Sukavichinomics: Detroit of Asia/ สุขวิชโนมิกส์: ดีทรอยต์แห่งเอเชีย
บทคัดย่อ
การศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” ซึ่งเป็นกรอบนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่ขับเคลื่อนโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างปี พ.ศ. 2538–2540 โดยถือเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าผลงานวิชาการส่วนใหญ่มักเน้นด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน งานวิจัยชิ้นนี้เสนอว่า “การพัฒนาทุนมนุษย์” ผ่านการปฏิรูประบบอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมเฉพาะทางในอุตสาหกรรมยานยนต์ คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
นโยบายหลัก ได้แก่ การจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษา 278 แห่ง การก่อตั้งวิทยาลัยเทคนิคยานยนต์ และการดำเนินโครงการฝึกอบรมระยะสั้นทั่วประเทศ ทั้งหมดถูกออกแบบให้สอดคล้องกับพื้นที่เขตอุตสาหกรรม มาตรการส่งเสริมของ BOI และความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน ช่วง พ.ศ. 2538–2540 มีแรงงานกว่า 2 ล้านคนผ่านการฝึกอบรมภายใต้กรอบนโยบายนี้ ส่งผลให้ไทยมีแรงงานฝีมือเพียงพอรองรับการผลิตยานยนต์ระดับโลก และสามารถดึงดูดการลงทุนต่างชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
ปรัชญาสุขวิชโนมิกส์จึงเป็นตัวอย่างสำคัญของ “โมเดลพัฒนาอุตสาหกรรมที่เริ่มจากคน” (skills-first model) ที่เน้นการพัฒนาคนก่อนสร้างโรงงาน และเป็นกรณีศึกษาที่ทรงคุณค่าสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
บทนำ
คำว่า “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” มักถูกใช้เพื่อขนานนามประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย โดยในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีกำลังการประกอบรถยนต์มากที่สุดในอาเซียน และติดอันดับหนึ่งในสิบของผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลก
แม้ว่าการวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่บทบาทของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือกลยุทธ์ทางการค้าเป็นหลัก บทความฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดเผยอีกมิติหนึ่งของความสำเร็จ โดยเสนอว่า “ทุนมนุษย์” คือรากฐานสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ความก้าวหน้าในด้านทุนมนุษย์ดังกล่าวมิใช่ผลจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ แต่เป็นผลลัพธ์ของนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ภายใต้ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจังระหว่างปี พ.ศ. 2538–2540 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น
บทวรรณกรรมปริทรรศน์
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยมักเน้นไปที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาค เช่น การส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ การเปิดเสรีทางการค้า โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และนโยบายภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายในฐานะกลไกหลักที่ช่วยจูงใจนักลงทุนต่างชาติและส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Sato, 2006; Techakanont, 2011)
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาหลายชิ้นกลับให้ความสำคัญกับ “ทุนมนุษย์” ในระดับรองลงมา ทั้งที่ในความเป็นจริง การพัฒนาแรงงานทักษะสูงและระบบการศึกษาเฉพาะทาง ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในระยะยาว (Doner, 2009; Parnreiter, 2010) โดยเฉพาะในบริบทของประเทศกำลังพัฒนา การสร้างสมดุลระหว่าง “นโยบายดึงดูดการลงทุน” และ “นโยบายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” กลายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดการเติบโตที่พึ่งพาแต่ทุนต่างชาติ โดยขาดการยกระดับศักยภาพภายในประเทศ
กรณีของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2538–2540 จึงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดการผลักดันนโยบายด้านการศึกษาที่สอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ภายใต้ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้เสนอแนวคิดว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมควรเริ่มจาก “การพัฒนาคน” ก่อนสร้างโรงงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิด “skills-first model” ที่ตรงข้ามกับกระบวนทัศน์แบบ “infrastructure-first” ที่เน้นการก่อสร้างและให้สิทธิประโยชน์เป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ วรรณกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาระบบอาชีวศึกษาในประเทศไทย ยังแสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในยุคดังกล่าว เช่น การจัดตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษา 278 แห่ง การก่อตั้งวิทยาลัยเทคนิคยานยนต์ และการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน (Rangsitpol, 1997; Manitkul, 2025) ส่งผลให้มีแรงงานฝีมือกว่า 2 ล้านคนผ่านการฝึกอบรมภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การศึกษาไทย
การทบทวนวรรณกรรมข้างต้นชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีการกล่าวถึงบทบาทของ BOI และโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง แต่มิติด้าน “ทุนมนุษย์” โดยเฉพาะผ่านนโยบายการศึกษาที่มีเป้าหมายเชิงอุตสาหกรรม ยังเป็นประเด็นที่ได้รับการศึกษาไม่มากนัก บทความนี้จึงมุ่งเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว โดยการวิเคราะห์ Sukavichinomics ในฐานะโมเดลการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยคนเป็นศูนย์กลาง
ระเบียบวิธีวิจัย
งานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีลักษณะเป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) ซึ่งมุ่งทำความเข้าใจแนวคิด เบื้องหลัง และผลกระทบของนโยบาย “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ที่มีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2538–2540
1. แหล่งข้อมูล
ข้อมูลปฐมภูมิ:
เอกสารทางราชการจากกระทรวงศึกษาธิการในช่วงปี พ.ศ. 2538–2540 เช่น รายงานผลงาน 180 วัน, แผนพัฒนาอาชีวศึกษา, คู่มือโครงการฝึกอบรมระยะสั้น
สุนทรพจน์ และบทสัมภาษณ์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล
บันทึกการประชุม คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน และรายงานติดตามผลโครงการ
ข้อมูลทุติยภูมิ:
งานวิจัย บทความวิชาการ และรายงานเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย, การพัฒนาทุนมนุษย์ และนโยบายการศึกษา
วรรณกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและโมเดลการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยทักษะ
2. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยนี้ใช้วิธี การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงอุปนัย (Inductive Content Analysis) ควบคู่กับ การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์ โดยเน้นการตีความเชิงแนวคิดและตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่าง:
นโยบายการศึกษาและการฝึกอบรมในช่วงปี 2538–2540
การจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษาและวิทยาลัยเทคนิคเฉพาะทาง
การขยายตัวของแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์
การตอบสนองของภาคเอกชนและการลงทุนจากต่างประเทศ
3. ขอบเขตการวิจัย
การศึกษานี้ครอบคลุมช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2535–2543 โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับช่วงปี พ.ศ. 2538–2540 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นโยบายสุขวิชโนมิกส์ได้รับการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
4. ข้อจำกัดของการวิจัย
เนื่องจากเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร จึงขึ้นอยู่กับความถูกต้อง ครบถ้วน และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลในแหล่งราชการและคลังข้อมูลดิจิทัลบางแห่ง ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านการเผยแพร่สาธารณะ นอกจากนี้ การตีความข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อาจมีความลำเอียงจากบริบทของผู้เขียนเอกสารในช่วงเวลาดังกล่าว
ดีทรอยต์แห่งเอเชีย
บทคัดย่อ
การศึกษานี้มุ่งวิเคราะห์ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” ซึ่งเป็นกรอบนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่ขับเคลื่อนโดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างปี พ.ศ. 2538–2540 โดยถือเป็นรากฐานสำคัญที่ส่งผลให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” ได้อย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าผลงานวิชาการส่วนใหญ่มักเน้นด้านสิทธิประโยชน์การลงทุนและโครงสร้างพื้นฐาน งานวิจัยชิ้นนี้เสนอว่า “การพัฒนาทุนมนุษย์” ผ่านการปฏิรูประบบอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมเฉพาะทางในอุตสาหกรรมยานยนต์ คือหัวใจสำคัญของความสำเร็จ
นโยบายหลัก ได้แก่ การจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษา 278 แห่ง การก่อตั้งวิทยาลัยเทคนิคยานยนต์ และการดำเนินโครงการฝึกอบรมระยะสั้นทั่วประเทศ ทั้งหมดถูกออกแบบให้สอดคล้องกับพื้นที่เขตอุตสาหกรรม มาตรการส่งเสริมของ BOI และความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน ช่วง พ.ศ. 2538–2540 มีแรงงานกว่า 2 ล้านคนผ่านการฝึกอบรมภายใต้กรอบนโยบายนี้ ส่งผลให้ไทยมีแรงงานฝีมือเพียงพอรองรับการผลิตยานยนต์ระดับโลก และสามารถดึงดูดการลงทุนต่างชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
ปรัชญาสุขวิชโนมิกส์จึงเป็นตัวอย่างสำคัญของ “โมเดลพัฒนาอุตสาหกรรมที่เริ่มจากคน” (skills-first model) ที่เน้นการพัฒนาคนก่อนสร้างโรงงาน และเป็นกรณีศึกษาที่ทรงคุณค่าสำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่ต้องการเติบโตอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
บทนำ
คำว่า “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” มักถูกใช้เพื่อขนานนามประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์ที่สำคัญของภูมิภาคเอเชีย โดยในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นประเทศที่มีกำลังการประกอบรถยนต์มากที่สุดในอาเซียน และติดอันดับหนึ่งในสิบของผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลก
แม้ว่าการวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่บทบาทของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) หรือกลยุทธ์ทางการค้าเป็นหลัก บทความฉบับนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปิดเผยอีกมิติหนึ่งของความสำเร็จ โดยเสนอว่า “ทุนมนุษย์” คือรากฐานสำคัญที่ทำให้ระบบนิเวศของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ความก้าวหน้าในด้านทุนมนุษย์ดังกล่าวมิใช่ผลจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ แต่เป็นผลลัพธ์ของนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ภายใต้ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ซึ่งได้รับการขับเคลื่อนอย่างจริงจังระหว่างปี พ.ศ. 2538–2540 ภายใต้การนำของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในขณะนั้น
บทวรรณกรรมปริทรรศน์
ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยมักเน้นไปที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมหภาค เช่น การส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ การเปิดเสรีทางการค้า โครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และนโยบายภาษี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทบาทของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้รับการกล่าวถึงอย่างแพร่หลายในฐานะกลไกหลักที่ช่วยจูงใจนักลงทุนต่างชาติและส่งเสริมให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Sato, 2006; Techakanont, 2011)
อย่างไรก็ตาม งานศึกษาหลายชิ้นกลับให้ความสำคัญกับ “ทุนมนุษย์” ในระดับรองลงมา ทั้งที่ในความเป็นจริง การพัฒนาแรงงานทักษะสูงและระบบการศึกษาเฉพาะทาง ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในระยะยาว (Doner, 2009; Parnreiter, 2010) โดยเฉพาะในบริบทของประเทศกำลังพัฒนา การสร้างสมดุลระหว่าง “นโยบายดึงดูดการลงทุน” และ “นโยบายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์” กลายเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อไม่ให้เกิดการเติบโตที่พึ่งพาแต่ทุนต่างชาติ โดยขาดการยกระดับศักยภาพภายในประเทศ
กรณีของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2538–2540 จึงมีความน่าสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงที่เกิดการผลักดันนโยบายด้านการศึกษาที่สอดรับกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นระบบ ภายใต้ปรัชญา “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) โดย ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ได้เสนอแนวคิดว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมควรเริ่มจาก “การพัฒนาคน” ก่อนสร้างโรงงาน ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิด “skills-first model” ที่ตรงข้ามกับกระบวนทัศน์แบบ “infrastructure-first” ที่เน้นการก่อสร้างและให้สิทธิประโยชน์เป็นอันดับแรก
นอกจากนี้ วรรณกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาระบบอาชีวศึกษาในประเทศไทย ยังแสดงให้เห็นถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในยุคดังกล่าว เช่น การจัดตั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษา 278 แห่ง การก่อตั้งวิทยาลัยเทคนิคยานยนต์ และการพัฒนาหลักสูตรร่วมกับภาคเอกชน (Rangsitpol, 1997; Manitkul, 2025) ส่งผลให้มีแรงงานฝีมือกว่า 2 ล้านคนผ่านการฝึกอบรมภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ซึ่งนับเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การศึกษาไทย
การทบทวนวรรณกรรมข้างต้นชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีการกล่าวถึงบทบาทของ BOI และโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจอยู่บ่อยครั้ง แต่มิติด้าน “ทุนมนุษย์” โดยเฉพาะผ่านนโยบายการศึกษาที่มีเป้าหมายเชิงอุตสาหกรรม ยังเป็นประเด็นที่ได้รับการศึกษาไม่มากนัก บทความนี้จึงมุ่งเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว โดยการวิเคราะห์ Sukavichinomics ในฐานะโมเดลการพัฒนาอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยคนเป็นศูนย์กลาง
ระเบียบวิธีวิจัย
งานวิจัยฉบับนี้เป็นการศึกษาเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยมีลักษณะเป็นการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) และการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์นโยบาย (Historical Policy Analysis) ซึ่งมุ่งทำความเข้าใจแนวคิด เบื้องหลัง และผลกระทบของนโยบาย “สุขวิชโนมิกส์” (Sukavichinomics) ที่มีต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2538–2540
1. แหล่งข้อมูล
ข้อมูลปฐมภูมิ:
เอกสารทางราชการจากกระทรวงศึกษาธิการในช่วงปี พ.ศ. 2538–2540 เช่น รายงานผลงาน 180 วัน, แผนพัฒนาอาชีวศึกษา, คู่มือโครงการฝึกอบรมระยะสั้น
สุนทรพจน์ และบทสัมภาษณ์ของ ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล
บันทึกการประชุม คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน และรายงานติดตามผลโครงการ
ข้อมูลทุติยภูมิ:
งานวิจัย บทความวิชาการ และรายงานเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย, การพัฒนาทุนมนุษย์ และนโยบายการศึกษา
วรรณกรรมเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและโมเดลการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยทักษะ
2. วิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลในงานวิจัยนี้ใช้วิธี การวิเคราะห์เนื้อหาเชิงอุปนัย (Inductive Content Analysis) ควบคู่กับ การวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบทางประวัติศาสตร์ โดยเน้นการตีความเชิงแนวคิดและตรวจสอบความเชื่อมโยงระหว่าง:
นโยบายการศึกษาและการฝึกอบรมในช่วงปี 2538–2540
การจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษาและวิทยาลัยเทคนิคเฉพาะทาง
การขยายตัวของแรงงานทักษะสูงในอุตสาหกรรมยานยนต์
การตอบสนองของภาคเอกชนและการลงทุนจากต่างประเทศ
3. ขอบเขตการวิจัย
การศึกษานี้ครอบคลุมช่วงเวลาระหว่างปี พ.ศ. 2535–2543 โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับช่วงปี พ.ศ. 2538–2540 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่นโยบายสุขวิชโนมิกส์ได้รับการขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และพิจารณาผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540
4. ข้อจำกัดของการวิจัย
เนื่องจากเป็นการวิจัยเชิงเอกสาร จึงขึ้นอยู่กับความถูกต้อง ครบถ้วน และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลในแหล่งราชการและคลังข้อมูลดิจิทัลบางแห่ง ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านการเผยแพร่สาธารณะ นอกจากนี้ การตีความข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์อาจมีความลำเอียงจากบริบทของผู้เขียนเอกสารในช่วงเวลาดังกล่าว