เชื่อว่า สวิตเซอร์แลนด์นับเป็นหนึ่งใน สถานที่ท่องเที่ยวที่มีหลายคนอยากไปที่สุด ผมเอง อยู่มา 40กว่าปี ก็เพิ่งได้มีโอกาสแวะเวียน แม้จุดหมายของการเดินทางแท้จริง จะไม่ใช่ที่สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อมีโอกาสผมก็ชอบที่จะ Stop over ที่ใดนานๆเพื่อเก็บประสบการณ์หลายที่นั่นเอง ตอนนั้นเองที่เลือกมีตัวเลือกว่าจะ Stop over ที่ แฟรงเฟิร์ต อิสตันบูล ปารีส และสวิตเซอร์แลนด์ นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริปครั้งนี้

ผมมีเวลาสำหรับสวิตเซอร์แลนด์ราวๆ 5 วัน 4คืนเท่านั้น ร่วมกับใช้เวลาวางแผนการเดินทางนานประมาณ 2 เดือนก่อนเดินทาง เริ่มจากการปรึกษาเพื่อนที่เคยเรียนต่อที่นี่ ไกด์ที่เคยพาเที่ยวยุโรป และแนะนำให้ศึกษาจากการดูยูทูปทั้งหลายที่พาเดินชมจุดนู้นนี่ ให้เราคุ้นชินเวลาหาตู้ซื้อตั๋ว และอื่นๆ
SwissTravel pass แน่นอน เป็นบัตรที่เอาไว้อำนวยความสะดวกมากมายในระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือ รถบัส เหมือนเอาไว้เบ่งแบบเงียบๆ สำหรับการเดินทางในสวิตเราสามารถขึ้นลงรถไฟ เรือ รถบัส โดยไม่ต้องทำอะไรเลย หากแต่เมื่อมีเจ้าหน้าที่มาตรวจจำเป็น ต้องแสดงพาสนั้นๆ
1. E-ticket สำหรับการเลือกซื้อ สามารถซื้อเป็นแบบกระดาษ หรือเลือกซื้อ ออนไลน์ล่วงหน้า โดยระบุ จำนวนวันที่ใช้ และ เป็นแบบใช้ต่อเนื่อง หรือ เว้นวันได้ สำหรับผม Swiss travel pass 4 วัน เพราะวันแรก กว่าจะถึงก็ดึกซะแล้ว ผมซื้อ pass ผ่านทาง Klook และ ได้โค้ดในช่วง10/10 ก็ได้ส่วนลดมาราว 10% ถือว่าโอเคเลยครับ
2. e-SIM อินเตอร์เนตถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ รองจากเงิน เนื่องจากเราทั้งใช้แอพ ทั้งเปิดเมล์รวมถึง พาสต่าง ขาดไม่ได้เลยครับ ทีนี้ก็แล้วแต่ว่าเราจะเลือก e-SIM หรือ Roaming จากซิมเดิมที่เรามีอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้ว e-SIM จะถูกกว่า ทั้งนี้ก็ขึ้นกับความสะดวกของเรา
3. APP SBB แน่นอน ควรมีแอพนี้สำหรับเลือกสายรถไฟหรือรถบัส โดยตัวแอป สามารถเลือกเวลาที่จะเดินทางทำให้เราสามารถดูแต่ละช่วงที่รถจะมาและสามารถกะเวลาได้ถูกต้อง นอกจากนี้แอพยังแสดงแผ่นที่หากต้องมีการเปลี่ยนขบวน หรือย้ายมานั่งรถบัสด้วย หาโหลดไว้ได้เลยครับ
4. Google Map เป็นอีกอันที่ใช้สะดวก สำหรับดูรอบรถ ณ เวลานั้น ถ้าผมมองจะมีการอัพเดตได้มากกว่า SBB ในแง่บางจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหลือจากรถไฟ นอกจากนี้ผมยัง mark จุดสำคัญในการเดินทางไว้ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่จอง หรือสถานที่ที่ตั้งใจไป รวมถึงร้านอาหารแนะนำนั่นเอง
เรามาเริ่มเดินทางกันเถอะครับ
สำหรับสายการบินที่เดินทางคือ Swiss Air เนื่องจากต้องการ Stop over ที่นี่นั่นเองครับ โชคดีหน่อย ได้อัพเกรด เป็น Premium Eco เพราะไฟลท์ค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว ข้อดีคือ เก้าอี้ไม่เบี้ยด เนื่องจากเก้าอี้จะมีคอกโลหะกันอยู่ทำให้เวลาเอนนอน ไม่ส่งผลกับคน่ข้างหลัง เวลาคนข้างหน้าเอนนอนเราก็ไม่มีปัญหากับถาดวางอาหาร

ประเดิมอาหารด้านในด้วยไวน์แดงสวิส ถือว่ารสชาตดีมากครับ ทานง่าย แอร์ก็มาแนะนำว่าให้ทานตัวนี้เริ่มแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งจะintenseกว่า ฝาดกว่าหน่อยนึง นอกจากนี้ ยังได้ทานอาหารท้องถิ่น Swiss ไปด้วยเลย รวมถึงช๊อกโกแลตทั้งหลาย เรียกว่าอิ่มจุใจเลยทีเดียว
ผมเดินทางมาถึงZurich ราวๆ สองทุ่ม กว่าจะเสร็จเรื่องตรวจเข้าเมืองก็สองทุ่มกว่าละครับรวมถึงรอกระเป๋าอีก
หลังจากนั้นไปตู้ซื้อตั๋วรถไฟ เข้าไป Zurich HB แล้วมุ่งตรงไป รร. สำหรับรร. ในสวิส ไม่ถือว่าถูกนะคับอีกอย่างผมก้ตัวใหญ่เลยเลือกนอนเตียง Queen ขึ้นเพื่อความสะดวก คืนนี้ แค่นอน ก็ 6500 บาทแล้ว ที่พักอยู่ห่างจากสถานีไม่มาก ผมเลือกเดินลากกระเป่าชมวิวเมืองยามค่ำคืนไปด้วย ถึงที่พัก.... แต่เข้าไม่ได้
ทางรร. มีระบบ เชคอินแค่ถึงสองทุ่มครับ หลังจากนั้น จะมีการส่งเมล์ ให้เราเพื่อได้รหัสกดเอาคีย์การ์ดและกุญแจห้อง จากเครื่องด้านหน้ารร. งานเข้าล่ะสิ ไม่มีเมล์ถึงผมแม้แต่ฉบับเดียว มารู้ทีหลังคือ booking ใส่เมล์อะไรของผมก็ไม่รู้ทับมั่วซั่วไปหมด โชคดี เคาะกระจกด้านนอก มีฝรั่งใจดี มาช่วยเปิดเข้าให้หายหนาว และโทรติดต่อเบอร์เจ้าหน้าที่ให้ผม ใช้ครับเค้ามีกระดาษแปะว่าหากมีปัญหาให้โทรเบอร์นี้ แต่...ผมจะไปหาซิมที่ไหนมาโทร ซื้อมาก็แค่ eSim net เท่านั้นเอง
หลังจากวุ่นวายหากุญแจได้ก็จัดแจงขึ้นห้อง แล้วลงมาเดินดูบรรยากาศของสวิส วันแรก นอกจากนี้ยังตรงไปร้านอาหารที่ตั้งใจไปกินอาหารท้องถิ่น จาก Google คือปิด 23.00 เมื่อเดินไปราวๆ 2 km ก็ถึงร้าน มีบริกรกำลังเช็ดโต๊ะ อยู่กับเก็บโต๊ะหน้าร้าน ผมตรงไปถามว่าทานได้ไหม..เค้าบอกว่า ครัวปิด 22.00 ซึ่งขณะนั้น คือเวลา 22.10 นั่นเอง วันแรกอะไรมันจะเฟลล์ขนาดนี้ เดินคอตก กลับมาเปิดมาม่ากล่องแรก ฉลองวันแรกที่สวิส ด้วยบะหมี่สำเร็จรูปที่คุ้นเคย
Day 1 Zermatt
หลังจากวุ่นวายจากวันแรก กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน แน่นอน ตี4 ผมก็ตื่นแล้วคับ มัน 9โมงเมืองไทยนิ... หลังจากนั้นนอนไม่หลับ จึงตัดสินใจเก็บของแล้วเดินทาง ยาม 7 โมงเช้าเพื่อไป Zermatt ทิ้งอาหารเช้าที่จองพร้อมโรงแรมไว้ อย่างน้อยมีเวลาที่Zermatt เยอะหน่อยก็คงดี
ผมใช้เวลา ราว 3 ชั่วโมง จาก Zurich HB มาเปลี่ยนรถที่ VISP และ ก็มาถึง Tasch ซึ่งเป็นเมืองก่อนเข้า Zermatt เนื่องจาก Zermatt เป็นเมืองปลอดควันรถ รถที่ใช้ก็ใช้งานด้วยไฟฟ้า คนที่เดินทางมา ก็จะมาจอดรถที่เมือง Tasch ก่อนที่จะเข้า Zermatt และแน่นอนรถไฟที่เข้า Zermatt ก็ครอบคลุมใน Pass ด้วยเช่นกัน
บรรยากาศ ระหว่างทาง สวยสุดบรรยาย แน่นอน แม้จะเห็นในรูปมาแล้วมากมาย แต่เห็นตัวตาเนื้อตัวเองมันว้าว กว่าจริงๆ เนื่องจากช่วงที่เดินทางเป็น Autumn ต้นไม้หลายๆต้นจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้ม ตัดกับ พื้นหญ้าสีเขียว ยิ่งใกล้ Zermatt ก็ทำให้เราเห็นยอดเขาสูง ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ตัดกับพื้นท้องฟ้าสีน้ำเงิน 3 ชม.ที่เดินทางมาคือไม่ได้นอนเลยครับและก็ไม่ได้รู้สึกว่ายาวนานเท่าไหร่ เพราะมัวแต่มองนู่นนี่ไปซะหมด
ใกล้ๆ สิบเอ็ดโมงผมก็เดินทางถึง Zermatt ผมลากระเป่าเดินทางมาเรื่อยตามทาง ตามสไตล์ทางเดินยุโรปบางส่วนมักเป็นพวก Cobble stone แน่นอน มัน ไม่ค่อยเป็นมิตรกับล้อกระเป๋าเท่าไหร่นัก สงสัยกระเป๋าคู่บุญมาก มารู้อีกที่รร.มีรถรับส่งนะ แต่ ช้าไปละจ้า

โรงแรมที่ผมเลือกนอนคือ Hotel Bristol อาจจะไกลจากสถานีสักหน่อย แต่ มันอยู่ตรงหน้า Matterhorn View point เลยทีเดียว ราวกับจุดนี้เป็นของเราจะขึ้นจะลงเท่าไหร่ ก็ได้หมด เมื่อถึงที่พักก็มาติดต่อ Reception โชคดีมากๆ ห้องของผมว่างตั้งแต่เช้า ทางรร จึงสามารถให้ผมขึ้นไปยังห้องได้เลย
ห้องที่เลือกเป็นห้อง Grandlit คือเตียงมีขนาดใหญ่หน่อย ข้อดีอีกอย่างคือมี หน้าต่างสองด้านเพราะเป็นห้องมุม ห้องที่นี่ถือว่าราคาแรงสุดทั้งทริปแล้วครับ ประมาณ 8500 บาท ถามว่าเห็น Matterhornไหม ไม่จ้า ไม่ได้เห้นตรงๆ ห้องวิวที่เห็น Matterhorn ราคากระโดดไป หมื่นสี่ ถึงสองหมื่นจนน่าตกใจ แต่จากห้องของผมชะเง้อออกมุมข้าง ก็คือเห็น Matterhorn ได้เอียงๆ รวมถึงเซลฟี่ เห็นได้ชัดเจนเลย
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ก็แวะลงมาจุด วิวพอยต์ที่ถ่ายรูปสักหน่อย วันนี้โชคดีมากเหมือนที่ดุพยากรณ์ ท้องฟ้าสดใส เป็นสีฟ้า มองเห็นธารน้ำหน้าโรงแรม และวิวด้านหลังเป็น Matterhorn ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก แม้จะเห็นจากรูปก็ดูงั้นๆ ภูเขาสามเหลี่ยม แต่พอมาเห็นจริงๆ มันดูยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งมากๆ เดินเก็บรูปสักพัก ก็มาเดินเล่นตรงโบสถ์กลาง Zermatt
บ่ายวันนี้ ตามตารางคือซ้อ ตั๋วรถไฟ ขึ้นไปดู Matterhorn กัน ในจุดต่างๆ เราสามารถเลือกจะดู Matterhorn ได้ในหลายๆจุด รถไฟ Gornergrat จะวิ่งล้อม Matterhorn ทำให้เราสามารถมองเห็น ในมุมกว้าง 360องศา เลยทีเดียว
สวิสพาส สามารถลดราคา ตั๋วรถไฟ Gornergrat ได้นะครับ
โดย เส้นทาง Gornergrat จะมีจุดหยุดพัก อยุ่ 5 จุด คือ RiffelAlp Rotenborden และ Gonergrat ผมเริ่มต้นกับจุดแรกค่อยๆลงทีละสถานี ระหว่างทาง ยังคงความสวยงามของฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ต่างๆเปลี่ยนสีเป็นเหลืองส้ม บางต้นยังแซมสีเขียวยู่ตัดกับพื้นหลังของเทือกเขา และยอดเขาต่างได้ย่างสวยงาม
ขึ้นรถต่อมาเราข้ามสถานีนึง และแวะ สถานี Roten Boden เมื่อเดินไปเห็น แนวเขาหิน เบื้องหลังเป็น Matterhotrn ช่างดูสวยงามราวกับภาพวาด อากาศด้านบนสดชื่น แต่ก็แฝงไปด้วยความหนาวเย็น เดินลงมาด้านล่าง เพื่อดูทะเลสาบ Riffelsee ดูเงาสะท้อนน้ำของ Matterhorn สวยงามราวภาพวาด นอกจากนี้ยังมีความคลาสสิกของต้นไม้น้ำที่เรียงตัวเป็นริ้วๆ บนผืนน้ำที่ใสมองเห็นด้านล่างยิ่งดูงามตา ผมใช้เวลาที่นี่นานมากทั้งนั่งพัก เก็บภาพด้าน Matterhorn และมุมที่เป็นหิมะ ต้นไม้ด้านบนจะค่อนข้างน้อยเนื่องจากอาการศหนาวเย็น
ใบไม้สีเหลือง ภูเขาสีทอง 5 วันกับครั้งแรกในสวิตเซอร์แลนด์
ผมมีเวลาสำหรับสวิตเซอร์แลนด์ราวๆ 5 วัน 4คืนเท่านั้น ร่วมกับใช้เวลาวางแผนการเดินทางนานประมาณ 2 เดือนก่อนเดินทาง เริ่มจากการปรึกษาเพื่อนที่เคยเรียนต่อที่นี่ ไกด์ที่เคยพาเที่ยวยุโรป และแนะนำให้ศึกษาจากการดูยูทูปทั้งหลายที่พาเดินชมจุดนู้นนี่ ให้เราคุ้นชินเวลาหาตู้ซื้อตั๋ว และอื่นๆ
SwissTravel pass แน่นอน เป็นบัตรที่เอาไว้อำนวยความสะดวกมากมายในระหว่างการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือ รถบัส เหมือนเอาไว้เบ่งแบบเงียบๆ สำหรับการเดินทางในสวิตเราสามารถขึ้นลงรถไฟ เรือ รถบัส โดยไม่ต้องทำอะไรเลย หากแต่เมื่อมีเจ้าหน้าที่มาตรวจจำเป็น ต้องแสดงพาสนั้นๆ
1. E-ticket สำหรับการเลือกซื้อ สามารถซื้อเป็นแบบกระดาษ หรือเลือกซื้อ ออนไลน์ล่วงหน้า โดยระบุ จำนวนวันที่ใช้ และ เป็นแบบใช้ต่อเนื่อง หรือ เว้นวันได้ สำหรับผม Swiss travel pass 4 วัน เพราะวันแรก กว่าจะถึงก็ดึกซะแล้ว ผมซื้อ pass ผ่านทาง Klook และ ได้โค้ดในช่วง10/10 ก็ได้ส่วนลดมาราว 10% ถือว่าโอเคเลยครับ
2. e-SIM อินเตอร์เนตถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ รองจากเงิน เนื่องจากเราทั้งใช้แอพ ทั้งเปิดเมล์รวมถึง พาสต่าง ขาดไม่ได้เลยครับ ทีนี้ก็แล้วแต่ว่าเราจะเลือก e-SIM หรือ Roaming จากซิมเดิมที่เรามีอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้ว e-SIM จะถูกกว่า ทั้งนี้ก็ขึ้นกับความสะดวกของเรา
3. APP SBB แน่นอน ควรมีแอพนี้สำหรับเลือกสายรถไฟหรือรถบัส โดยตัวแอป สามารถเลือกเวลาที่จะเดินทางทำให้เราสามารถดูแต่ละช่วงที่รถจะมาและสามารถกะเวลาได้ถูกต้อง นอกจากนี้แอพยังแสดงแผ่นที่หากต้องมีการเปลี่ยนขบวน หรือย้ายมานั่งรถบัสด้วย หาโหลดไว้ได้เลยครับ
4. Google Map เป็นอีกอันที่ใช้สะดวก สำหรับดูรอบรถ ณ เวลานั้น ถ้าผมมองจะมีการอัพเดตได้มากกว่า SBB ในแง่บางจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงนอกเหลือจากรถไฟ นอกจากนี้ผมยัง mark จุดสำคัญในการเดินทางไว้ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่จอง หรือสถานที่ที่ตั้งใจไป รวมถึงร้านอาหารแนะนำนั่นเอง
เรามาเริ่มเดินทางกันเถอะครับ
สำหรับสายการบินที่เดินทางคือ Swiss Air เนื่องจากต้องการ Stop over ที่นี่นั่นเองครับ โชคดีหน่อย ได้อัพเกรด เป็น Premium Eco เพราะไฟลท์ค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว ข้อดีคือ เก้าอี้ไม่เบี้ยด เนื่องจากเก้าอี้จะมีคอกโลหะกันอยู่ทำให้เวลาเอนนอน ไม่ส่งผลกับคน่ข้างหลัง เวลาคนข้างหน้าเอนนอนเราก็ไม่มีปัญหากับถาดวางอาหาร
ประเดิมอาหารด้านในด้วยไวน์แดงสวิส ถือว่ารสชาตดีมากครับ ทานง่าย แอร์ก็มาแนะนำว่าให้ทานตัวนี้เริ่มแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งจะintenseกว่า ฝาดกว่าหน่อยนึง นอกจากนี้ ยังได้ทานอาหารท้องถิ่น Swiss ไปด้วยเลย รวมถึงช๊อกโกแลตทั้งหลาย เรียกว่าอิ่มจุใจเลยทีเดียว
ผมเดินทางมาถึงZurich ราวๆ สองทุ่ม กว่าจะเสร็จเรื่องตรวจเข้าเมืองก็สองทุ่มกว่าละครับรวมถึงรอกระเป๋าอีก
หลังจากนั้นไปตู้ซื้อตั๋วรถไฟ เข้าไป Zurich HB แล้วมุ่งตรงไป รร. สำหรับรร. ในสวิส ไม่ถือว่าถูกนะคับอีกอย่างผมก้ตัวใหญ่เลยเลือกนอนเตียง Queen ขึ้นเพื่อความสะดวก คืนนี้ แค่นอน ก็ 6500 บาทแล้ว ที่พักอยู่ห่างจากสถานีไม่มาก ผมเลือกเดินลากกระเป่าชมวิวเมืองยามค่ำคืนไปด้วย ถึงที่พัก.... แต่เข้าไม่ได้
ทางรร. มีระบบ เชคอินแค่ถึงสองทุ่มครับ หลังจากนั้น จะมีการส่งเมล์ ให้เราเพื่อได้รหัสกดเอาคีย์การ์ดและกุญแจห้อง จากเครื่องด้านหน้ารร. งานเข้าล่ะสิ ไม่มีเมล์ถึงผมแม้แต่ฉบับเดียว มารู้ทีหลังคือ booking ใส่เมล์อะไรของผมก็ไม่รู้ทับมั่วซั่วไปหมด โชคดี เคาะกระจกด้านนอก มีฝรั่งใจดี มาช่วยเปิดเข้าให้หายหนาว และโทรติดต่อเบอร์เจ้าหน้าที่ให้ผม ใช้ครับเค้ามีกระดาษแปะว่าหากมีปัญหาให้โทรเบอร์นี้ แต่...ผมจะไปหาซิมที่ไหนมาโทร ซื้อมาก็แค่ eSim net เท่านั้นเอง
หลังจากวุ่นวายหากุญแจได้ก็จัดแจงขึ้นห้อง แล้วลงมาเดินดูบรรยากาศของสวิส วันแรก นอกจากนี้ยังตรงไปร้านอาหารที่ตั้งใจไปกินอาหารท้องถิ่น จาก Google คือปิด 23.00 เมื่อเดินไปราวๆ 2 km ก็ถึงร้าน มีบริกรกำลังเช็ดโต๊ะ อยู่กับเก็บโต๊ะหน้าร้าน ผมตรงไปถามว่าทานได้ไหม..เค้าบอกว่า ครัวปิด 22.00 ซึ่งขณะนั้น คือเวลา 22.10 นั่นเอง วันแรกอะไรมันจะเฟลล์ขนาดนี้ เดินคอตก กลับมาเปิดมาม่ากล่องแรก ฉลองวันแรกที่สวิส ด้วยบะหมี่สำเร็จรูปที่คุ้นเคย
Day 1 Zermatt
หลังจากวุ่นวายจากวันแรก กว่าจะได้นอนก็เกือบเที่ยงคืน แน่นอน ตี4 ผมก็ตื่นแล้วคับ มัน 9โมงเมืองไทยนิ... หลังจากนั้นนอนไม่หลับ จึงตัดสินใจเก็บของแล้วเดินทาง ยาม 7 โมงเช้าเพื่อไป Zermatt ทิ้งอาหารเช้าที่จองพร้อมโรงแรมไว้ อย่างน้อยมีเวลาที่Zermatt เยอะหน่อยก็คงดี
ผมใช้เวลา ราว 3 ชั่วโมง จาก Zurich HB มาเปลี่ยนรถที่ VISP และ ก็มาถึง Tasch ซึ่งเป็นเมืองก่อนเข้า Zermatt เนื่องจาก Zermatt เป็นเมืองปลอดควันรถ รถที่ใช้ก็ใช้งานด้วยไฟฟ้า คนที่เดินทางมา ก็จะมาจอดรถที่เมือง Tasch ก่อนที่จะเข้า Zermatt และแน่นอนรถไฟที่เข้า Zermatt ก็ครอบคลุมใน Pass ด้วยเช่นกัน
บรรยากาศ ระหว่างทาง สวยสุดบรรยาย แน่นอน แม้จะเห็นในรูปมาแล้วมากมาย แต่เห็นตัวตาเนื้อตัวเองมันว้าว กว่าจริงๆ เนื่องจากช่วงที่เดินทางเป็น Autumn ต้นไม้หลายๆต้นจึงเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้ม ตัดกับ พื้นหญ้าสีเขียว ยิ่งใกล้ Zermatt ก็ทำให้เราเห็นยอดเขาสูง ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ตัดกับพื้นท้องฟ้าสีน้ำเงิน 3 ชม.ที่เดินทางมาคือไม่ได้นอนเลยครับและก็ไม่ได้รู้สึกว่ายาวนานเท่าไหร่ เพราะมัวแต่มองนู่นนี่ไปซะหมด
ใกล้ๆ สิบเอ็ดโมงผมก็เดินทางถึง Zermatt ผมลากระเป่าเดินทางมาเรื่อยตามทาง ตามสไตล์ทางเดินยุโรปบางส่วนมักเป็นพวก Cobble stone แน่นอน มัน ไม่ค่อยเป็นมิตรกับล้อกระเป๋าเท่าไหร่นัก สงสัยกระเป๋าคู่บุญมาก มารู้อีกที่รร.มีรถรับส่งนะ แต่ ช้าไปละจ้า
โรงแรมที่ผมเลือกนอนคือ Hotel Bristol อาจจะไกลจากสถานีสักหน่อย แต่ มันอยู่ตรงหน้า Matterhorn View point เลยทีเดียว ราวกับจุดนี้เป็นของเราจะขึ้นจะลงเท่าไหร่ ก็ได้หมด เมื่อถึงที่พักก็มาติดต่อ Reception โชคดีมากๆ ห้องของผมว่างตั้งแต่เช้า ทางรร จึงสามารถให้ผมขึ้นไปยังห้องได้เลย
ห้องที่เลือกเป็นห้อง Grandlit คือเตียงมีขนาดใหญ่หน่อย ข้อดีอีกอย่างคือมี หน้าต่างสองด้านเพราะเป็นห้องมุม ห้องที่นี่ถือว่าราคาแรงสุดทั้งทริปแล้วครับ ประมาณ 8500 บาท ถามว่าเห็น Matterhornไหม ไม่จ้า ไม่ได้เห้นตรงๆ ห้องวิวที่เห็น Matterhorn ราคากระโดดไป หมื่นสี่ ถึงสองหมื่นจนน่าตกใจ แต่จากห้องของผมชะเง้อออกมุมข้าง ก็คือเห็น Matterhorn ได้เอียงๆ รวมถึงเซลฟี่ เห็นได้ชัดเจนเลย
หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ ก็แวะลงมาจุด วิวพอยต์ที่ถ่ายรูปสักหน่อย วันนี้โชคดีมากเหมือนที่ดุพยากรณ์ ท้องฟ้าสดใส เป็นสีฟ้า มองเห็นธารน้ำหน้าโรงแรม และวิวด้านหลังเป็น Matterhorn ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าที่คิดไว้มาก แม้จะเห็นจากรูปก็ดูงั้นๆ ภูเขาสามเหลี่ยม แต่พอมาเห็นจริงๆ มันดูยิ่งใหญ่ และแข็งแกร่งมากๆ เดินเก็บรูปสักพัก ก็มาเดินเล่นตรงโบสถ์กลาง Zermatt
บ่ายวันนี้ ตามตารางคือซ้อ ตั๋วรถไฟ ขึ้นไปดู Matterhorn กัน ในจุดต่างๆ เราสามารถเลือกจะดู Matterhorn ได้ในหลายๆจุด รถไฟ Gornergrat จะวิ่งล้อม Matterhorn ทำให้เราสามารถมองเห็น ในมุมกว้าง 360องศา เลยทีเดียว
สวิสพาส สามารถลดราคา ตั๋วรถไฟ Gornergrat ได้นะครับ
โดย เส้นทาง Gornergrat จะมีจุดหยุดพัก อยุ่ 5 จุด คือ RiffelAlp Rotenborden และ Gonergrat ผมเริ่มต้นกับจุดแรกค่อยๆลงทีละสถานี ระหว่างทาง ยังคงความสวยงามของฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ต่างๆเปลี่ยนสีเป็นเหลืองส้ม บางต้นยังแซมสีเขียวยู่ตัดกับพื้นหลังของเทือกเขา และยอดเขาต่างได้ย่างสวยงาม
ขึ้นรถต่อมาเราข้ามสถานีนึง และแวะ สถานี Roten Boden เมื่อเดินไปเห็น แนวเขาหิน เบื้องหลังเป็น Matterhotrn ช่างดูสวยงามราวกับภาพวาด อากาศด้านบนสดชื่น แต่ก็แฝงไปด้วยความหนาวเย็น เดินลงมาด้านล่าง เพื่อดูทะเลสาบ Riffelsee ดูเงาสะท้อนน้ำของ Matterhorn สวยงามราวภาพวาด นอกจากนี้ยังมีความคลาสสิกของต้นไม้น้ำที่เรียงตัวเป็นริ้วๆ บนผืนน้ำที่ใสมองเห็นด้านล่างยิ่งดูงามตา ผมใช้เวลาที่นี่นานมากทั้งนั่งพัก เก็บภาพด้าน Matterhorn และมุมที่เป็นหิมะ ต้นไม้ด้านบนจะค่อนข้างน้อยเนื่องจากอาการศหนาวเย็น