ในฐานะคนที่ผ่านรั้วมหาวิทยาลัยมานานหลายสิบปี อยากจะแชร์ความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับพิธีการรับน้องระดับอุดมศึกษาในแบบที่มีการตะคอก ตะโกน ใช้ความรุนแรง ดุ ด่า ทำให้อับอาย กลัว หวาดผวา
โดยอ้างว่าทำไปเพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีระหว่างเพื่อน และรักสถาบัน
ผมออกตัวก่อนว่า ผมไม่ทราบว่าในปัจจุบันยังมีที่ไหนใช้วิธีการแบบนี้อยู่หรือไม่
พูดตรงๆ เลยคือ วิธีแบบนี้เปล่าประโยชน์ครับ
มันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อจะได้กลั่นแกล้ง ระบายความรุนแรง ความป่าเถื่อนกับเพื่อนมนุษย์
เพื่อความสนุก ความสะใจ ได้หัวเราะเยาะคน
เท่านั้นครับ
มีแค่นั้นจริงๆ
ที่มันถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น พอรุ่นแรกโตขึ้นมา ก็ได้ทีที่จะระบายความอัดอั้น ความป่าเถื่อนใส่เหยื่อที่เข้ามาใหม่ ที่เค้าไม่มีทางสู่ ไม่มีปากมีเสียง ต้องจำยอมรับสภาพ เพราะทุกคนคาดหวังให้เค้าทำแบบนั้น เพียงเพราะเค้าเป็นน้อง (เหยื่อ) คนใหม่
ความรัก ความสามัคคีกันในกลุ่มน้องใหม่ ก็อาจจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ฉาบฉวย พอเป็นพิธี หรือแค่แสดงตบตาพวกพี่ๆ เพื่อไม่ให้ถูกดุ ถูกด่า ถูกซ่อม ถูกว๊าก
คนจะสนิทกัน จะรักกันได้มันต้องมีความรู้สึกนึกคิดสติปัญญาเท่าๆ กัน เคมีเข้ากันได้ มีบุปเพสันนิวาสต่อกัน
พอหนดหน้ารับน้องแล้วต่างคนก็ต่างไปสร้างกลุ่มของตัวเอง อาจจะได้รู้จักกันตอนลงทะเบียนเรียนวิชาอื่น นอกคณะ ก็แยกย้ายออกไปมีเพื่อนกลุ่มของตัวเอง
ส่วนตัวผมเอง กลุ่มเพื่อนสนิทล้วนมาจากนอกวิชาเอก นอกคณะ คบกันมาหลายสิบปี กินเที่ยวด้วยกัน มีนัดเจอกันมาตลอด จนถึงวันนี้ ไม่ทิ้งกัน เรารักกันไม่ใช่เพราะการถูกดุ ถูกด่า ถูกว๊าก ถูกทำให้อับอาย หรือหวาดกลัว ทำไมเราถึงรักกันได้ ใครๆ ก็คงเป็นเช่นนี้กัน
ถ้าเป็นไปได้อยากวิงวอนให้หยุดความโหดร้ายป่าเถื่อนต่อเพื่อนมนุษย์ที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในสถาบัน
ควรจัดให้ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน จัดกลุ่มให้วางแผนร่วมกันทำงาน ไปออกค่าย หรือจะแค่ไปเที่ยว สังสรรค์กันก็น่าจะพอ ให้เกียรติกันให้สมกับความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน
วัฒนธรรมการรับน้องระดับอุดมศึกษาที่ใช้ความรุนแรง
โดยอ้างว่าทำไปเพื่อให้เกิดความรักความสามัคคีระหว่างเพื่อน และรักสถาบัน
ผมออกตัวก่อนว่า ผมไม่ทราบว่าในปัจจุบันยังมีที่ไหนใช้วิธีการแบบนี้อยู่หรือไม่
พูดตรงๆ เลยคือ วิธีแบบนี้เปล่าประโยชน์ครับ
มันเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อจะได้กลั่นแกล้ง ระบายความรุนแรง ความป่าเถื่อนกับเพื่อนมนุษย์
เพื่อความสนุก ความสะใจ ได้หัวเราะเยาะคน
เท่านั้นครับ
มีแค่นั้นจริงๆ
ที่มันถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น พอรุ่นแรกโตขึ้นมา ก็ได้ทีที่จะระบายความอัดอั้น ความป่าเถื่อนใส่เหยื่อที่เข้ามาใหม่ ที่เค้าไม่มีทางสู่ ไม่มีปากมีเสียง ต้องจำยอมรับสภาพ เพราะทุกคนคาดหวังให้เค้าทำแบบนั้น เพียงเพราะเค้าเป็นน้อง (เหยื่อ) คนใหม่
ความรัก ความสามัคคีกันในกลุ่มน้องใหม่ ก็อาจจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ฉาบฉวย พอเป็นพิธี หรือแค่แสดงตบตาพวกพี่ๆ เพื่อไม่ให้ถูกดุ ถูกด่า ถูกซ่อม ถูกว๊าก
คนจะสนิทกัน จะรักกันได้มันต้องมีความรู้สึกนึกคิดสติปัญญาเท่าๆ กัน เคมีเข้ากันได้ มีบุปเพสันนิวาสต่อกัน
พอหนดหน้ารับน้องแล้วต่างคนก็ต่างไปสร้างกลุ่มของตัวเอง อาจจะได้รู้จักกันตอนลงทะเบียนเรียนวิชาอื่น นอกคณะ ก็แยกย้ายออกไปมีเพื่อนกลุ่มของตัวเอง
ส่วนตัวผมเอง กลุ่มเพื่อนสนิทล้วนมาจากนอกวิชาเอก นอกคณะ คบกันมาหลายสิบปี กินเที่ยวด้วยกัน มีนัดเจอกันมาตลอด จนถึงวันนี้ ไม่ทิ้งกัน เรารักกันไม่ใช่เพราะการถูกดุ ถูกด่า ถูกว๊าก ถูกทำให้อับอาย หรือหวาดกลัว ทำไมเราถึงรักกันได้ ใครๆ ก็คงเป็นเช่นนี้กัน
ถ้าเป็นไปได้อยากวิงวอนให้หยุดความโหดร้ายป่าเถื่อนต่อเพื่อนมนุษย์ที่เข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในสถาบัน
ควรจัดให้ทำกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ร่วมกัน จัดกลุ่มให้วางแผนร่วมกันทำงาน ไปออกค่าย หรือจะแค่ไปเที่ยว สังสรรค์กันก็น่าจะพอ ให้เกียรติกันให้สมกับความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน