ปืนกลมือ Vigneron (ออกเสียงว่า วิ-เญอ-รง) เป็นอาวุธอัตโนมัติที่ถูกออกแบบและผลิตในประเทศเบลเยียมในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองมันถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ทดแทนปืนกลมือหลากหลายรุ่นที่ล้าสมัยซึ่งกองทัพเบลเยียมมีใช้งานในขณะนั้นเช่น ปืน Sten ของอังกฤษ และ M3 "Grease Gun" ของอเมริกา รุ่น M2 ถือเป็นรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงและผลิตเป็นจำนวนมากที่สุด
หลังสิ้นสุดสงคราม กองทัพเบลเยียมต้องการปืนกลมือมาตรฐานแบบใหม่ที่เป็นของตนเอง การออกแบบปืนนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1950 โดยพันเอก Georges Vigneron แห่งกองทัพเบลเยียม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อปืน แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าวิศวกรชาวฝรั่งเศสนามว่า Louis Bonnel de Camillis เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการออกแบบเชิงเทคนิค
ปืนรุ่นแรก Vigneron M1 ได้รับการนำเข้าประจำการในปี 1953 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีการปรับปรุงเล็กน้อยและเปิดตัวเป็นรุ่น Vigneron M2 ในปี 1954 ปืนนี้ถูกผลิตโดยบริษัท Precision Liegeoise SA ในเมืองแอร์สตัล และถูกนำเข้าประจำการในกองทัพเบลเยียมอย่างรวดเร็ว
ระบบปฏิบัติการ ปืนทำงานด้วยระบบโบลว์แบ็ก (Simple Blowback) ที่ตรงไปตรงมา และยิงเมื่อลูกเลื่อนเปิด (Fires from an open bolt)
ขนาดกระสุน อาวุธนี้ถูกออกแบบมาสำหรับกระสุนขนาด 9x19 มม. พาราเบลลัม มาตรฐานของนาโต้ (NATO)
อัตราการยิง ปืนมีอัตราการยิงตามทฤษฎีอยู่ที่ประมาณ 620 นัดต่อนาที
ซองกระสุน ใช้ซองกระสุนแบบกล่องสองแถวที่ป้อนกระสุนแบบแถวเดี่ยวบรรจุ 32 นัด ซองกระสุนนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากซองกระสุนของปืน MP40 ของเยอรมันและสามารถใช้ซองกระสุนของ MP40 ทดแทนได้ในระดับหนึ่ง
Vigneron M2 มีการออกแบบที่เน้นประโยชน์ใช้สอยและต้นทุนการผลิตต่ำโดยใช้เหล็กปั๊มขึ้นรูปเป็นส่วนประกอบหลัก
ลำกล้อง จุดเด่นที่ชัดเจนคือลำกล้องที่ค่อนข้างยาวถึง 305 มม. (12 นิ้ว) ซึ่งยาวกว่าปืนกลมือส่วนใหญ่ในยุคเดียวกันลำกล้องมีครีบระบายความร้อนและปลอกลดแสงที่ปลายลำกล้อง
พานท้าย พานท้ายทำจากลวดเหล็กที่แข็งแรง สามารถยืดหดได้ (Telescoping stock) โดยสอดเข้าไปในโครงปืน ทำให้ปืนสั้นลงมากเมื่อพกพา
ระบบความปลอดภัย ปืนมีระบบความปลอดภัยที่น่าสนใจ ประกอบด้วยคันบังคับการยิงแบบ 3 ตำแหน่ง (ห้ามไก ยิงทีละนัด และยิงอัตโนมัติ) และยังมีระบบความปลอดภัยหลังด้ามปืน (Grip safety)
ศูนย์เล็ง รุ่น M2 ได้รับการปรับปรุงจากรุ่น M1 โดยเปลี่ยนศูนย์หลังจากแบบรู (Aperture) เป็นแบบบากตัว V (Notch) และเพิ่มครอบป้องกันให้กับศูนย์หน้า
การใช้งาน
Vigneron M2 ถูกใช้งานเป็นปืนกลมือมาตรฐานของกองทัพเบลเยียมเป็นเวลาหลายสิบปี มันถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในหน่วยรบของเบลเยียมระหว่างวิกฤตการณ์คองโก (Congo Crisis) ในช่วงทศวรรษ 1960 นอกจากนี้ ปืนจำนวนมากยังถูกส่งไปยังโปรตุเกสซึ่งใช้ในสงครามอาณานิคมในแอฟริกา และยังปรากฏว่าถูกใช้งานโดยกลุ่มกองกำลังติดอาวุธต่างๆ รวมถึง IRA ในไอร์แลนด์เหนือในช่วง "The Troubles" ปืนนี้เริ่มถูกปลดประจำการในกองทัพเบลเยียมในช่วงทศวรรษ 1980s ถึง 1990s โดยถูกแทนที่ด้วยปืนไรเฟิลจู่โจมที่ทันสมัยกว่าอย่าง FN FNC
https://smallarmsreview.com/the-vigneron-submachine-gun/
https://www.forgottenweapons.com/vigneron-m2-belgiums-little-known-post-war-smg/
https://www.militaryfactory.com/smallarms/detail.php?smallarms_id=467
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 2314 ปืนกลมือ Vigneron M2
หลังสิ้นสุดสงคราม กองทัพเบลเยียมต้องการปืนกลมือมาตรฐานแบบใหม่ที่เป็นของตนเอง การออกแบบปืนนี้เริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ 1950 โดยพันเอก Georges Vigneron แห่งกองทัพเบลเยียม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อปืน แม้ว่าจะมีข้อมูลว่าวิศวกรชาวฝรั่งเศสนามว่า Louis Bonnel de Camillis เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการออกแบบเชิงเทคนิค
ปืนรุ่นแรก Vigneron M1 ได้รับการนำเข้าประจำการในปี 1953 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็มีการปรับปรุงเล็กน้อยและเปิดตัวเป็นรุ่น Vigneron M2 ในปี 1954 ปืนนี้ถูกผลิตโดยบริษัท Precision Liegeoise SA ในเมืองแอร์สตัล และถูกนำเข้าประจำการในกองทัพเบลเยียมอย่างรวดเร็ว
ระบบปฏิบัติการ ปืนทำงานด้วยระบบโบลว์แบ็ก (Simple Blowback) ที่ตรงไปตรงมา และยิงเมื่อลูกเลื่อนเปิด (Fires from an open bolt)
ขนาดกระสุน อาวุธนี้ถูกออกแบบมาสำหรับกระสุนขนาด 9x19 มม. พาราเบลลัม มาตรฐานของนาโต้ (NATO)
อัตราการยิง ปืนมีอัตราการยิงตามทฤษฎีอยู่ที่ประมาณ 620 นัดต่อนาที
ซองกระสุน ใช้ซองกระสุนแบบกล่องสองแถวที่ป้อนกระสุนแบบแถวเดี่ยวบรรจุ 32 นัด ซองกระสุนนี้ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากซองกระสุนของปืน MP40 ของเยอรมันและสามารถใช้ซองกระสุนของ MP40 ทดแทนได้ในระดับหนึ่ง
Vigneron M2 มีการออกแบบที่เน้นประโยชน์ใช้สอยและต้นทุนการผลิตต่ำโดยใช้เหล็กปั๊มขึ้นรูปเป็นส่วนประกอบหลัก
ลำกล้อง จุดเด่นที่ชัดเจนคือลำกล้องที่ค่อนข้างยาวถึง 305 มม. (12 นิ้ว) ซึ่งยาวกว่าปืนกลมือส่วนใหญ่ในยุคเดียวกันลำกล้องมีครีบระบายความร้อนและปลอกลดแสงที่ปลายลำกล้อง
พานท้าย พานท้ายทำจากลวดเหล็กที่แข็งแรง สามารถยืดหดได้ (Telescoping stock) โดยสอดเข้าไปในโครงปืน ทำให้ปืนสั้นลงมากเมื่อพกพา
ระบบความปลอดภัย ปืนมีระบบความปลอดภัยที่น่าสนใจ ประกอบด้วยคันบังคับการยิงแบบ 3 ตำแหน่ง (ห้ามไก ยิงทีละนัด และยิงอัตโนมัติ) และยังมีระบบความปลอดภัยหลังด้ามปืน (Grip safety)
ศูนย์เล็ง รุ่น M2 ได้รับการปรับปรุงจากรุ่น M1 โดยเปลี่ยนศูนย์หลังจากแบบรู (Aperture) เป็นแบบบากตัว V (Notch) และเพิ่มครอบป้องกันให้กับศูนย์หน้า
การใช้งาน
Vigneron M2 ถูกใช้งานเป็นปืนกลมือมาตรฐานของกองทัพเบลเยียมเป็นเวลาหลายสิบปี มันถูกใช้งานอย่างกว้างขวางในหน่วยรบของเบลเยียมระหว่างวิกฤตการณ์คองโก (Congo Crisis) ในช่วงทศวรรษ 1960 นอกจากนี้ ปืนจำนวนมากยังถูกส่งไปยังโปรตุเกสซึ่งใช้ในสงครามอาณานิคมในแอฟริกา และยังปรากฏว่าถูกใช้งานโดยกลุ่มกองกำลังติดอาวุธต่างๆ รวมถึง IRA ในไอร์แลนด์เหนือในช่วง "The Troubles" ปืนนี้เริ่มถูกปลดประจำการในกองทัพเบลเยียมในช่วงทศวรรษ 1980s ถึง 1990s โดยถูกแทนที่ด้วยปืนไรเฟิลจู่โจมที่ทันสมัยกว่าอย่าง FN FNC
https://smallarmsreview.com/the-vigneron-submachine-gun/
https://www.forgottenweapons.com/vigneron-m2-belgiums-little-known-post-war-smg/
https://www.militaryfactory.com/smallarms/detail.php?smallarms_id=467