“โรม” ชี้ถ้าไม่ปลด “ธรรมนัส” เชื่อมั่นรัฐบาลได้ยาก ลั่นคนทั้งโลกสงสัยเอี่ยวสแกมเมอร์
.
.
“โรม” ชี้นายกฯ ทำ MOU ผนึก 8 หน่วยงาน ปราบสแกมเมอร์แค่พิธีการ ประชาชนหวังเห็นผลลัพธ์มากกว่า ลั่นคนทั้งโลกสงสัย “ธรรมนัส” เอี่ยวสแกมเมอร์ ชี้ถ้าไม่ปลดเชื่อมั่นรัฐบาลได้ยาก รับไม่ได้ยังอุ้มชูกันี้ ฝาก “ชาดา” สะกิด “อนุทิน” ที ใครเป็นโจร!
.
วันที่ 6 พ.ย.2568 นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณีที่นายกรัฐมนตรี เป็นประธานลงนาม MOU เรื่องการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีว่า เรื่องการทำ MOU ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่การทำ MOU ที่เป็นแค่พิธีการที่พิธีการเหล่านี้จะมีความหมายหรือไม่ ก็อยู่ที่การปฎิบัติหน้าที่จริงๆ แต่ถ้าไม่มีการปฏิบัติหน้าที่จริงๆ แล้วไปเอาในเรื่องของการสอบสวน ในเรื่องของเส้นเงินต่างๆ มา เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับบุคคลต่างๆ ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลย ในการที่จะปราบปรามสแกมเมอร์
.
การลงนาม MOU เพียงแค่มารวมพลังกันนี้ ตนคิดว่ามันยังไม่เห็นผลในการปฏิบัติ อาจจะมีดีอยู่บ้าง ที่อาจจะได้เห็นภาพการทำงานร่วมกัน มันก็ได้แค่นี้ แต่สิ่งที่สังคมคาดหวัง คือการได้ผลลัพธ์ที่ดี คือการจัดการกับพวกทุนสีเทา และนับตั้งแต่เรื่องนี้ที่มีการตรวจสอบคนในรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง เราก็มักจะเห็นข่าวมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเจ้าหน้าที่ไปจับกุมเว็บนั้น ทลายเว็บนี้ ซึ่งจริงๆ เราก็ยังไม่รู้ ว่าจะนำไปสู่การจัดการตัวคีย์แมนจริงๆ อย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุด เราก็มีข้อมูลอยู่ในมือ ซึ่งเป็นตัวคีย์แมนระดับโลก
.
อย่างปรินซ์ กรุ๊ป ก็ยังไม่มีความคืบหน้าตรงนี้เลย หรือก๊กอาน ที่บอกว่าออกหมายจับ ก็ต้องชี้แจงให้ชัดว่ามีการดำเนินการอย่างไร หรือนายลี ยงพัด ที่บอกว่ามีการยึดทรัพย์ ก็น้อยมาก แม้กระทั่งนายเบน สมิธ เอายังไง ยิม เลียก เอายังไง นี่คือสิ่งที่เรายังไม่ได้เห็นในส่วนนี้
.
แล้วมากไปกว่านั้นความเชื่อมั่นที่รัฐบาลจะต้องมอบให้ประชาชนคือการปลดร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้ายังอุ้มกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ คิดว่ารัฐบาลนี้ยากที่จะมีความเชื่อมั่นได้
.
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีได้ถามกับผู้สื่อข่าววันนี้ว่าการปลดร้อยเอกธรรมนัส เกี่ยวอะไรกับการปราบสแกมเมอร์ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า วันนี้ต้องยอมรับว่าร้อยเอกธรรมนัส เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกสังคมและกรรมาธิการสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับนายเบน สมิธ ซึ่งตนเชื่อว่านายกรัฐมนตรีมีทักษะภาษาอังกฤษ ผู้ช่วยคนไหนก็ได้ ไปเปิดดูร่างกฎหมายสภาคองเกรส ที่เขาเสนอกันได้ระบุชื่อใครบ้าง หนึ่งในนั้นคือนายเบน สมิธ ถามว่าถึงขนาดนี้จะไม่ให้เราสงสัยถึงความสัมพันธ์ระหว่างร้อยเอกธรรมนัส กับนายเบน สมิธ ได้อย่างไร ซึ่งร้อยเอกธรรมนัสก็เป็นคนพูดเองว่า รู้จัก ถ้าจนถึงตอนนี้เรายังไม่เห็นผลประโยชน์ที่มันทับซ้อนกันและกัน ถ้านายกฯไม่สงสัย ก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก
.
ดังนั้นเราก็เห็นรูปแบบถึงการพึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ระหว่างนายเบน สมิธ กับร้อยเอก ธรรมนัส และร้อยเอกธรรมนัสคือคนที่ทั้งโลก สงสัยอยู่ว่าเกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์ ถ้านายกฯจะมาอุ้มชูร้อยเอก ธรรมนัส แบบนี้ตนรับไม่ได้ เรื่องนี้น่าผิดหวัง ถ้าจะมาปกป้องร้อยเอก ธรรมนัส กันแบบนี้และตนก็อยากให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ สส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ช่วยบอกนายกรัฐมนตรีหน่อยว่า ตกลงใครเป็นโจร ช่วยไปชี้ให้หน่อย เพราะท่านชาดารู้ดีว่าใครเป็นใคร
.
.
นักวิชาการ เปิด 10 ปัญหาการศึกษา แนะรบ.เร่งแก้ เตรียมความพร้อมเด็กไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงโลก
https://www.matichon.co.th/local/education/news_5445034
.
นักวิชาการ เปิด 10 ปัญหาการศึกษา แนะรบ.เร่งแก้ เตรียมความพร้อมเด็กไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงโลก
.
เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา เปิดเผยว่า การเมืองในการศึกษา ระยะเวลา 3เดือนนี้ ยังเห็นนโยบายควิกวิน ที่มุ่งสู่ตัวครูมากกว่าเด็ก ซึ่งนโยบายควิกวินที่ออกมา เช่น หนี้สินครู การเปลี่ยนเรื่องวิทยฐานะ การย้ายของครู และบ้านพักครู ทำให้เห็นว่านโยบายมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่เป็นฐานเสียงได้
.
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ปัญหาของเด็กและเยาวชน เป็นปัญหาวิกฤต และสะสมมายาวนาน และน่าเป็นห่วง กลับไม่มีใครเอาใจใส่ในประเด็นนี้ มองว่า ประชาชนที่มีเสียงในการเลือกตั้ง ต้องพยายามกดดัน เรียกร้องให้ทุกพรรคการเมือง ออกนโยบายกับเด็กและเยาวชนที่ชัดเจน และให้คำสัญญาว่าจะทำตามนโยบายนี้
.
นายสมพงษ์ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้มี 10 ปัญหา ที่เกี่ยวกับตัวเด็ก ความต้องการ ความสนใจที่เด็กอยากให้รัฐเข้าดำเนินการ โดยปัญหาที่ตนเสนอต่อไปนี้ รวบรวมความคิดเห็นจากสภาเด็กและเยาวชน มากจากการพูดคุยกับเด็กนอกระบบ มาจากการพูดคุยกับนักวิชาการ และรายงานการวิจัย ที่สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าไม่ทำอะไรเลย ประเทศจะติดหล่มนานขึ้น ยากขึ้น และแทบจะไปต่อไม่ได้
.
1 .เรื่องสุขภาพจิต เด็กไทยมีสุขภาพจิตย่ำแย่ อยู่ในสภาวะกดดันจากปัญหาครอบครัว ความรุนแรง ยาเสพติด ความคาดหวังในเรื่องผลการเรียนรู้ ปัญหาเหล่านี้ทำให้เด็กซึมเศร้า แยกตัวเอง อีกไม่น้อยที่คิดจบชีวิตตนเอง
.
2. มีรายงานวิจัยออกมาจำนวนหนึ่งที่ระบุว่า “เด็กติดหน้าจอ” อยู่กับเทคโนโลยีจนไม่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ปัจจุบันเด็กอยู่หน้าจอ 6-8 ชั่วโมง ทำให้เด็กสมาธิสั้น อารมณ์ร้อน ก้าวร้าว รุนแรง
.
3. โรงเรียนยังไม่เป็นที่ปลอดภัย ยังมีการบูลลี่ ทำร้ายร่างกายและการละเมิดทางเพศอยู่ ยังไม่มีการเคารพสิทธิเด็ก
.
4. บุหรี่ไฟฟ้ากลับมาระบาด เข้าถึงง่าย นักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้น 6-8 เท่า ล่าสุดบุหรี่ไฟฟ้าก้าวหน้าไปอีกขั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “นิโคตินถุง” ที่กำลังแพร่หลายในกลุ่มเยาวชน ซึ่งมีการค้นพบว่าระยะหลังมีคนป่วยเป็นมะเร็งในปากเพิ่มขึ้น ซึ่งยังไม่เห็นรัฐบาลเอาจริงเอาจังเรื่องดังกล่าว
.
5. ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ที่เหลื่อมล้ำหนักขึ้น ปี 2567 ยังพบเด็กหลุดจากระบบการศึกษา 8.8 แสนคน ความต่อเนื่องในโครงการ Thailand Zero Dropout แผ่วลง ทั้งที่เป็นเรื่องที่รัฐควรจะดำเนินการต่อ
.
6. ปัญหาทุพโภชนาการ เด็กยากจน เด็กชนบท 30% ไม่ได้ทานอาหารเช้า ส่งผลให้ผอม น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ไม่มีสมาธิการเรียน ไอคิวต่ำ ในขณะที่เด็กเมือง มีภาวะอ้วน ขาดการออกกำลังกาย ในปัจจุบันระดับสิตปัญหา กับ ร่างกายของเด็กของเด็กไทยน่าเป็นห่วง
.
7. เด็กและเยาวชนมีแนวโน้มขวาขึ้น เป็นนักอนุรักษ์นิยมมากขึ้น ทำให้เด็กมองเรื่องความรักชาติเป็นเรื่องใหญ่
.
8. ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรมนุษย์ คือ เด็กจบแล้ว 45% ไม่มีงานทำ หรือได้งานที่ไม่ตรงกับวุฒิ ค่าจ้างต่ำ และเด็กอยู่กับบริษัทที่ว่าจ้าง 6 เดือน – 1 ปีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะระบบการศึกษาไม่ตอบโจทย์ตลาดแรงงาน
.
9. ปัญหายาเสพติด ที่ยังแก้ไม่ได้ เหล้า กัญชา กระท่อม ยาเสพติด เต็มไปหมดในสังคม มองว่ารัฐบาลยังไม่เอาจริงเอาจังในการแก้ไขปัญหามากเท่าที่ควร
.
10. เด็กยังไปโรงเรียนแบบไร้จิตวิญญาณ ไปเหมือนเป็นรูทีนชีวิต ไปตามหน้าที่ เป็นบรรยากาศที่ขาดความกระตือรือร้น ขาดแรงบันดาลใจ ไม่มีชีวิตชีวา วิถีชีวิตโรงเรียน การเรียนการสอน การวัดและประเมินผลไปติดกรอบระบบราชการมากไม่ ได้ยึดตัวเด็กเป็นศูนย์กลาง
.
“10 ประเด็นนี้ เป็นปัญหาที่ควรจะต้องรีบเร่ง และแก้ไขให้ดีขึ้น มีนโยบายที่ชัดเจน เพราะปัจจุบันเด็กไทยเกิดน้อย ความจำเป็นในเรื่องของการเตรียมความพร้อม การศึกษา การมีงานทำ สุขภาพจิต สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมกับเด็กและเยาวชน เป็นความจำเป็นที่ต้องลงทุนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ถ้าไม่เตรียมพลเมืองของเราที่เกิดน้อยให้มีคุณภาพ เด็กรุ่นนี้จะต้องแบกสังคมเกินกำลังที่มีอยู่ แล้วสังคมไทยจะทรุดตัวหนัก ถ้าเรายังไม่ทำให้เด็กและเยาวชนเป็นพลเมืองที่ดี อยู่กับโลกของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้” นายสมพงษ์ กล่าว
.
.
เปิดสถิติ 10 ปี หลังสุด เด็กเกิดลดลง คน Gen Y กว่าครึ่ง ไม่คิดมีลูก
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_10008966
.
เปิดสถิติ 10 ปี หลังสุด เด็กเกิดลดลง คน Gen Y กว่าครึ่ง ไม่คิดมีลูก มองความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ปัจจัยสังคมอื่น ๆ
.
การปิดตัวลงของโรงเรียนดังถึง 2 แห่ง ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ที่อัตราการเกิดของเด็กในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนเด็กนักเรียนในระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาลดลงตามลำดับ จนส่งผลให้การเก็บค่าเล่าเรียนไม่เป็นไปตามที่กำหนด ทำให้รายรับจากการดำเนินงานไม่เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอน จึงมีมติเห็นชอบหยุดการเรียนการสอน และเลิกกิจการโรงเรียนตั้งแต่ปีการศึกษา 2569 เป็นต้นไป
.
ผู้สื่อข่าวค้นข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าสถิติการเกิดของเด็กมีจำนวนลดลงทุกปี โดยจากข้อมูลของ กรมปกครอง จำนวนการเกิดทั่วประเทศย้อนหลัง 10 ปี พบว่าลดลงทุกปี ๆ ดังนี้
.
ปี พ.ศ. 2558
เกิด 736,352 คน
ชาย 378,037 คน / หญิง 358,315 คน
.
ปี พ.ศ. 2559
เกิด 704,058 คน
ชาย 362,395 คน / หญิง 341,663 คน
.
ปี พ.ศ. 2560
เกิด 703,003 คน
ชาย 362,628 คน / หญิง 340,375 คน
.
ปี พ.ศ. 2561
เกิด 666,366 คน
ชาย 343,227 คน / หญิง 323,139 คน
.
ปี พ.ศ. 2562
เกิด 618,205 คน
ชาย 317,713 คน / หญิง 300,492 คน
.
ปี พ.ศ. 2563
เกิด 587,368 คน
ชาย 302,836 คน / หญิง 284,532 คน
.
ปี พ.ศ. 2564
เกิด 544,570 คน
ชาย 280,551 คน / หญิง 264,019 คน
.
ปี พ.ศ. 2565
เกิด 502,107 คน
ชาย 259,558 คน / หญิง 242,549 คน
.
ปี พ.ศ.2566
เกิด 517,934 คน
ชาย 266,426 คน / หญิง 251,508 คน
.
ปี พ.ศ. 2567
เกิด 462,240 คน
ชาย 238,467 คน / หญิง 223,773 คน
.
มกราคม-ตุลาคม ปี พ.ศ. 2568
เกิด 348,686 คน
ชาย 179,959 คน / หญิง 168,727 คน
.
จากแบบสำรวจ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ได้สำรวจความเห็นประชาชนไทยจำนวน 1,042 คน เพื่อสอบถามความคิดเห็นในประเด็น “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” พบว่า ผู้หญิงเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เห็นด้วยว่าจะมีลูก ถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมจะมีลูก สัดส่วนผู้ชายตอบว่าจะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมมากกว่าผู้หญิง (ชาย 60% ต่อ หญิง 53%)
.
ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจมีลูกมีความแตกต่างกันระหว่างเจนเนอเรชัน โดยกลุ่มเจนเนอเรชัน X มีแนวโน้มที่จะมีลูกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ในขณะที่เจนเนอเรชัน Y มีสัดส่วนความตั้งใจมีลูกต่ำที่สุด ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจดังกล่าว อาจรวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ค่านิยม
JJNY : 5in1 “โรม”ชี้เชื่อมั่นได้ยาก│เปิด10ปัญหาการศึกษา│10 ปีหลังสุดเด็กเกิดลดลง│ยูโอบีเผยผลสำรวจ│ประกาศภัยพิบัติคัลแมกี
.
วันที่ 6 พ.ย.2568 นายรังสิมันต์ โรม สส. บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ในฐานะ ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง กรณีที่นายกรัฐมนตรี เป็นประธานลงนาม MOU เรื่องการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีว่า เรื่องการทำ MOU ประเด็นสำคัญมันไม่ได้อยู่ที่การทำ MOU ที่เป็นแค่พิธีการที่พิธีการเหล่านี้จะมีความหมายหรือไม่ ก็อยู่ที่การปฎิบัติหน้าที่จริงๆ แต่ถ้าไม่มีการปฏิบัติหน้าที่จริงๆ แล้วไปเอาในเรื่องของการสอบสวน ในเรื่องของเส้นเงินต่างๆ มา เพื่อดำเนินคดีเอาผิดกับบุคคลต่างๆ ตนคิดว่าเป็นไปไม่ได้เลย ในการที่จะปราบปรามสแกมเมอร์
.
นักวิชาการ เปิด 10 ปัญหาการศึกษา แนะรบ.เร่งแก้ เตรียมความพร้อมเด็กไทยรับมือการเปลี่ยนแปลงโลก
https://www.matichon.co.th/local/education/news_5445034
.
.
เปิดสถิติ 10 ปี หลังสุด เด็กเกิดลดลง คน Gen Y กว่าครึ่ง ไม่คิดมีลูก
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_10008966
.
เปิดสถิติ 10 ปี หลังสุด เด็กเกิดลดลง คน Gen Y กว่าครึ่ง ไม่คิดมีลูก มองความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ปัจจัยสังคมอื่น ๆ
.
การปิดตัวลงของโรงเรียนดังถึง 2 แห่ง ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา จากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน ที่อัตราการเกิดของเด็กในประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้จำนวนเด็กนักเรียนในระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษาลดลงตามลำดับ จนส่งผลให้การเก็บค่าเล่าเรียนไม่เป็นไปตามที่กำหนด ทำให้รายรับจากการดำเนินงานไม่เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอน จึงมีมติเห็นชอบหยุดการเรียนการสอน และเลิกกิจการโรงเรียนตั้งแต่ปีการศึกษา 2569 เป็นต้นไป
.
ผู้สื่อข่าวค้นข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าสถิติการเกิดของเด็กมีจำนวนลดลงทุกปี โดยจากข้อมูลของ กรมปกครอง จำนวนการเกิดทั่วประเทศย้อนหลัง 10 ปี พบว่าลดลงทุกปี ๆ ดังนี้
.
ปี พ.ศ. 2558
เกิด 736,352 คน
ชาย 378,037 คน / หญิง 358,315 คน
.
ปี พ.ศ. 2559
เกิด 704,058 คน
ชาย 362,395 คน / หญิง 341,663 คน
.
ปี พ.ศ. 2560
เกิด 703,003 คน
ชาย 362,628 คน / หญิง 340,375 คน
.
ปี พ.ศ. 2561
เกิด 666,366 คน
ชาย 343,227 คน / หญิง 323,139 คน
.
ปี พ.ศ. 2562
เกิด 618,205 คน
ชาย 317,713 คน / หญิง 300,492 คน
.
ปี พ.ศ. 2563
เกิด 587,368 คน
ชาย 302,836 คน / หญิง 284,532 คน
.
ปี พ.ศ. 2564
เกิด 544,570 คน
ชาย 280,551 คน / หญิง 264,019 คน
.
ปี พ.ศ. 2565
เกิด 502,107 คน
ชาย 259,558 คน / หญิง 242,549 คน
.
ปี พ.ศ.2566
เกิด 517,934 คน
ชาย 266,426 คน / หญิง 251,508 คน
.
ปี พ.ศ. 2567
เกิด 462,240 คน
ชาย 238,467 คน / หญิง 223,773 คน
.
มกราคม-ตุลาคม ปี พ.ศ. 2568
เกิด 348,686 คน
ชาย 179,959 คน / หญิง 168,727 คน
.
จากแบบสำรวจ สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ได้สำรวจความเห็นประชาชนไทยจำนวน 1,042 คน เพื่อสอบถามความคิดเห็นในประเด็น “สถานการณ์เด็กเกิดน้อยและสังคมสูงอายุ” พบว่า ผู้หญิงเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่เห็นด้วยว่าจะมีลูก ถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมจะมีลูก สัดส่วนผู้ชายตอบว่าจะมีลูกถ้าอยู่ในสถานะที่พร้อมมากกว่าผู้หญิง (ชาย 60% ต่อ หญิง 53%)
.
ผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นว่า การตัดสินใจมีลูกมีความแตกต่างกันระหว่างเจนเนอเรชัน โดยกลุ่มเจนเนอเรชัน X มีแนวโน้มที่จะมีลูกสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น ในขณะที่เจนเนอเรชัน Y มีสัดส่วนความตั้งใจมีลูกต่ำที่สุด ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจดังกล่าว อาจรวมถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ค่านิยม