ช่วงนี้ หลายคนจะติดตามข่าวเรื่องชายแดน ไทย - กัมพูชากันบ่อยแล้วใช่ไหมคับ แต่กระทู้นี้ จะเป็นปัญหาชายแดนในภูมิภาคนี้ แต่มีลักษณะคล้ายกับชายแดนไทย - กัมพูชานั้นคือ "ปัญหาชายแดน มาเลเซีย - อินโดนีเซีย" ที่มีลักษณะคล้ายกับชายแดน ไทย - กัมพูชา
แม้ก่อนหน้านี้ มาเลเซียจะเป็นตัวกลางในการเจรจาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา แต่มาเลเซียเองก็มีประเด็นเรื่องเพื่อนบ้านเช่นกัน โดยเฉพาะกับอินโดนีเซีย ยิ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศถึงกรณีนี้ว่า “จะปกป้องดินแดนรัฐซาบาห์ทุกตารางนิ้ว”
แล้วคำประกาศนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร จขกท. ขอชวนผู้อ่านไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กัน
ทำความเข้าใจกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
เริ่มต้นจากเดิมมาเลเซีย และอินโดนีเซียต่างอ้างสิทธิ์ทับซ้อนเหนือพื้นที่ทางทะเลหมายเลข ND6 และ ND7 บริเวณนอกชายฝั่งตะวันออกของเกาะบอร์เนียว โดยอินโดนีเซียเรียกว่าพื้นที่ทับซ้อนนี้ว่า ‘อัมบาลัต’ ขณะที่มาเลเซียเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า ‘ทะเลสุลาเวสี’
พื้นที่แห่งนี้มีความสำคัญเนื่องจากอุดมไปด้วยทรัพยากรน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 หลังมาเลเซียก่อตั้งประเทศ ซึ่งต้องการรวมเอาดินแดนบริเวณ ‘ซาราวัก’ และ ‘ซาบาห์’ เป็นส่วนหนึ่ง ทำให้อินโดนีเซียในยุคของประธานาธิบดีซูการ์โนไม่พอใจ เพราะมองว่าเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของอังกฤษและเป็นการคุกคามต่อความมั่นคงของอินโดนีเซีย จึงนำไปสู่การประกาศ นโยบายเผชิญหน้า (Konfrontasi) ซึ่งเป็นการทำสงครามที่ไม่เป็นทางการ
หลังเกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำของอินโดนีเซียโดยมีซูฮาร์โตเป็นประธานาธิบดีในปี 1966 ทั้งสองประเทศก็มีท่าทีประนีประนอมกันมากขึ้น แต่ข้อพิพาทเรื่องเขตแดนยังคงอยู่
ในปี 1969 ได้มีข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะ ‘ซีปาดัน’และ ‘ลีกิตตัน’ ซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ ในน่านน้ำใกล้พื้นที่ชายฝั่งทะเลของรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย และจังหวัดกาลิมันตันตะวันออก ประเทศอินโดนีเซีย
ข้อพิพาทนี้ดำเนินมายาวนานกว่าสามทศวรรษ กระทั่งปี 1997 ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะนำข้อพิพาทดังกล่าวเข้าสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ณ กรุงเฮก และในปี 2002 ก็มีคำตัดสินให้หมู่เกาะทั้งสองเป็นของมาเลเซียอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ได้กำหนดเขตแดนทางทะเลที่ทับซ้อน พื้นที่ดังกล่าวจึงเกิดปัญหาความขัดแย้งเป็นระยะตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ย้ำจุดยืนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนในรัฐซาบาห์
แม้ปัญหาข้อพิพาทนี้จะดำเนินมาอย่างยาวนาน แต่ทั้งสองประเทศก็ได้แสดงถึงความพยายามในการเจรจาหาทางออก ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2568 อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และ ปราโบโว ซูบิอันโต ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ได้จัดการประชุมแบบทวิภาคี ณ กรุงจาการ์ตา โดยทั้งคู่เห็นพ้องที่จะใช้แนวทางการพัฒนาแบบร่วมมือกันในด้านเศรษฐกิจ ควบคู่กับการหารือประเด็นด้านกฎหมายและการทูต
หลังจากนั้น 22 กรกฎาคม 2568 ผู้แทนจากรัฐซาบาห์ได้ตั้งกระทู้ถามในรัฐสภา โดยแสดงความกังวลว่ารัฐบาลกลางอาจเพิกเฉยต่ออำนาจอธิปไตยของรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับอินโดนีเซีย
ขณะที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ก็ได้ยืนยันในนามรัฐบาลกลางว่า จะขอความยินยอมจากรัฐบาลรัฐซาบาห์และรัฐซาราวักก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงใด ๆ ในประเด็นพื้นที่พิพาททางทะเลนี้
เพื่อสร้างความมั่นใจ นายกฯ อันวาร์ยังได้เชิญผู้แทนจากทั้งสองรัฐให้เข้าร่วมการปรึกษาหารือประจำปีระหว่างมาเลเซียและอินโดนีเซียครั้งที่ 13 ซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 29 กรกฎาคม 2568 ด้วยตัวเอง
แม้จะมีการยืนยันในรัฐสภาไปแล้ว แต่ด้วยความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีระหว่างนายกรัฐมนตรีอันวาร์ และประธานาธิบดีปราโบโว ทำให้เกิดข่าวลือแพร่สะพัดว่ารัฐบาลกลางมาเลเซียอาจทำข้อตกลงลับหลังกับอินโดนีเซีย
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสเดินทางเยือนเมืองโคตาคินาบาลู รัฐซาบาห์ ในวันที่ 3 สิงหาคม 2568 อันวาร์จึงได้กล่าวปราศรัยต่อหน้าสาธารณชนโดยตรงว่า “จะปกป้องดินแดนรัฐซาบาห์ทุกตารางนิ้ว” เพื่อย้ำว่าการเจรจาในครั้งนี้จะยึดผลประโยชน์ของคนในพื้นที่เป็นหลัก และสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่เพิกเฉยต่ออำนาจอธิปไตยของรัฐ
อย่างไรก็ตาม การพูดคุยเพื่อหาแนวทางการพัฒนาพื้นที่พิพาทร่วมกันระหว่างมาเลเซียและอินโดนีเซียยังคงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเจรจาเท่านั้น
แม้ทั้งสองประเทศจะแสดงเจตจำนงที่จะร่วมมือกัน แต่การหาข้อสรุปที่ลงตัวสำหรับทั้งสองฝ่ายรวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในพื้นที่อย่างรัฐซาบาห์ ถือเป็นความท้าทายที่ยังต้องใช้เวลาและต้องติดตามกันต่อไป
อ้างอิง
ปัญหาชายแดน มาเลเซีย - อินโดนีเซีย
แม้ก่อนหน้านี้ มาเลเซียจะเป็นตัวกลางในการเจรจาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชา แต่มาเลเซียเองก็มีประเด็นเรื่องเพื่อนบ้านเช่นกัน โดยเฉพาะกับอินโดนีเซีย ยิ่งเมื่อนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศถึงกรณีนี้ว่า “จะปกป้องดินแดนรัฐซาบาห์ทุกตารางนิ้ว”
แล้วคำประกาศนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีที่มาที่ไปอย่างไร จขกท. ขอชวนผู้อ่านไปทำความเข้าใจเรื่องนี้กัน
ทำความเข้าใจกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล