กรมศุลฯงัดมาตรการภาษีรอบใหม่ เก็บอากรสินค้าออนไลน์ตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ดีเดย์ปีใหม่นี้
คาดได้เงินเข้ารัฐเพิ่มปีละ 3,000 ล้าน ชี้คนนิยมช็อปออนไลน์สินค้านอก ปีที่แล้วทะลัก 20 ล้านกล่อง บ่นตรวจไม่ไหว “ภาวุธ” เห็นด้วย
จี้รัฐดึงแพลตฟอร์มจดทะเบียนในประเทศ ขณะที่อีคอมเมิร์ซจีนพลิกเกมสู้ เล็งปีหน้าอัดโปรวันคนโสด ลากยาวเป็นเดือน
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้เตรียมมาตรการเพื่อดูแลควบคุมไม่ให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กรมจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) จากเดิมที่มีการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งจะสิ้นสุดการยกเว้นอากร ในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 มาเป็นการจัดเก็บภาษีจากสินค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ทั้งอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งสามารถใช้อำนาจอธิบดีกรมศุลกากร โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อออกประกาศไม่ต่ออายุการยกเว้นอากรตามประกาศเดิม
ปี’67 ช็อปออนไลน์ทะลัก
ทั้งนี้ จากข้อมูลในปี 2567 พบว่า พัสดุจากต่างประเทศผ่านคำสั่งจากแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่น้อยกว่า 20 ล้านกล่อง
โดยเฉพาะสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มีมูลค่ามากถึง 30,000 ล้านบาท โดยสินค้ากลุ่มนี้ที่ผ่านมา ไม่ต้องเสียทั้ง VAT และอากรขาเข้า ตามข้อกำหนด De minimis Value หรือเกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำที่ได้รับยกเว้นภาษี
“ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ได้เริ่มเก็บ VAT สำหรับสินค้านำเข้าแล้วทุกรายการ อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่เป็นธรรมกับผู้ค้าในประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าผ่านช่องทางปกติ อีกทั้งยังขาดการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามา และส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs จึงต้องเก็บอากรสินค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปด้วย”
ต้องเก็บภาษีป้องผู้ผลิตใน ปท.
นายพันธ์ทองกล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกเกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำที่ได้รับยกเว้นภาษีแล้ว เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีและปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ โดยการปรับภาษีนำเข้าในครั้งนี้ไม่ได้ขัดกับความตกลงการค้าเสรี หรือ Free Trade Area (FTA) แต่อย่างใด เนื่องจากไทยยังอยู่ในกรอบพันธกรณีที่กำหนดไว้ และหลายประเทศทั่วโลกต่างก็เริ่มทบทวนโครงสร้างภาษีของตนเองในลักษณะเดียวกัน อย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าหลักในเอเชีย ก็ได้ทยอยปรับขึ้น หรือลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในและสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจแล้ว
คาดรายได้เพิ่ม 3 พันล้าน/ปี
“ปัญหาคือเราตรวจไม่ไหว เพราะสินค้าจำนวนมากเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ ดังนั้นเราจึงมีแนวคิดจะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าที่มาจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศ ให้แข่งขันกันในสนามเดียวกัน ทุกคนเสียภาษีเท่ากัน เงินก็เข้ารัฐอย่างเป็นธรรม คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3,000 ล้านบาทต่อปี
โดยอัตราอากรเฉลี่ยของสินค้าเหล่านี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% และ VAT อีก 7%”
สำหรับการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทนั้น จะจัดเก็บตามพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้านั้น ๆ ไม่สามารถกำหนดอัตราภาษีตายตัว เช่น 10% หรือ 20% สำหรับสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่งได้ ยกตัวอย่าง สินค้านำเข้ายอดนิยม เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก ก็จะมีอัตราภาษีแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า อาจมีตั้งแต่ 0% จนถึง 20% ขึ้นอยู่กับว่าสินค้านั้นอยู่ในพิกัดใด
นายพันธ์ทองกล่าวว่า
กรมศุลกากรได้เชิญแพลตฟอร์ม e-Commerce รายใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada มาหารือ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เพื่อขอความร่วมมือในการส่งข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตรวจปล่อยสินค้า เช่น จำนวนชิ้น มูลค่าภาษีนำเข้า และ VAT เป็นต้น รวมถึงขอความร่วมมือแพลตฟอร์มไม่ให้ขายสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่มีใบอนุญาต เข้ามาในประเทศไทย
เล็งแก้ กม.เก็บภาษีแบบเหมา
“ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจับของผิดกฎหมายได้กว่า 10.5 ล้านชิ้น เช่น บุหรี่ไฟฟ้า 1.5 ล้านชิ้น ของละเมิดลิขสิทธิ์กว่า 500,000 ชิ้น และยังมีอีกหลายหน่วยงานที่จับได้เพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนว่าสินค้าผิดกฎหมายยังทะลักเข้ามา ดังนั้นสิ่งที่จะทำคือ ขอความร่วมมือจากแพลตฟอร์มออนไลน์”
อธิบดีกรมศุลกากรกล่าวด้วยว่า ในระยะยาวควรแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถจัดเก็บ “ภาษีเหมา” ได้ เช่น การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าทุกกล่องที่มาจากต่างประเทศในอัตราเดียวกัน 20-30% เพื่อความเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ตรงนี้ต้องใช้เวลาในการแก้ไขกฎหมาย
แนะสกัดสินค้าถูกคุณภาพต่ำ
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Creden.co และ PaySolutions และอนุกรรมาธิการแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ วุฒิสภา เปิดเผยว่า มีความพยายามเก็บภาษีสินค้าตั้งแต่ประกาศปีที่แล้ว ในเรื่องการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ของสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท
“ในฝั่งผู้ประกอบการไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบ ในแง่ของผู้ประกอบการที่นำเข้า มีการนำเข้าจำนวนมาก ในแง่ธุรกิจจะไม่น่ากระทบ แต่จะกระทบกับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนน่าจะเป็นพวกต่างชาติมากกว่า เช่น พวกสินค้าจีน พวกต่างชาติน่าจะกระทบ เพราะว่าต่างชาติของจีน ขายจากลาซาด้า ช้อปปี้ ขายชิ้นหนึ่ง 300-500 บาท ราคาของพวกนี้มันเข้ามาในประเทศไทยมันต่ำอยู่แล้ว จากเดิมที่ไม่เคยเสียภาษีก็ต่ำอยู่แล้ว จะมีความได้เปรียบอยู่ดี”
ดึงตั้ง บ.ในไทยถึงจะได้ประโยชน์
ทั้งนี้ มองว่าการเก็บภาษีสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท ยังไม่ได้แก้ปัญหาสินค้าราคาถูก-ไม่ได้มาตรฐานที่มาโจมตีประเทศไทยเท่าไหร่ ซึ่งคำแนะนำก็คือ สิ่งที่รัฐต้องทำต่อไป คือต้องพยายามหากลไกในการป้องกันสินค้า ราคาถูกคุณภาพต่ำจากประเทศจีน
หากดูตัวอย่างของอินโดนีเซีย จะมีกฎหมายบางข้อที่ระบุไว้ชัดว่า ห้ามสินค้าที่ราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์เข้ามาขายในออนไลน์ เพราะเขากลัวว่า สินค้าราคาถูกจากจีนจะเข้ามาถล่มในตลาดของเขา โดยในส่วนของไทยการเก็บภาษี VAT 7% ที่ทำไปก่อนหน้านี้ ไม่เพียงพอ ซึ่งการเก็บภาษีศุลกากรขาเข้า ตั้งแต่บาทแรกก็โดนเลย จะเสริมกับภาษี VAT 7% ดังนั้น เห็นด้วยว่าต้องเก็บ
“อย่างผู้ประกอบการต่างชาติคนจีน เข้ามาขายในแพลตฟอร์ม รายได้ทั้งหมด เช่น เขาขายเดือนหนึ่ง เขาขายได้ 10 ล้าน เขาไม่ต้องเสียภาษีเลย เพราะเขาไม่มีตัวตนในประเทศไทย เงิน 10 ล้านเขาก็โอนกลับไปที่ประเทศเขาเลย แต่ในขณะที่ประเทศไทย 10 ล้านบาทที่ผู้ประกอบการไทยขายได้ กรมสรรพากรรับรู้หมดเลย ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือ พยายามชวนให้ผู้ประกอบการต่างชาติเหล่านั้นต้องมาเปิดบริษัท หรือต้องมามีตัวตนอยู่ในประเทศไทยให้ได้ และรัฐอาจจะต้องมีมาตรการอื่นในการป้องกันสินค้าราคาถูก ต้นทุนต่ำ สินค้าไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามาถล่มตลาด ดังนั้นเก็บแค่ VAT 7% ไม่เพียงพอ”
หมวดแฟชั่น-ความงามแชมป์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สินค้ายอดนิยมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อยู่ในหมวดหมู่ของแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มอาจเรียกต่างกันออกไป รวมถึงสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอุปโภคบริโภค ก็เป็นหมวดหมู่สินค้ายอดนิยมอยู่เสมอ แต่จะสลับสับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา
ล่าสุด
ลาซาด้าเปิดเผยว่า เทียบกับปีก่อนหน้า หมวดผลิตภัณฑ์ความงาม-เพรสทีจบิวตี้ จากแบรนด์ระดับโลก อาทิ Estee Lauder, Kiehl’s, Lancome, La Mer, Shiseido ครองอันดับสินค้าขายดีในเมกะแคมเปญ รวมถึงหมวดสินค้าแฟชั่น โดยเฉพาะสินค้าไทยที่มีช่องทางเอ็กซ์คลูซีฟ ทำสถิติยอดขายเติบโตบนอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง ส่วนหมวดโทรศัพท์มือถือ มียอดขายเติบโตขึ้นกว่า 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ :
https://www.prachachat.net/ict/news-1916710
เก็บภาษี ‘สินค้าออนไลน์’ ทุกชิ้น กรมศุลฯชี้ปี’67 ล้น 20 ล้านกล่อง
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรได้เตรียมมาตรการเพื่อดูแลควบคุมไม่ให้เกิดการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป กรมจะจัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่จำหน่ายบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) จากเดิมที่มีการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งจะสิ้นสุดการยกเว้นอากร ในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 มาเป็นการจัดเก็บภาษีจากสินค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไป ทั้งอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งสามารถใช้อำนาจอธิบดีกรมศุลกากร โดยความเห็นชอบของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อออกประกาศไม่ต่ออายุการยกเว้นอากรตามประกาศเดิม
ปี’67 ช็อปออนไลน์ทะลัก
ทั้งนี้ จากข้อมูลในปี 2567 พบว่า พัสดุจากต่างประเทศผ่านคำสั่งจากแพลตฟอร์มออนไลน์ไม่น้อยกว่า 20 ล้านกล่อง โดยเฉพาะสินค้ามูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท มีมูลค่ามากถึง 30,000 ล้านบาท โดยสินค้ากลุ่มนี้ที่ผ่านมา ไม่ต้องเสียทั้ง VAT และอากรขาเข้า ตามข้อกำหนด De minimis Value หรือเกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำที่ได้รับยกเว้นภาษี
“ตั้งแต่เดือน ก.ค. 2567 ที่ผ่านมา ได้เริ่มเก็บ VAT สำหรับสินค้านำเข้าแล้วทุกรายการ อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่เป็นธรรมกับผู้ค้าในประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าผ่านช่องทางปกติ อีกทั้งยังขาดการตรวจสอบมาตรฐานของสินค้ากลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นต้นเหตุให้เกิดสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานทะลักเข้ามา และส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะ SMEs จึงต้องเก็บอากรสินค้าที่มีมูลค่าตั้งแต่ 1 บาทขึ้นไปด้วย”
ต้องเก็บภาษีป้องผู้ผลิตใน ปท.
นายพันธ์ทองกล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกได้ยกเลิกเกณฑ์มูลค่าขั้นต่ำที่ได้รับยกเว้นภาษีแล้ว เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีและปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ โดยการปรับภาษีนำเข้าในครั้งนี้ไม่ได้ขัดกับความตกลงการค้าเสรี หรือ Free Trade Area (FTA) แต่อย่างใด เนื่องจากไทยยังอยู่ในกรอบพันธกรณีที่กำหนดไว้ และหลายประเทศทั่วโลกต่างก็เริ่มทบทวนโครงสร้างภาษีของตนเองในลักษณะเดียวกัน อย่างสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่ค้าหลักในเอเชีย ก็ได้ทยอยปรับขึ้น หรือลดภาษีนำเข้าสินค้าบางประเภท เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในและสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจแล้ว
คาดรายได้เพิ่ม 3 พันล้าน/ปี
“ปัญหาคือเราตรวจไม่ไหว เพราะสินค้าจำนวนมากเป็นชิ้นเล็ก ๆ จากแพลตฟอร์มต่างประเทศ ดังนั้นเราจึงมีแนวคิดจะจัดเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าที่มาจากแพลตฟอร์มเหล่านี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศ ให้แข่งขันกันในสนามเดียวกัน ทุกคนเสียภาษีเท่ากัน เงินก็เข้ารัฐอย่างเป็นธรรม คาดว่าจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3,000 ล้านบาทต่อปี โดยอัตราอากรเฉลี่ยของสินค้าเหล่านี้คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 10% และ VAT อีก 7%”
สำหรับการเก็บภาษีสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาทนั้น จะจัดเก็บตามพิกัดอัตราศุลกากรของสินค้านั้น ๆ ไม่สามารถกำหนดอัตราภาษีตายตัว เช่น 10% หรือ 20% สำหรับสินค้าประเภทใดประเภทหนึ่งได้ ยกตัวอย่าง สินค้านำเข้ายอดนิยม เช่น ผลิตภัณฑ์พลาสติก ก็จะมีอัตราภาษีแตกต่างกันไปตามประเภทสินค้า อาจมีตั้งแต่ 0% จนถึง 20% ขึ้นอยู่กับว่าสินค้านั้นอยู่ในพิกัดใด
นายพันธ์ทองกล่าวว่า กรมศุลกากรได้เชิญแพลตฟอร์ม e-Commerce รายใหญ่อย่าง Shopee และ Lazada มาหารือ เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เพื่อขอความร่วมมือในการส่งข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการตรวจปล่อยสินค้า เช่น จำนวนชิ้น มูลค่าภาษีนำเข้า และ VAT เป็นต้น รวมถึงขอความร่วมมือแพลตฟอร์มไม่ให้ขายสินค้าที่ผิดกฎหมายหรือไม่มีใบอนุญาต เข้ามาในประเทศไทย
เล็งแก้ กม.เก็บภาษีแบบเหมา
“ปีที่ผ่านมา กรมศุลกากรจับของผิดกฎหมายได้กว่า 10.5 ล้านชิ้น เช่น บุหรี่ไฟฟ้า 1.5 ล้านชิ้น ของละเมิดลิขสิทธิ์กว่า 500,000 ชิ้น และยังมีอีกหลายหน่วยงานที่จับได้เพิ่มเติม ซึ่งสะท้อนว่าสินค้าผิดกฎหมายยังทะลักเข้ามา ดังนั้นสิ่งที่จะทำคือ ขอความร่วมมือจากแพลตฟอร์มออนไลน์”
อธิบดีกรมศุลกากรกล่าวด้วยว่า ในระยะยาวควรแก้กฎหมายเพื่อให้สามารถจัดเก็บ “ภาษีเหมา” ได้ เช่น การกำหนดอัตราภาษีนำเข้าทุกกล่องที่มาจากต่างประเทศในอัตราเดียวกัน 20-30% เพื่อความเรียบง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ตรงนี้ต้องใช้เวลาในการแก้ไขกฎหมาย
แนะสกัดสินค้าถูกคุณภาพต่ำ
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง Creden.co และ PaySolutions และอนุกรรมาธิการแพลตฟอร์มพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ วุฒิสภา เปิดเผยว่า มีความพยายามเก็บภาษีสินค้าตั้งแต่ประกาศปีที่แล้ว ในเรื่องการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 7% ของสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท
“ในฝั่งผู้ประกอบการไทยไม่น่าจะได้รับผลกระทบ ในแง่ของผู้ประกอบการที่นำเข้า มีการนำเข้าจำนวนมาก ในแง่ธุรกิจจะไม่น่ากระทบ แต่จะกระทบกับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของชิ้นเล็ก ๆ ซึ่งแน่นอนน่าจะเป็นพวกต่างชาติมากกว่า เช่น พวกสินค้าจีน พวกต่างชาติน่าจะกระทบ เพราะว่าต่างชาติของจีน ขายจากลาซาด้า ช้อปปี้ ขายชิ้นหนึ่ง 300-500 บาท ราคาของพวกนี้มันเข้ามาในประเทศไทยมันต่ำอยู่แล้ว จากเดิมที่ไม่เคยเสียภาษีก็ต่ำอยู่แล้ว จะมีความได้เปรียบอยู่ดี”
ดึงตั้ง บ.ในไทยถึงจะได้ประโยชน์
ทั้งนี้ มองว่าการเก็บภาษีสินค้าต่ำกว่า 1,500 บาท ยังไม่ได้แก้ปัญหาสินค้าราคาถูก-ไม่ได้มาตรฐานที่มาโจมตีประเทศไทยเท่าไหร่ ซึ่งคำแนะนำก็คือ สิ่งที่รัฐต้องทำต่อไป คือต้องพยายามหากลไกในการป้องกันสินค้า ราคาถูกคุณภาพต่ำจากประเทศจีน หากดูตัวอย่างของอินโดนีเซีย จะมีกฎหมายบางข้อที่ระบุไว้ชัดว่า ห้ามสินค้าที่ราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์เข้ามาขายในออนไลน์ เพราะเขากลัวว่า สินค้าราคาถูกจากจีนจะเข้ามาถล่มในตลาดของเขา โดยในส่วนของไทยการเก็บภาษี VAT 7% ที่ทำไปก่อนหน้านี้ ไม่เพียงพอ ซึ่งการเก็บภาษีศุลกากรขาเข้า ตั้งแต่บาทแรกก็โดนเลย จะเสริมกับภาษี VAT 7% ดังนั้น เห็นด้วยว่าต้องเก็บ
“อย่างผู้ประกอบการต่างชาติคนจีน เข้ามาขายในแพลตฟอร์ม รายได้ทั้งหมด เช่น เขาขายเดือนหนึ่ง เขาขายได้ 10 ล้าน เขาไม่ต้องเสียภาษีเลย เพราะเขาไม่มีตัวตนในประเทศไทย เงิน 10 ล้านเขาก็โอนกลับไปที่ประเทศเขาเลย แต่ในขณะที่ประเทศไทย 10 ล้านบาทที่ผู้ประกอบการไทยขายได้ กรมสรรพากรรับรู้หมดเลย ฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำ คือ พยายามชวนให้ผู้ประกอบการต่างชาติเหล่านั้นต้องมาเปิดบริษัท หรือต้องมามีตัวตนอยู่ในประเทศไทยให้ได้ และรัฐอาจจะต้องมีมาตรการอื่นในการป้องกันสินค้าราคาถูก ต้นทุนต่ำ สินค้าไม่ได้มาตรฐานที่เข้ามาถล่มตลาด ดังนั้นเก็บแค่ VAT 7% ไม่เพียงพอ”
หมวดแฟชั่น-ความงามแชมป์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สินค้ายอดนิยมบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ อยู่ในหมวดหมู่ของแฟชั่น ความงาม ไลฟ์สไตล์ ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มอาจเรียกต่างกันออกไป รวมถึงสินค้ากลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และอุปโภคบริโภค ก็เป็นหมวดหมู่สินค้ายอดนิยมอยู่เสมอ แต่จะสลับสับเปลี่ยนไปตามช่วงเวลา
ล่าสุด ลาซาด้าเปิดเผยว่า เทียบกับปีก่อนหน้า หมวดผลิตภัณฑ์ความงาม-เพรสทีจบิวตี้ จากแบรนด์ระดับโลก อาทิ Estee Lauder, Kiehl’s, Lancome, La Mer, Shiseido ครองอันดับสินค้าขายดีในเมกะแคมเปญ รวมถึงหมวดสินค้าแฟชั่น โดยเฉพาะสินค้าไทยที่มีช่องทางเอ็กซ์คลูซีฟ ทำสถิติยอดขายเติบโตบนอีคอมเมิร์ซอย่างต่อเนื่อง ส่วนหมวดโทรศัพท์มือถือ มียอดขายเติบโตขึ้นกว่า 24% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/ict/news-1916710