ปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร มาทำความเข้าใจกันค่ะ

*หมายเหตุ : บทความนี้เป็นเพียงบทความให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชักชวนเพื่อลงทุนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

ปรับโครงสร้างหนี้ คืออะไร?
การปรับโครงสร้างหนี้ คือการที่ เจ้าหนี้ (เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน) และ ลูกหนี้ มานั่งตกลงกันใหม่เรื่อง เงื่อนไขการชำระหนี้ เพื่อช่วยให้ลูกหนี้สามารถจ่ายหนี้ได้จนหมด โดยไม่ต้องผิดนัดหรือถูกฟ้องร้องในภายหลัง ถึงแม้จะใช้เวลานานขึ้นกว่าที่วางแผนไว้ตอนแรกก็ตาม
พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นการ “ยืดหยุ่นเงื่อนไข” ให้เหมาะกับสถานการณ์ของลูกหนี้ เช่น ปรับยอด ผ่อนน้อยลง หรือยืดระยะเวลาชำระ เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายยังเดินหน้าต่อไปได้แบบสบายใจทั้งคู่ค่ะ 💚
การปรับโครงสร้างหนี้เหมาะกับคนที่กำลังเจอปัญหาทางการเงิน ไม่ว่าจะเป็นรายได้ลดลง เจอเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น อุบัติเหตุ หรือต้องใช้เงินฉุกเฉิน จนทำให้จ่ายหนี้ไม่ไหวในช่วงนี้ ก็สามารถเข้ามาคุยกับเจ้าหนี้เพื่อหาทางออกร่วมกันได้นะคะ

6 รูปแบบการปรับโครงสร้างหนี้ยอดนิยม
ถ้าช่วงนี้เริ่มรู้สึกว่ารับมือกับค่าใช้จ่ายไม่ไหว แต่ก็ไม่อยากผิดนัดชำระหนี้จนกลายเป็นหนี้เสีย (NPL) ลองมาทำความรู้จักกับ “การปรับโครงสร้างหนี้” กันดูค่ะ เพราะนี่คืออีกหนึ่งทางออกที่จะช่วยให้คุณมีเวลาหายใจมากขึ้น พร้อมทั้งจัดระเบียบหนี้ให้ชำระได้จนหมด
โดยทั่วไปแล้ว การปรับโครงสร้างหนี้ที่คนนิยมทำกัน มีอยู่ทั้งหมด 6 รูปแบบ มาดูกันว่าแต่ละแบบเป็นยังไง และเหมาะกับใครบ้าง 👇

1️⃣ การเปลี่ยนประเภทหนี้
คือการปรับหนี้ที่มี ดอกเบี้ยสูง ให้กลายเป็นหนี้ที่มี ดอกเบี้ยต่ำลง เช่น การเปลี่ยนหนี้บัตรเครดิตให้เป็นสินเชื่อแบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan)
เพราะหากจ่ายบัตรเครดิตไม่เต็มจำนวน หรือชำระล่าช้า ดอกเบี้ยอาจพุ่งถึง 16% ต่อปี เลยทีเดียว
💬 ข้อดี:
ผ่อนจ่ายเป็นงวด ๆ ได้อย่างแน่นอนในแต่ละเดือน มีระยะเวลาชำระที่ชัดเจน และจ่ายดอกเบี้ยน้อยลง
💡 เกร็ดความรู้จากคุณน้า:
หลายคนสงสัยว่า “ถ้าปรับโครงสร้างหนี้แล้ว ยังทำบัตรเครดิตใหม่ได้ไหม?”
คำตอบคือ ได้ค่ะ! ถ้าคุณยังมีคุณสมบัติตามเงื่อนไขของธนาคาร เช่น มีรายได้ประจำเพียงพอ และประวัติในเครดิตบูโรอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนระยะเวลาอนุมัติก็แล้วแต่ธนาคารแต่ละแห่งค่ะ

2️⃣ การรีไฟแนนซ์ (Refinance)
การรีไฟแนนซ์คือการ ปิดหนี้เก่า แล้วกู้ใหม่ กับเจ้าหนี้รายใหม่ที่ให้เงื่อนไขดีกว่า — เช่น ดอกเบี้ยต่ำลง หรือระยะเวลาผ่อนนานขึ้น
ส่วนใหญ่จะนิยมทำกับ สินเชื่อบ้าน แต่จริง ๆ แล้ว ก็ทำกับหนี้บัตรเครดิตหรือบัตรกดเงินสดได้เหมือนกันค่ะ
💬 ข้อดี:
ช่วยลดดอกเบี้ยในระยะยาว และทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนเบาลง

3️⃣ การขอลดดอกเบี้ยชั่วคราว
เป็นการเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยลงชั่วคราว เช่น 3 เดือน หรือ 6 เดือน
เหมาะกับคนที่เจอเหตุฉุกเฉิน รายได้หายไปชั่วคราว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิดนัดชำระหนี้และกระทบเครดิตบูโรค่ะ
💬 ข้อดี:
ลดภาระหนี้ระยะสั้น เหมาะกับคนที่มั่นใจว่ารายได้จะกลับมาดีขึ้นในอนาคต

4️⃣ การขอพักชำระเงินต้น
ในช่วงที่รายได้สะดุด อาจขอ “พักชำระเงินต้น” ได้ โดยยังจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยเท่านั้น
ส่วนใหญ่จะพักได้ประมาณ 3–6 เดือน
💬 ข้อดี:
ช่วยให้มีสภาพคล่องทางการเงินมากขึ้นในระยะสั้น เหมาะกับคนที่ต้องการเวลาฟื้นตัวทางรายได้

5️⃣ การขอขยายเวลาในการชำระหนี้
คือการขอ ยืดระยะเวลาผ่อนชำระ ออกไป ทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง
แต่ต้องระวัง เพราะถึงแม้จะจ่ายน้อยลงต่อเดือน แต่ดอกเบี้ยรวมทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นค่ะ
💬 ข้อดี:
ยอดผ่อนต่อเดือนลดลง ทำให้จัดการรายจ่ายได้ง่ายขึ้น

6️⃣ การ Haircut
การ “Haircut” คือการขอ ส่วนลดหนี้ จากเจ้าหนี้ โดยลูกหนี้จะจ่ายเงินก้อนเพื่อปิดบัญชีทั้งหมด
สถาบันการเงินอาจเสนอทางเลือก เช่น ลดเงินต้นหรือลดดอกเบี้ย เพื่อให้ปิดหนี้ได้จริง ถึงแม้เจ้าหนี้จะได้เงินคืนบางส่วน แต่ก็ดีกว่าการปล่อยให้หนี้สูญค่ะ
💬 ข้อดี:
ปิดหนี้ได้จบ ดอกเบี้ยไม่สะสมต่อ และหมดภาระในคราวเดียว

⚠️ ปรับโครงสร้างหนี้ มีผลเสียอะไรบ้าง?
แม้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้จะเป็นทางออกที่ช่วยให้คุณไม่กลายเป็นหนี้เสียในอนาคต แต่ก็มีบางเรื่องที่ควรรู้และระมัดระวังไว้ก่อนตัดสินใจค่ะ 💬
คุณน้ารวบรวม 4 ผลเสียที่ควรพิจารณาให้ดีก่อนปรับโครงสร้างหนี้ มาฝากกัน

1️⃣ ประวัติทางการเงินเปลี่ยนทันที
เมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้ สถานะในเครดิตบูโรของคุณจะเปลี่ยนไป โดยจะแสดงว่าอยู่ในช่วง “ปรับโครงสร้างหนี้”
ถึงแม้จะไม่แย่เท่ากับการค้างชำระหรือเป็นหนี้เสีย แต่ก็อาจทำให้ ขอสินเชื่อใหม่ในอนาคตได้ยากขึ้น เพราะธนาคารจะพิจารณาความเสี่ยงมากขึ้นค่ะ
💡 เกร็ดเล็ก ๆ: ถ้าหลังจากปรับโครงสร้างแล้วคุณชำระตรงเวลาอย่างต่อเนื่อง ประวัติเครดิตก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นได้เหมือนกันนะคะ

2️⃣ ค่าธรรมเนียมแฝงจากเจ้าหนี้
บางครั้งเจ้าหนี้อาจมี ค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม เช่น ค่าจัดทำเอกสารใหม่, ค่าดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ หรือค่าบริการอื่น ๆ
ซึ่งแม้จะเป็นจำนวนไม่มาก แต่ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นได้
💬 คำแนะนำจากคุณน้า: ก่อนเซ็นเอกสารใด ๆ อย่าลืมถามให้ชัดเจนว่า มีค่าใช้จ่ายอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อจะได้ไม่เจอ “ค่าใช้จ่ายลับ” ทีหลังค่ะ

3️⃣ ดอกเบี้ยสะสมเพิ่มขึ้น
การยืดระยะเวลาผ่อนออกไปช่วยให้จ่ายน้อยลงต่อเดือนก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ดอกเบี้ยรวมทั้งหมดจะเพิ่มขึ้นตามระยะเวลา
บางกรณีอาจทำให้ยอดหนี้ที่ต้องจ่ายทั้งหมดสูงกว่าที่คาดไว้มากทีเดียว
💡 ทิปส์ง่าย ๆ: ก่อนตัดสินใจปรับโครงสร้าง ลองขอให้เจ้าหน้าที่คำนวณดอกเบี้ยรวมให้ดู เพื่อเปรียบเทียบกับการชำระแบบเดิมค่ะ

4️⃣ เกณฑ์การชำระหนี้ใหม่อาจเข้มงวดขึ้น
หลังจากปรับโครงสร้าง เจ้าหนี้อาจตั้งเงื่อนไขใหม่ที่เข้มขึ้น เช่น
- ต้องจ่ายตรงทุกวันที่ 5 ของเดือน
- หากผิดนัด จะคิดดอกเบี้ยสูงขึ้นทันที
- หรือในบางกรณีอาจใช้หลักประกันในการบังคับชำระหนี้
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ลูกหนี้อยู่ในวินัยการชำระและปิดหนี้ได้ตามแผนนั่นเองค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่