ราคาจะเหวี่ยง?

ตามหลักเศรษฐศาสตร์ออสเตรีย ความมั่นคงของเงินดูจาก กติกา ไม่ใช่ราคาวันต่อวัน:

✔️ ปริมาณจำกัด 21 ล้านเหรียญ ไม่มีใครเพิ่มได้

ต่างจากเงินเฟียตที่พิมพ์ได้ไม่จำกัด

✔️ ไม่มีศูนย์กลางอำนาจคอยเปลี่ยนกติกา

ตราบใดที่เครือข่ายยังทำงานตามฉันทามติ บิตคอยน์ไม่สามารถถูก “ออกคำสั่ง” ให้เพิ่มจำนวนได้

✔️ โปร่งใส ตรวจสอบได้

ทุกธุรกรรมเปิดเผยบนบล็อกเชน

ในมุมของสำนักออสเตรีย สิ่งนี้เรียกว่า Sound Money
หรือ “เงินที่ต่อต้านการถูกบิดเบือน (Manipulation-proof)”

แม้ราคาจะผันผวน — ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่มันยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นการยอมรับ (Price Discovery Phase) — แต่ “ความมั่นคงของกติกา” ทำให้บิตคอยน์มีคุณสมบัติของสินทรัพย์ที่เหมาะกับการสะสมมูลค่าในระยะยาว

📉 3. อะไรจะเกิดขึ้นถ้า “การสร้างเงินใหม่” ไม่หยุด?

ตามกรอบคิดของเศรษฐศาสตร์ออสเตรีย ผลลัพธ์จะเกิดขึ้นเป็นลำดับดังนี้:

1. เงินเฟ้อเรื้อรัง (Chronic Inflation)
ราคาสินค้าขึ้นเร็วกว่าเงินเดือน

2. การบิดเบือนสัญญาณราคา (Price Distortion)
ผู้ประกอบการวางแผนผิด เพราะราคาไม่สะท้อนความขาดแคลนจริง

3. ฟองสบู่ในสินทรัพย์ (Asset Bubble)
หุ้น ที่ดิน คริปโต ราคาพุ่งเพราะเงินใหม่ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ก่อน

4. ความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น (Inequality)
กลุ่มคนที่ได้ใช้เงินใหม่ก่อนรวยขึ้น
แต่คนใช้เงินหลังสุดซื้อของแพงขึ้นเรื่อย ๆ

5. เสถียรภาพระบบพังทลาย (Systemic Breakdown)
ความเชื่อมั่นต่อสกุลเงินลดลง เหมือนที่เกิดในประวัติศาสตร์หลายประเทศ

🧠 สรุป: ราคาผันผวนไม่ใช่ศัตรูที่แท้จริง — ศัตรูคือ “การถูกลดค่าทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว”

ความมั่นคงแบบที่พูดถึง…
คือความมั่นคงที่ ไม่มีใครปริ้นเพิ่ม ไม่ถูกเล่นเกมการเมือง ไม่ถูกแทรกแซง
ไม่ว่าจะเป็น:

เงินบาท

ทองคำ

หรือบิตคอยน์

การมองเงินควรมองที่ “กติกา” มากกว่าราคาวันต่อวัน
เพราะในระยะยาว เงินเฟียตอาจยังคงอยู่…
แต่ คุณค่าของมันจะเล็กลงเรื่อย ๆ

ในขณะที่สินทรัพย์แบบ Sound Money
อาจผันผวนในวันนี้ แต่ยืนหยัดในกติกาที่ซื่อสัตย์

> คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “ราคาบิตคอยน์จะขึ้นไหม?”
แต่คือ
“เงินอะไรเก็บมูลค่าเราได้ในอีก 10–20 ปีข้างหน้า?”

#soundmoneyzap #siamstr #bitcoin
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่