(บทความต้นฉบับ)
ตอนนี้มันชัดว่าคนถูกแยกเป็น 2 ชั้น แบบตัว K
K บน มีไม่มาก เงินมาก เงินส่วนใหญ่อยู่ในทรัพย์สิน
K ล่างมีมาก แต่เงินน้อย ซึ่งคนส่วนนี้เป็นคนใช้เงินทำให้เงินหมุนในระบบ
ปัจจุบัน
ความเร็วของการหมุนเวียนเงิน” (Velocity of Money)2567 = GDP/ปริมาณเงิน M2 = 19 ล้านล้าน/27ล้านล้าน = 0.7
เงินหมุนไม่ถึงรอบ แสดงว่าเงินส่วนหนึ่งถูกเอาไปใช้หนี้
เปรียบเทียบกับต่างประเทศ
สหรัฐฯ ~1.3 รอบ/ปี
ญี่ปุ่น ~0.5 รอบ/ปี
ไทย ~0.7 รอบ/ปี
คนละครึ่ง หากสิทธิ์รวม = 20,000,000 คน และผู้ใช้จริง ≈ 19,700,000 คน หากรัฐเติมคนละ 2000 บาท คนจ่ายเพิ่มอีก 2000 บาท
1. เงินหมุนในระบบครั้งแรก”
19,700,000×4,000=78,800,000,00019,700,000 \times 4,000 = 78,800,000,00019,700,000×4,000=78,800,000,000
➡️
รวมเงินหมุนในระบบรอบแรกอย่างน้อย = 78,800 ล้านบาท (หรือ 7.88 หมื่นล้านบาท)
2.ประเมิน “ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (GDP Multiplier)”
ตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ของประเทศไทยจากโครงการลักษณะ “อัดฉีดตรงสู่ประชาชน”
โดยเฉลี่ยอยู่ที่
1.3 – 1.6 เท่า (อ้างจาก ธปท. และสศช.) จากคนละคร่งก่อนหน้านี้
เราจะคำนวณให้ดูทั้งสองกรณี:
🧭 กรณีต่ำ (Multiplier = 1.3)
78,800,000,000×1.3=102,440,000,00078,800,000,000 \times 1.3 = 102,440,000,00078,800,000,000×1.3=102,440,000,000
➡️ GDP เพิ่มประมาณ
102,440 ล้านบาท
🧭 กรณีสูง (Multiplier = 1.6)
78,800,000,000×1.6=126,080,000,00078,800,000,000 \times 1.6 = 126,080,000,00078,800,000,000×1.6=126,080,000,000
➡️ GDP เพิ่มประมาณ
126,080 ล้านบาท
เงินที่รัฐและประชาชนร่วมกันใช้ (รวม 7.88 หมื่นล้านบาท)
→ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเพิ่มขึ้นเป็น
ประมาณ 1.0–1.3 แสนล้านบาทใน GDP
คิดเป็นประมาณ
0.5–0.7% ของ GDP ไทยทั้งปี (ราว 18–19 ล้านล้านบาท)
สำหรับการหมุนของเงินรอบต่อไปขึ้นอยู่กับว่าคนที่รับเงินไปเอาเงินไปใช้ต่อกี่เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่ไม่น่าถึงครึ่ง
กรณีใช้ต่อ 30 % 1.43 รอบ เงินหมุนสะสม 112,571.4 ล้าน (≈112.6 พันล้าน)
เงินหมุนเพิ่มขึ้นจากรอบแรก 33,771.4 ล้าน คิดรวมเป็น 0.59% ของ GDP
กรณีใช้ต่อ 50 % 2.00 รอบ เงินหมุนสะสม 157,600.0 ล้าน (≈157.6 พันล้าน เงินหมุนเพิ่มจากรอบแรก 78,800.0 ล้าน
คิดรวมเป็น 0.83% ของ GDP
จริงๆคนยุคพ่อไม่เขาไม่ซือของ online ซึ้อจากร้านค้าโดยตรง เงินหมุนหลายรอบในระบบ
เงิน 100 บาท หมุน ในระบบ 10 รอบ เท่ากับ 1000 บาท
ปัจจุบัน เงิน 100 บาทหมุนในระบบ 0.7 รอบ เท่ากับ เงิน 100 บาท หมุนจริงแค่ 70 บาท เพราะส่วนหนึ่งเอาไปจ่ายหนี้ก่อนแล้ว
คนละครึ่งจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ถุกจุด เพราะแจก เงินให้ไปจ่าย หมุนเวียนในระบบ
ไม่ใช่แจกเงินเฉยๆ ให้ไปจ่าย หนี้ (ดอกเบี้ย) ก่อน ไม่เหลือจับจ่ายใช้สอย ซึ่งระบบเศรษฐกิจไมได้อะไรกลับมา
ต่อไป เงินจะแจกมาหมุนเศรษฐกิจอยู่เรื่อง โดยเงินจะมาจากการพิมพ์ธนบัตรผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล
ของอะไรที่มีจำกัด จะราคาเพิ่มเรื่อย เช่นที่ดินในเมืองใจกลางเศรษฐกิจ ทองคำ บิทคอยน์ ภาพเขียนภาพวาด ของเก่าสะสมที่ไม่ผลิตแล้ว
ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ
จีนทำ ไทยใช้ จีนเจริญ
ปล.. อย่าลืมเปิดเพลงฟังนะครับ ยุคหนึ่งเขารณรงค์ให้มาใช้ของไทย ผมก็คิดว่ายุคนี้ยิ่งกว่ายุคก่อนอีก เพราะเงินแทบไม่หมุนในระบบแล้ว
เรามาถึงยุคที่ต่อไปเพิ่ม GDP ด้วยเงินแจก---> โครงการคนละครึ่งสามารถ เพิ่ม GDP ได้ถึง 0.5-0.7 %
ตอนนี้มันชัดว่าคนถูกแยกเป็น 2 ชั้น แบบตัว K
K บน มีไม่มาก เงินมาก เงินส่วนใหญ่อยู่ในทรัพย์สิน
K ล่างมีมาก แต่เงินน้อย ซึ่งคนส่วนนี้เป็นคนใช้เงินทำให้เงินหมุนในระบบ
ปัจจุบัน
ความเร็วของการหมุนเวียนเงิน” (Velocity of Money)2567 = GDP/ปริมาณเงิน M2 = 19 ล้านล้าน/27ล้านล้าน = 0.7
เงินหมุนไม่ถึงรอบ แสดงว่าเงินส่วนหนึ่งถูกเอาไปใช้หนี้
เปรียบเทียบกับต่างประเทศ
สหรัฐฯ ~1.3 รอบ/ปี
ญี่ปุ่น ~0.5 รอบ/ปี
ไทย ~0.7 รอบ/ปี
คนละครึ่ง หากสิทธิ์รวม = 20,000,000 คน และผู้ใช้จริง ≈ 19,700,000 คน หากรัฐเติมคนละ 2000 บาท คนจ่ายเพิ่มอีก 2000 บาท
1. เงินหมุนในระบบครั้งแรก”
19,700,000×4,000=78,800,000,00019,700,000 \times 4,000 = 78,800,000,00019,700,000×4,000=78,800,000,000
➡️ รวมเงินหมุนในระบบรอบแรกอย่างน้อย = 78,800 ล้านบาท (หรือ 7.88 หมื่นล้านบาท)
2.ประเมิน “ตัวคูณทางเศรษฐกิจ (GDP Multiplier)”
ตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier) ของประเทศไทยจากโครงการลักษณะ “อัดฉีดตรงสู่ประชาชน”
โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.3 – 1.6 เท่า (อ้างจาก ธปท. และสศช.) จากคนละคร่งก่อนหน้านี้
เราจะคำนวณให้ดูทั้งสองกรณี:
🧭 กรณีต่ำ (Multiplier = 1.3)
78,800,000,000×1.3=102,440,000,00078,800,000,000 \times 1.3 = 102,440,000,00078,800,000,000×1.3=102,440,000,000
➡️ GDP เพิ่มประมาณ 102,440 ล้านบาท
🧭 กรณีสูง (Multiplier = 1.6)
78,800,000,000×1.6=126,080,000,00078,800,000,000 \times 1.6 = 126,080,000,00078,800,000,000×1.6=126,080,000,000
➡️ GDP เพิ่มประมาณ 126,080 ล้านบาท
เงินที่รัฐและประชาชนร่วมกันใช้ (รวม 7.88 หมื่นล้านบาท)
→ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินในระบบเพิ่มขึ้นเป็น ประมาณ 1.0–1.3 แสนล้านบาทใน GDP
คิดเป็นประมาณ 0.5–0.7% ของ GDP ไทยทั้งปี (ราว 18–19 ล้านล้านบาท)
สำหรับการหมุนของเงินรอบต่อไปขึ้นอยู่กับว่าคนที่รับเงินไปเอาเงินไปใช้ต่อกี่เปอร์เซ็นต์
ส่วนใหญ่ไม่น่าถึงครึ่ง
กรณีใช้ต่อ 30 % 1.43 รอบ เงินหมุนสะสม 112,571.4 ล้าน (≈112.6 พันล้าน)
เงินหมุนเพิ่มขึ้นจากรอบแรก 33,771.4 ล้าน คิดรวมเป็น 0.59% ของ GDP
กรณีใช้ต่อ 50 % 2.00 รอบ เงินหมุนสะสม 157,600.0 ล้าน (≈157.6 พันล้าน เงินหมุนเพิ่มจากรอบแรก 78,800.0 ล้าน
คิดรวมเป็น 0.83% ของ GDP
จริงๆคนยุคพ่อไม่เขาไม่ซือของ online ซึ้อจากร้านค้าโดยตรง เงินหมุนหลายรอบในระบบ
เงิน 100 บาท หมุน ในระบบ 10 รอบ เท่ากับ 1000 บาท
ปัจจุบัน เงิน 100 บาทหมุนในระบบ 0.7 รอบ เท่ากับ เงิน 100 บาท หมุนจริงแค่ 70 บาท เพราะส่วนหนึ่งเอาไปจ่ายหนี้ก่อนแล้ว
คนละครึ่งจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ถุกจุด เพราะแจก เงินให้ไปจ่าย หมุนเวียนในระบบ
ไม่ใช่แจกเงินเฉยๆ ให้ไปจ่าย หนี้ (ดอกเบี้ย) ก่อน ไม่เหลือจับจ่ายใช้สอย ซึ่งระบบเศรษฐกิจไมได้อะไรกลับมา
ต่อไป เงินจะแจกมาหมุนเศรษฐกิจอยู่เรื่อง โดยเงินจะมาจากการพิมพ์ธนบัตรผ่านการออกพันธบัตรรัฐบาล
ของอะไรที่มีจำกัด จะราคาเพิ่มเรื่อย เช่นที่ดินในเมืองใจกลางเศรษฐกิจ ทองคำ บิทคอยน์ ภาพเขียนภาพวาด ของเก่าสะสมที่ไม่ผลิตแล้ว
ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ
จีนทำ ไทยใช้ จีนเจริญ
ปล.. อย่าลืมเปิดเพลงฟังนะครับ ยุคหนึ่งเขารณรงค์ให้มาใช้ของไทย ผมก็คิดว่ายุคนี้ยิ่งกว่ายุคก่อนอีก เพราะเงินแทบไม่หมุนในระบบแล้ว