KEY POINTS
รายงานจาก Resume Now แพลตฟอร์มหางานชื่อดัง เผย 12 อาชีพระดับเริ่มต้นที่มีความเสี่ยงต่ำที่จะถูก AI แทนที่ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอีก 10 ปีข้างหน้า
อาชีพที่ปลอดภัยจาก AI คือกลุ่มที่ต้องใช้ทักษะด้านความเข้าใจมนุษย์ การตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และการลงมือปฏิบัติจริง
สายงานส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสุขภาพ พลังงานสะอาด และช่างเทคนิคเฉพาะทาง ซึ่งยังคงต้องพึ่งพาแรงงานมนุษย์เป็นหลักและเป็นที่ต้องการสูง
ในวันที่หลายองค์กรใช้ AI มาช่วยทำงานแทนคน จนนำมาสู่การปลดคนออกจากระบบการจ้างงาน แต่อย่าเพิ่งท้อใจ! เพราะยังมีอีกหลายสายอาชีพที่เทคโนโลยีไม่อาจแทนได้ รายงานล่าสุดจาก Resume Now เปิดเผยว่า งานที่ต้องใช้ “หัวใจและความเข้าใจมนุษย์” และ “การลงมือทำจริง” ยังคงเป็นที่ต้องการสูง และเติบโตเร็วที่สุดในช่วง 10 ปีข้างหน้า
หลังจากบริษัทใหญ่ยักษ์ใหญ่ระดับโลก อย่าง Amazon และ UPS ประกาศปลดพนักงานร่วมหลักหมื่นคน ทางบริษัทดังกล่าวออกมาระบุว่า AI เป็นหนึ่งในเหตุผลของการปรับลดพนักงานทั่วโลก คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้นว่า “แล้วงานแบบไหนที่ยังปลอดภัยจากการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี?”
หลายอาชีพจะถูกจ้างงานสูง ไม่ง้อ AI ภายใน 10 ปีข้างหน้า
รายงานของ Resume Now ที่อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักสถิติแรงงานสหรัฐฯ (U.S. Bureau of Labor Statistics) และฐานข้อมูลอาชีพ O*Net พบว่า มีอย่างน้อย 12 อาชีพระดับเริ่มต้น (Entry-Level) ที่ยังมีแนวโน้มเติบโตเร็ว และมีความเสี่ยงต่ำต่อการถูกแทนที่ด้วย AI ภายในปี 2034 หรือในอีกประมาณ 9-10 ปีข้างหน้า
งานเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องจบปริญญาตรี บางอาชีพเพียงแค่มีวุฒิ ปวส. หรือประกาศนียบัตรวิชาชีพเท่านั้น แต่กลับให้รายได้เฉลี่ยตั้งแต่ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ราวๆ 1.6 ล้านบาท) ขึ้นไป
คีธ สเปนเซอร์ (Keith Spencer) ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชีพจาก Resume Now อธิบายว่า งานที่ “AI ยังทำแทนไม่ได้” คือ งานที่ต้องใช้การตัดสินใจในสถานการณ์จริง การเข้าใจอารมณ์และความต้องการของมนุษย์ รวมถึงการปรับตัวกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
“AI อาจจัดการข้อมูลได้ดี แต่ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ เมื่อต้องรับมือกับตัวแปรที่ซับซ้อนหรือเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง เนื่องจากงานเหล่านี้ยังต้องอาศัยวิจารณญาณของคนเป็นหลัก ซึ่งเป็นสิ่งที่เทคโนโลยียังเรียนรู้ไม่ได้ทั้งหมด” สเปนเซอร์ อธิบายเพิ่มเติม
เปิด 12 อาชีพระดับเริ่มต้น ที่ยัง “ปลอดภัยจาก AI”
เริ่มกันที่สายสุขภาพ ซึ่งยังเป็นอุตสาหกรรมที่ AI เข้ามาได้ไม่เต็มรูปแบบ และยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก
1. ผู้ช่วยทันตแพทย์ (Dental Hygienist)
อาชีพนี้ต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบและทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์สูง ผู้ช่วยทันตแพทย์ต้องดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโดยตรง ซึ่งไม่สามารถใช้หุ่นยนต์แทนได้ มีรายได้เฉลี่ยปีละ 94,260 ดอลลาร์ (ประมาณ 3 ล้านบาทต่อปี) และมีแนวโน้มเติบโตถึง 7% ภายในปี 2034
2. นักตรวจอัลตราซาวด์ทางการแพทย์ (Diagnostic Medical Sonographer)
เป็นอาชีพที่ต้องใช้ความเข้าใจเชิงเทคนิค ผสานกับการสื่อสารกับผู้ป่วย การแปลผลและวิเคราะห์ภาพจากคลื่นเสียงยังคงต้องอาศัยความแม่นยำของคนจริง รายได้เฉลี่ย 89,340 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 2.9 ล้านบาทต่อปี) และเติบโตเร็วถึง 13%
3. นักบำบัดระบบทางเดินหายใจ (Respiratory Therapist)
งานที่มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งหลังโควิด-19 ต้องใช้ทั้งทักษะเครื่องมือแพทย์และความเข้าใจสภาพร่างกายมนุษย์ มีรายได้เฉลี่ย 80,450 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ ล้านบาทต่อปี) และเติบโต 12%
4. เจ้าหน้าที่เอกซเรย์และ MRI (Radiologic and MRI Technologist)
แม้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่การวิเคราะห์ผลภาพและการดูแลผู้ป่วยขณะตรวจ ยังต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์ในการประเมินผลหรือวินิจฉัย รายได้เฉลี่ย 78,980 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 2.6 ล้านบาทต่อปี) และเติบโต 5%
5. ผู้ช่วยนักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy Assistant)
งานที่ต้องเข้าใจผู้ป่วยในเชิงจิตใจและร่างกาย เพื่อช่วยฟื้นฟูศักยภาพการใช้ชีวิตประจำวัน มีรายได้เฉลี่ย 66,050 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 2.14 ล้านบาทต่อปี) และเติบโตสูงถึง 18% ภายในทศวรรษหน้า
6. ช่างเทคนิคกังหันลม (Wind Turbine Technician)
กลุ่มอาชีพสายเทคนิคและพลังงานสะอาด ก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของโลก และยังต้องพึ่ง “มือมนุษย์” อย่างเต็มรูปแบบ โดยช่างเทคนิคกังหันลมถือเป็นอาชีพดาวรุ่งแห่งยุคพลังงานหมุนเวียน เพราะงานซ่อมบำรุงกังหันลมต้องอาศัยทั้งทักษะทางไฟฟ้าและการปีนป่ายโครงสร้างขนาดใหญ่ มีรายได้เฉลี่ย 62,580 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 2.03 ล้านบาทต่อปี) และอัตราเติบโตพุ่งสูงถึง 50% ซึ่งแตะระดับเติบโตเร็วที่สุดตามรายงานฉบับนี้
7. ผู้ช่วยศัลยแพทย์และการผ่าตัด (Surgical Assistant and Technologist)
การผ่าตัดยังต้องใช้ทีมแพทย์ที่เข้าใจสถานการณ์เฉพาะหน้า การเตรียมอุปกรณ์และสนับสนุนศัลยแพทย์เป็นสิ่งที่หุ่นยนต์ยังไม่สามารถทำได้สมบูรณ์ กลุ่มสายงานนี้มีรายได้เฉลี่ย 62,480 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 2.03 ล้านบาทต่อปี) เติบโต 5%
8. ช่างไฟฟ้า (Electrician)
แม้จะมีเครื่องมือช่วยตรวจวัดอัตโนมัติ แต่การติดตั้งระบบไฟฟ้ายังต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวของมนุษย์ สำหรับสายอาชีพนี้มีรายได้เฉลี่ย 62,350 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 2.02 ล้านบาทต่อปี) เติบโต 9%
9. ผู้ช่วยนักกายภาพบำบัด (Physical Therapist Assistant)
สายงานนี้เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ต้องใช้ “มือมนุษย์” ในการช่วยฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วย ทั้งการสัมผัส สื่อสาร และสร้างแรงจูงใจ รายได้เฉลี่ย 60,050 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.9 ล้านบาทต่อปี) เติบโตถึง 16%
10. ช่างเครื่องปรับอากาศ ระบบทำความเย็น (HVAC Mechanic)
งานที่ต้องเข้าใจระบบควบคุมอุณหภูมิและซ่อมแซมอุปกรณ์ด้วยมือจริง เป็นอาชีพที่ขาดแคลนแรงงานทั่วโลก รายได้เฉลี่ย 59,810 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.9 ล้านบาทต่อปี) เติบโต 8%
11. ช่างติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (Solar Photovoltaic Installer)
อีกหนึ่งอาชีพสายพลังงานสะอาดที่โตเร็วที่สุดในสหรัฐฯ งานนี้ต้องลงพื้นที่จริงเพื่อติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ รายได้เฉลี่ย 51,860 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.68 ล้านบาทต่อปี) และเติบโตสูงถึง 42% ภายในปี 2034
12. เจ้าหน้าที่กู้ชีพและพยาบาลฉุกเฉิน (EMTs and Paramedics)
เป็นงานที่ไม่มีวันถูกแทนที่โดย AI เพราะต้องเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะหน้าและใช้การตัดสินใจทันทีเพื่อช่วยชีวิตผู้คน รายได้เฉลี่ย 46,350 ดอลลาร์ต่อปี (ประมาณ 1.5 ล้านบาทต่อปี) และเติบโต 5%
งานที่เติบโตเพราะ “มนุษย์” ขาดไม่ได้
สเปนเซอร์ บอกอีกว่า แม้ AI จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในหลายๆ อุตสาหกรรม โดยเฉพาะชาวออฟฟิศที่ทำงานนั่งโต๊ะ แต่สำหรับสายงานด้านสุขภาพ พลังงานสะอาด และแรงงานเทคนิค ยังเป็นพื้นที่ที่แรงงานมนุษย์จำเป็นอย่างยิ่ง เขาย้ำว่า “เราอาจเห็น AI ช่วยงานในห้องแล็บหรือการวิเคราะห์ข้อมูล แต่ในภาคสนาม ในห้องผ่าตัด หรือบนกังหันลม ยังต้องมีมนุษย์อยู่ตรงนั้นเสมอ”
นอกจากนั้นเขายังชี้ว่า ความนิยมเรียนมหาวิทยาลัยในอดีตทำให้คนรุ่นใหม่ละเลยสายอาชีพด้านช่างและเทคนิค ส่งผลให้แรงงานเหล่านี้กลายเป็นที่ต้องการสูงในปัจจุบัน ขณะเดียวกัน วิกฤติโควิด-19 ก็ทำให้บุคลากรด้านสาธารณสุขขาดแคลนอย่างหนัก
สเปนเซอร์แนะนำว่า หากต้องการเข้าสู่อาชีพที่มั่นคงและปลอดภัยจาก AI ควรเริ่มจากการ เข้าใจทักษะที่อาชีพนั้นต้องการจริงๆ และพยายามหาประสบการณ์ตรงผ่าน การฝึกงานหรืออาสาสมัคร
“ยิ่งคุณมีประสบการณ์ลงมือทำมากเท่าไร โอกาสในการได้งานก็สูงขึ้นเท่านั้น โดยเฉพาะเวลาเขียนใบสมัคร อย่าลืมโชว์ทักษะที่ AI ไม่มีเหมือนที่มนุษย์ทำได้ เช่น การทำงานเป็นทีม ความละเอียดรอบคอบ และการสื่อสารที่ดี”
เขาทิ้งท้ายไว้อย่างน่าคิดว่า “อย่ากลัวว่า AI จะมาแย่งงาน แต่ให้มองว่ามันคือเครื่องมือที่จะทำให้เราทำงานได้ฉลาดขึ้น จงเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และทำให้ตัวเองเป็นคนที่ปรับตัวได้ตลอดเวลา เพราะความยืดหยุ่นคือ ‘ทักษะแห่งอนาคต’ ที่ไม่มีวันล้าสมัย”
12 อาชีพเริ่มต้น ไม่เสี่ยง AI แทนที่ เติบโตเร็วในอีก 10 ปีข้างหน้า