KEY POINTS
สหรัฐฯขอให้ไทย ยกเลิก 'เงินรางวัลนำจับ' เพื่อแลกกับการจัดทำกรอบเจรจาการค้าและ ดีลลดภาษีสินค้า โดยมองว่าร เป็นอุปสรรคทางการค้าและขาดความโปร่งใสตามมาตรฐานสากล
กรมศุลฯเตรียมเสนอแก้กฎหมาย ยกเลิก 'เงินรางวัล' สำหรับเจ้าหน้าที่ (เพราะถือเป็นหน้าที่) แต่ยัง คง 'เงินสินบน' ให้ผู้แจ้งเบาะแสภายนอกไว้ พร้อมออกระเบียบ ตัดสิทธิ์ผู้บริหารระดับสูง ไม่ให้รับรางวัล
กรมศุลกากรยืนยันว่าการยกเลิกรางวัล จะไม่ทำให้เจ้าหน้าที่ "เกียร์ว่าง" โดยตั้งเป้าดำเนินการออกระเบียบใหม่และเสนอแก้กฎหมายต่อสภาให้เสร็จสิ้นภายใน 4 เดือน
เงินสินบนและรางวัลของกรมศุลกากร ถูกเรียกร้องให้ยกเลิกมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และภาคส่วนต่างๆ เนื่องจากมองว่า เป็นช่องทางที่นำไปสู่ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนและการทุจริต
ล่าสุดตามเอกสารที่ทำเนียบขาวได้เผยแพร่เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา ระบุว่า สหรัฐอเมริกาและไทยได้ตกลงจัดทำกรอบการดำเนินงานข้อตกลงว่าด้วยการค้าต่างตอบแทน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจทวิภาคี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ส่งออกของทั้งสองฝ่ายสามารถเข้าถึงตลาดของกันและกันได้อย่างไม่เคยมีมาก่อน
นอกจากเงื่อนไขสำคัญที่ไทยจะต้องยกเลิกข้อจำกัดด้านภาษีสำหรับสินค้าประมาณ 99% ให้กับสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ และไทยต้องจัดซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง และอื่น ๆ มูลค่า 2.6 พันล้านบาทต่อปี
การจัดซื้อพลังงาน ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) น้ำมันดิบ และอีเทน มูลค่า 5.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และการจัดซื้อเครื่องบินสหรัฐจำนวน 80 ลำ มูลค่ารวม 1.88 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว
สหรัฐฯ ยังขอให้ไทยแก้ไขกฎหมายศุลกากรเพื่อยกเลิกระบบการให้รางวัลนำจับที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดและบทลงโทษทางศุลกากร และการนำแนวปฏิบัติด้านกฎระเบียบที่ดีมาใช้และปฏิบัติตาม
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังออกมาระบุว่า ระบบการจ่ายเงินสินบนรางวัลของกรมศุลกากรเป็นอุปสรรคสำคัญ ในการเจรจาการค้ากับบางประเทศ โดยเฉพาะ สหรัฐอเมริกา
ประเด็นนี้ถูกหยิบยกมาเป็นส่วนหนึ่งของการวางกรอบเจรจาการค้าใหม่ เพราะมองว่า ระบบสินบนและรางวัล ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เรื่องความโปร่งใสและธรรมาภิบาล
ยกเลิก“เงินรางวัล”
นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ อธิบดี กรมศุลกากรเปิดเผย“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ไม่เพียงแค่สหรัฐฯ เท่านั้นที่มองว่า การจ่ายเงินสินบน รางวัลของกรมศุลกากรเป็นอุปสรรคต่อการค้า ยังมีอีกหลายประเทศที่มองเรื่องนี้เช่นกัน รวมถึงหน่วยงานในประเทศ อย่าง ปปช.ให้ยกเลิกระบบการจ่ายรางวัลจากเงินค่าปรับ เพื่อป้องกันการมีผลประโยชน์ทับซ้อน
ทั้งนี้การจ่ายสินบน เงินรางวัล ถูกมองว่าเป็น“แรงจูงใจ” หรือ incentive ที่มันผิด เพราะอำนาจการสอบสวน ดำเนินคดีและการสั่งจ่ายสินบนและรางวัลอยู่ภายใต้กรมศุลกากร อาจทำให้เจ้าหน้าที่ รวมถึงผู้บริหาร มองว่า ภาคเอกชนมีความผิด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว คดีนั้นอาจจะก้ำกึ่งหรือไม่ผิดเลยก็ได้
ขณะเดียวกันการมีเงินรางวัลทำให้เกิด “ช่องทาง” ที่คนเห็นโอกาสแล้วหาผลประโยชน์จากช่องทางนี้ อย่างกรณี “คดีผู้กำกับโจ้” ซึ่งมีการนำเรื่องเงินรางวัล (สินบนและรางวัล)ไปใช้ในกระบวนการฟอกรถหรือฟอกคดี ทำให้เกิดปัญหาทางคดีขึ้น ภาคเอกชนไทยเองก็สงสัยในเรื่องนี้มานานแล้ว และมองว่า การที่กรมศุลกากรตัดสินให้ภาคเอกชนมีความผิด เพราะหวังเงินรางวัล
ดังนั้นการปรับปรุงเรื่องสินบน เงินรางวัลจึงถือเป็นเรื่องบังคับต้องแก้ไข เนื่องจากกระทบต่อภาพรวมของประเทศ ซึ่งอาจทำให้สินค้าที่ส่งออกจากประเทศไทยต้องโดนภาษีสูง
โดยจะเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ศุลกากรให้ยกเลิกเงินรางวัล เพราะเป็นเงินที่จ่ายให้กับ เจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเจ้าหน้าที่ทำงานได้รับเงินเดือนและสวัสดิการอื่นอยู่แล้ว และการจับกุมถือเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย
ขณะที่เงินสินบน จะคงไว้เหมือนเดิม เพราะเป็นเงินที่จ่ายให้กับ ผู้แจ้งความนำจับ หรือผู้มาแจ้งเบาะแส ซึ่งเป็นคนนอก (มิใช่เจ้าหน้าที่) ผู้ที่มาแจ้งความมีความเสี่ยง อาจเป็นพนักงานของบริษัทหรือบุคคลอื่น ดังนั้นเรื่องเงินสินบนนี้ ยังคงมีความจำเป็นอยู่
มั่นใจกรมศุล“ไม่เกียร์ว่าง”
นายพันธ์ทองกล่าวต่อว่า แม้จะมีการยกเลิกเงินรางวัลตามพ.ร.บ. ศุลกากรแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังสามารถไปเบิกจ่ายได้ตามพ.ร.บ.อื่น เช่น พ.ร.บ.ให้บำเหน็จแก่ผู้ปราบปรามผู้กระทำความผิด ซึ่งการจ่ายเงินตามพ.ร.บ. ดังกล่าว ศาลจะเป็นคนสั่งจ่ายและบางกรณีศาลก็อาจจะไม่สั่งจ่าย เนื่องจากมองว่า เป็นการดำเนินการตามหน้าที่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่รอการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งต้องใช้เวลา เพื่อแสดงความจริงใจในเรื่องนี้ จะอาศัยอำนาจอธิบดี ออกระเบียบการจ่ายเงินรางวัลใหม่ โดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดที่สามารถได้รับเงินรางวัลคือ ต้องไม่เกิน ซี8 และจะตัดสิทธิ์ระดับอธิบดี รองอธิบดี และผู้บริหารระดับสูง เนื่องจากผู้บริหารเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการสั่งคดี หรือพิจารณาอุทธรณ์
ส่วนกรณีที่มีข้อกังวลว่า หากไม่มีเงินรางวัล เจ้าหน้าที่ศุลกากรจะ “เกียร์ว่าง” หรือไม่ทำงาน นายพันธ์ทองยืนยันว่า “ไม่จริง” เพราะเงินรางวัลเป็นเพียง“ส่วนเพิ่ม”หรือผลทางจิตวิทยาเท่านั้น
เหตุผลหลักในการทำงานคือ การสร้าง ผลงาน ประสบการณ์ และ การเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ซึ่งจะเห็นว่า มีหลายหน่วยงานอื่นที่ไม่มีเงินรางวัล แต่ก็ยังคงมีการจับกุมและทำงานได้ดีเช่นกัน
“การดำเนินการทั้ง 2 เรื่องทั้งการออกระเบียบการจ่ายเงินสินบนและรางวัลใหม่ จะดำเนินการภายใน 4 เดือน เพื่อเป็น Quick Big Win ของรัฐบาล และการเสนอแก้ไขกฎหมายศุลกากร จะต้องถูกเสนอไปค้างไว้ที่สภา ภายใน 4 เดือน เช่นกัน”
ทั้งนี้ ระบบการจ่ายเงินสินบนและรางวัลในกรมศุลกากร มีมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2469 และมีการแก้ไขอีกครั้งในปี พ.ศ. 2560 เพื่อจำกัดเพดานการจ่ายให้จำนวนเงินที่จ่ายลดน้อยลง ไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อคดี ส่งผลให้การจ่ายเงินสินบนสูงที่เคยถึงสูงถึงปีละเป็นพันล้านบาท ลดลงเหลือประมาณหลัก 100 กว่าล้านบาทต่อปี
ห่วงสินค้าผิดกฎหมายทะลัก
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย(สรท.)หรือสภาผู้ส่งออกกล่าวกับ“ฐานเศรษฐกิจ”ว่า การที่สหรัฐฯขอให้ไทยแก้ไขกฎหมายศุลกากร เพื่อยกเลิกระบบการให้รางวัลนำจับนั้น อาจจะมาจากเหตุผลที่สหรัฐฯมองว่า ระบบรางวัลนำจับของไทยอาจมีความไม่โปร่งใสและมีความเสี่ยงต่อผลประโยชน์ทับซ้อนของเจ้าหน้าที่และผู้แจ้งเบาะแส ทำให้เป็นอุปสรรคทางการค้า
“เข้าใจว่าต้นทางของปัญหาเกิดจากการประกาศพิกัดภาษี (HS Code) ในการส่งสินค้าเข้าไทย ผู้ส่งออกของสหรัฐมีความสับสนในการเลือกพิกัด ทำให้เกิดประเด็นที่สินค้าอาจถูกตรวจจับทันที หรือปล่อยให้ผ่านไปก่อนแล้วค่อยมาไล่จับ ซึ่งจะโดนเบี้ยปรับและค่าภาษีเพิ่ม”
สหรัฐฯน่าจะโดนเคสลักษณะนี้อยู่เรื่อยๆ จึงต้องการให้เราแก้ไขกฎหมายศุลกากรเพื่อยกเลิกระบบการให้รางวัลนำจับที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดและบทลงโทษทางศุลกากร ที่ผ่านมากรมศุลกากรของไทยได้มีการแก้ไขกฎหมายในการลดรางวัลนำจับสูงสุดต่อคดีไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับเจ้าหน้าที่หรือผู้แจ้งเบาะแส
อย่างไรก็ดี แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือ ทั้งผู้นำเข้าและผู้ส่งออกต้องคุยกันให้ชัดเจนในเรื่องพิกัดภาษีที่ต้องแม่นยำ และเช็ก กับกรมศุลกากรให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เพื่อให้การสำแดงถูกต้อง ไม่เป็นอุปสรรคทางการค้า หรือไม่นำมาซึ่งผลประโยชน์ที่ไม่โปร่งใส
ทั้งนี้ส่วนตัวไม่คิดว่า ไทยจะยกเลิกระบบการให้รางวัลศุลกากรตามคำเรียกร้องของสหรัฐฯ เพราะยังมีคนที่ทำไม่ถูกต้องอยู่ หากไทยไม่เข้มแข็งในเรื่องนี้แล้วยกเลิกไป สถานการณ์อาจจะยิ่งแย่ลงไปอีก โดยผู้ที่ทำผิดกฎหมายและเจ้าหน้าที่สีเทาต่างก็จะยิ้มให้กัน เรื่องนี้จะยังไม่จบตราบใดที่การกระทำไม่ถูกต้องยังมีอยู่
“ปัจจุบันสหรัฐฯเองก็มีระบบรางวัลนำจับที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดด้านศุลกากร โดยใช้ชื่อว่า self declaration (หรือการยื่นสิ่งที่ถูกต้องด้วยตัวเอง) ซึ่งคนของเขามีวินัยสูงมาก หากยื่นเอกสารผิดจะโดนลงโทษหนัก หากไม่อยากเสี่ยงก็ควรทำทุกอย่างให้ถูกต้องตั้งแต่แรก แม้ต้นทุนจะสูงขึ้นก็ตาม”
สหรัฐฯโวยถูกปรับไม่เป็นธรรม
แหล่งข่าวจากผู้ส่งออกกล่าวเสริมว่า ในรายงานของสำนักผู้แทนการค้าสหรัฐอเมริกา (USTR) หลายปีติดต่อกัน รวมถึงรายงาน National Trade Estimate Report on Foreign Trade Barriers ระบุว่า ระบบรางวัลศุลกากรของไทยสร้างความขัดแย้งในเรื่องผลประโยชน์ และกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรลงโทษบริษัทส่งออกของสหรัฐเกินสมควร
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงตามมา คือ บริษัทสหรัฐบางราย เช่น ผู้ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และอาหารนำเข้า ถูกเรียกค่าปรับหรือกักสินค้าเพราะตีความพิกัดศุลกากรไม่ตรงกัน และเมื่อถูกยึดสินค้า เจ้าหน้าที่ที่จับกุมสามารถได้รับรางวัลจากของกลาง ซึ่งสหรัฐเห็นว่าเป็นแรงจูงใจเชิงลบ ส่งผลให้บริษัทสหรัฐมองว่าการค้ากับไทยมีความเสี่ยงสูง เพราะอาจถูกเรียกค่าปรับโดยไม่เป็นธรรม
ดังนั้น สิ่งที่สหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยปรับแก้ไขในครั้งนี้คือให้แก้ไขระบบรางวัลนำจับให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ยกเลิกการจ่ายรางวัลจากค่าปรับโดยตรง หรือให้เงินรางวัลมาจากกองทุนกลางแทน และจัดทำกลไกอุทธรณ์และตรวจสอบอิสระเพื่อป้องกันเจ้าหน้าที่ใช้กฎหมายโดยมิชอบ
แนะดึงสหรัฐฯสร้างความโปร่งใส
ขณะที่รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของสหรัฐฯที่ให้ไทยแก้ไขกฎหมายศุลกากรเพื่อยกเลิกระบบการให้รางวัลนำจับที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดและบทลงโทษทางศุลกากร เนื่องจากมองว่าระบบรางวัลนำจับของไทยมีความไม่โปร่งใส
ดังนั้นต้องแก้ไขให้สามารถตรวจสอบได้ โดยไทยควรให้สหรัฐฯเข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ซึ่งจะช่วยสร้างภาพลักษณ์การค้า การส่งออก–นำเข้าของไทยให้มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น
อนึ่ง ป.ป.ช. รายงานว่า ในช่วงปี 2011–2020 (พ.ศ. 2554–2563) กรมศุลกากรได้จ่ายเงินสินบนและเงินรางวัลแก่เจ้าหน้าที่ศุลกากรรวมประมาณ 8,779 ล้านบาท แบ่งเป็น
ปี 2554 : 1,000.90 ล้านบาท
ปี 2555 : 846.29 ล้านบาท
ปี 2556 : 992.26 ล้านบาท
ปี 2557 : 1,143.43 ล้านบาท
ปี 2558 : 1,107.86 ล้านบาท
ปี 2559 : 1,226.12 ล้านบาท
ปี 2560 : 914.54 ล้านบาท
ปี 2561 : 905.94 ล้านบาท
ปี 2562 : 266.29 ล้านบาท
ปี 2563 : 375.37 ล้านบาท
โดยที่ยังไม่มีข้อมูลเผยแพร่ต่อสาธารณะในช่วง 5 ปีล่าสุด (2564–2568)
‘กรมศุล’สังคายนา สินบน-รางวัลนำจับ รับลูกสหรัฐ เจรจาการค้าแลกดีลลดภาษี