สารคดีประวัติศาสตร์การบินจาก Mirage I สู่ Mirage 2000 มรดกของ Dassault

มหากาพย์เครื่องบินรบตระกูล "มิราจ" (Mirage) ของบริษัท ดัซโซลท์ (Dassault) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจทางการบินของฝรั่งเศส ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงมรดกที่นำไปสู่การพัฒนาเครื่องบินยุคใหม่
1.0 บทนำ: สัญลักษณ์แห่งอำนาจทางการบินของฝรั่งเศส
ความสำคัญ: ตระกูลมิราจเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผลักดันให้ฝรั่งเศสผงาดในเวทีโลกในฐานะมหาอำนาจด้านการบิน และตอกย้ำสถานะของดัซโซลท์
บทบาทเชิงยุทธศาสตร์: Mirage IV เป็นพาหนะนำส่งอาวุธนิวเคลียร์ลำแรก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายป้องปรามที่เป็นอิสระของฝรั่งเศส (Force de Frappe)
มรดก: ตำนานยาวนานกว่า 80 ปี ตั้งแต่ต้นแบบ Mirage I จนถึง Mirage 2000 ที่จะปลดประจำการในปี 2035
2.0 จุดกำเนิดแห่งตำนาน: จากความล้มเหลวสู่ความสำเร็จของ Mirage III
จุดเริ่มต้น: มาจากความต้องการเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นขนาดเล็กที่มีอัตราไต่สูง หลังสงครามเกาหลี (ค.ศ. 1953)
Mirage I และ II: เป็น "ความล้มเหลวเพียงครึ่งเดียว" (demi-échec) เนื่องจากมีขนาดเล็กและสมรรถนะไม่ถึงเกณฑ์ แต่ได้พิสูจน์แนวคิดการใช้ ปีกทรงสามเหลี่ยม (Delta Wing) ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์
Mirage III: ออกแบบใหม่ให้ใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องยนต์เดี่ยว Snecma Atar ทรงพลัง มีความสามารถอเนกประสงค์ทั้งการสกัดกั้น, โจมตีภาคพื้นดิน และลาดตระเวน
คุณลักษณะเด่น: เน้นความแข็งแกร่ง, บำรุงรักษาง่าย, อัตราความพร้อมปฏิบัติการสูง
ความสำเร็จในสมรภูมิ: โดดเด่นในกองทัพอากาศอิสราเอลระหว่าง สงคราม 6 วัน ปี 1967 สามารถปฏิบัติภารกิจได้เข้มข้นถึง 12 เที่ยวบินต่อวันต่อเครื่อง และใช้เวลาเติมเชื้อเพลิง/อาวุธเพียง 7 นาที
3.0 ความขัดแย้งทางการเมืองและการแพร่ขยาย: Mirage 5 และอากาศยานลอกเลียนแบบ
Mirage 5: พัฒนาจาก Mirage III เพื่อภารกิจโจมตีภาคพื้นดินโดยเฉพาะ มีการถอดเรดาร์สกัดกั้นออก เพิ่มปริมาณเชื้อเพลิง 32% และเพิ่มจุดติดตั้งอาวุธเป็น 7 จุด (บรรทุกระเบิดได้ 4 ตัน)
ผลกระทบทางการเมือง: รัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้ชาร์ล เดอโกล คว่ำบาตร และระงับการส่งมอบ Mirage 5 จำนวน 50 ลำที่อิสราเอลสั่งซื้อ (หลังสงคราม 6 วัน และปฏิบัติการทางทหารอื่นๆ)
การจารกรรมและการลอกเลียนแบบ: อิสราเอลตอบโต้ด้วยการจารกรรมแบบแปลนและทำการวิศวกรรมย้อนกลับ สร้างเครื่องบิน IAI Nesher และพัฒนาต่อเป็น IAI Kfir (ใช้เครื่องยนต์ General Electric J79 ของสหรัฐฯ)
ความสำเร็จในการส่งออก: Mirage 5 กลายเป็นเครื่องบินรบที่ดัซโซลท์ส่งออกมากที่สุด
4.0 หอกนิวเคลียร์: Mirage IV และเอกราชทางยุทธศาสตร์ของฝรั่งเศส
บทบาท: แกนหลักของโครงการป้องปรามนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ("Force de Frappe") หลังถอนตัวจากกองบัญชาการผสมของ NATO ในปี 1966
การออกแบบ: ขนาดใหญ่กว่า Mirage III 50% ใช้เครื่องยนต์ Snecma Atar 09K สองเครื่องยนต์ มีปีกเดลต้าทำมุม 60 องศา และใช้โครงสร้างปีก/แพนหางเป็นถังเชื้อเพลิง
อาวุธนิวเคลียร์: บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ AN-11/AN-22 และต่อมาคือขีปนาวุธอากาศสู่พื้นพิสัยปานกลาง ASMP (ยิงจากระยะไกล)
อายุการใช้งาน: รับใช้ชาติกว่า 40 ปี จนถึงปี 2005 (รวมถึงภารกิจลาดตระเวนทางยุทธศาสตร์ในรุ่น Mirage 4P)
5.0 ม้างานแห่งสมรภูมิ: Mirage F1
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์: พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องบินที่สามารถปฏิบัติการบน ทางวิ่งที่สั้นและไม่สมบูรณ์ ได้ (ซึ่งเป็นข้อจำกัดของปีกเดลต้า)
การออกแบบ: ละทิ้งปีกเดลต้าชั่วคราว เปลี่ยนมาใช้ ปีกทรงลู่ (swept-wing) พร้อมแพนหางแนวนอน เพื่อลดความเร็วในการร่อนลงจอดอย่างมีนัยสำคัญ
บทบาทการรบ: โดดเด่นในกองทัพอากาศอิรักระหว่าง สงครามอิรัก-อิหร่าน สามารถต่อกรกับ F-4, F-5 และ F-14 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การส่งออก: ประสบความสำเร็จในการส่งออกไปยัง 11 ประเทศ
6.0 การกลับมาของปีกเดลต้า: Mirage 2000 ยุคใหม่แห่งเทคโนโลยี
จุดกำเนิด: พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทน Mirage III/F1 โดยผสมผสานปีกเดลต้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย
นวัตกรรมหลัก: การใช้ ระบบควบคุมการบินด้วยไฟฟ้า (Fly-by-Wire) เป็นครั้งแรกในเครื่องบินรบยุโรป ซึ่งช่วยชดเชยข้อเสียของปีกเดลต้า (เช่น ความไม่เสถียรในมุมปะทะสูง) ทำให้มีความคล่องแคล่วในการรบระยะประชิด
ตระกูล: มีรุ่นหลากหลาย เช่น 2000C (ครองอากาศ), 2000N (โจมตีนิวเคลียร์), 2000D (โจมตีตามแบบทุกสภาพอากาศ)
ประสิทธิภาพการรบ: มีส่วนร่วมในความขัดแย้งสำคัญ เช่น กรีซยิง F-16 ตุรกีตกในทะเลอีเจียน (1996) และกองทัพอากาศอินเดียใช้โจมตีอย่างแม่นยำใน ความขัดแย้งที่คาร์กิล (1999)
7.0 โครงการที่ไม่ได้ผลิตและมรดกที่คงอยู่
โครงการทดลอง: Mirage IIIV (VTOL) และ Mirage G/G4/G8 (ปีกปรับองศาได้) แม้จะล้ำหน้า (Mirage G8 ทำสถิติความเร็ว Mach 2.34 ในยุโรปตะวันตก) แต่ถูกยกเลิกเนื่องจากความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง
Super Mirage 4000: เครื่องบินสองเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ มีสมรรถนะยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้รับคำสั่งซื้อจากกองทัพฝรั่งเศส (ที่เลือก Mirage 2000) อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในเครื่องบิน Dassault Rafale
มรดกโดยรวม: ตอกย้ำให้ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรมการบิน, ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ (ผลิตกว่า 1,400 ลำสำหรับ 21 ประเทศ), พิสูจน์ปรัชญาการออกแบบที่ผสมผสานประสิทธิภาพสูงเข้ากับความน่าเชื่อถือและต้นทุนที่สมเหตุสมผล, เป็นรากฐานทางเทคโนโลยีที่สำคัญของ Rafale

 																															 
						
สารคดีประวัติศาสตร์การบินจาก Mirage I สู่ Mirage 2000 มรดกของ Dassault
1.0 บทนำ: สัญลักษณ์แห่งอำนาจทางการบินของฝรั่งเศส
ความสำคัญ: ตระกูลมิราจเป็นเครื่องมือสำคัญที่ผลักดันให้ฝรั่งเศสผงาดในเวทีโลกในฐานะมหาอำนาจด้านการบิน และตอกย้ำสถานะของดัซโซลท์
บทบาทเชิงยุทธศาสตร์: Mirage IV เป็นพาหนะนำส่งอาวุธนิวเคลียร์ลำแรก ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายป้องปรามที่เป็นอิสระของฝรั่งเศส (Force de Frappe)
มรดก: ตำนานยาวนานกว่า 80 ปี ตั้งแต่ต้นแบบ Mirage I จนถึง Mirage 2000 ที่จะปลดประจำการในปี 2035
2.0 จุดกำเนิดแห่งตำนาน: จากความล้มเหลวสู่ความสำเร็จของ Mirage III
จุดเริ่มต้น: มาจากความต้องการเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นขนาดเล็กที่มีอัตราไต่สูง หลังสงครามเกาหลี (ค.ศ. 1953)
Mirage I และ II: เป็น "ความล้มเหลวเพียงครึ่งเดียว" (demi-échec) เนื่องจากมีขนาดเล็กและสมรรถนะไม่ถึงเกณฑ์ แต่ได้พิสูจน์แนวคิดการใช้ ปีกทรงสามเหลี่ยม (Delta Wing) ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์
Mirage III: ออกแบบใหม่ให้ใหญ่ขึ้น ใช้เครื่องยนต์เดี่ยว Snecma Atar ทรงพลัง มีความสามารถอเนกประสงค์ทั้งการสกัดกั้น, โจมตีภาคพื้นดิน และลาดตระเวน
คุณลักษณะเด่น: เน้นความแข็งแกร่ง, บำรุงรักษาง่าย, อัตราความพร้อมปฏิบัติการสูง
ความสำเร็จในสมรภูมิ: โดดเด่นในกองทัพอากาศอิสราเอลระหว่าง สงคราม 6 วัน ปี 1967 สามารถปฏิบัติภารกิจได้เข้มข้นถึง 12 เที่ยวบินต่อวันต่อเครื่อง และใช้เวลาเติมเชื้อเพลิง/อาวุธเพียง 7 นาที
3.0 ความขัดแย้งทางการเมืองและการแพร่ขยาย: Mirage 5 และอากาศยานลอกเลียนแบบ
Mirage 5: พัฒนาจาก Mirage III เพื่อภารกิจโจมตีภาคพื้นดินโดยเฉพาะ มีการถอดเรดาร์สกัดกั้นออก เพิ่มปริมาณเชื้อเพลิง 32% และเพิ่มจุดติดตั้งอาวุธเป็น 7 จุด (บรรทุกระเบิดได้ 4 ตัน)
ผลกระทบทางการเมือง: รัฐบาลฝรั่งเศสภายใต้ชาร์ล เดอโกล คว่ำบาตร และระงับการส่งมอบ Mirage 5 จำนวน 50 ลำที่อิสราเอลสั่งซื้อ (หลังสงคราม 6 วัน และปฏิบัติการทางทหารอื่นๆ)
การจารกรรมและการลอกเลียนแบบ: อิสราเอลตอบโต้ด้วยการจารกรรมแบบแปลนและทำการวิศวกรรมย้อนกลับ สร้างเครื่องบิน IAI Nesher และพัฒนาต่อเป็น IAI Kfir (ใช้เครื่องยนต์ General Electric J79 ของสหรัฐฯ)
ความสำเร็จในการส่งออก: Mirage 5 กลายเป็นเครื่องบินรบที่ดัซโซลท์ส่งออกมากที่สุด
4.0 หอกนิวเคลียร์: Mirage IV และเอกราชทางยุทธศาสตร์ของฝรั่งเศส
บทบาท: แกนหลักของโครงการป้องปรามนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส ("Force de Frappe") หลังถอนตัวจากกองบัญชาการผสมของ NATO ในปี 1966
การออกแบบ: ขนาดใหญ่กว่า Mirage III 50% ใช้เครื่องยนต์ Snecma Atar 09K สองเครื่องยนต์ มีปีกเดลต้าทำมุม 60 องศา และใช้โครงสร้างปีก/แพนหางเป็นถังเชื้อเพลิง
อาวุธนิวเคลียร์: บรรทุกระเบิดนิวเคลียร์ AN-11/AN-22 และต่อมาคือขีปนาวุธอากาศสู่พื้นพิสัยปานกลาง ASMP (ยิงจากระยะไกล)
อายุการใช้งาน: รับใช้ชาติกว่า 40 ปี จนถึงปี 2005 (รวมถึงภารกิจลาดตระเวนทางยุทธศาสตร์ในรุ่น Mirage 4P)
5.0 ม้างานแห่งสมรภูมิ: Mirage F1
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์: พัฒนาขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องบินที่สามารถปฏิบัติการบน ทางวิ่งที่สั้นและไม่สมบูรณ์ ได้ (ซึ่งเป็นข้อจำกัดของปีกเดลต้า)
การออกแบบ: ละทิ้งปีกเดลต้าชั่วคราว เปลี่ยนมาใช้ ปีกทรงลู่ (swept-wing) พร้อมแพนหางแนวนอน เพื่อลดความเร็วในการร่อนลงจอดอย่างมีนัยสำคัญ
บทบาทการรบ: โดดเด่นในกองทัพอากาศอิรักระหว่าง สงครามอิรัก-อิหร่าน สามารถต่อกรกับ F-4, F-5 และ F-14 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การส่งออก: ประสบความสำเร็จในการส่งออกไปยัง 11 ประเทศ
6.0 การกลับมาของปีกเดลต้า: Mirage 2000 ยุคใหม่แห่งเทคโนโลยี
จุดกำเนิด: พัฒนาขึ้นเพื่อทดแทน Mirage III/F1 โดยผสมผสานปีกเดลต้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย
นวัตกรรมหลัก: การใช้ ระบบควบคุมการบินด้วยไฟฟ้า (Fly-by-Wire) เป็นครั้งแรกในเครื่องบินรบยุโรป ซึ่งช่วยชดเชยข้อเสียของปีกเดลต้า (เช่น ความไม่เสถียรในมุมปะทะสูง) ทำให้มีความคล่องแคล่วในการรบระยะประชิด
ตระกูล: มีรุ่นหลากหลาย เช่น 2000C (ครองอากาศ), 2000N (โจมตีนิวเคลียร์), 2000D (โจมตีตามแบบทุกสภาพอากาศ)
ประสิทธิภาพการรบ: มีส่วนร่วมในความขัดแย้งสำคัญ เช่น กรีซยิง F-16 ตุรกีตกในทะเลอีเจียน (1996) และกองทัพอากาศอินเดียใช้โจมตีอย่างแม่นยำใน ความขัดแย้งที่คาร์กิล (1999)
7.0 โครงการที่ไม่ได้ผลิตและมรดกที่คงอยู่
โครงการทดลอง: Mirage IIIV (VTOL) และ Mirage G/G4/G8 (ปีกปรับองศาได้) แม้จะล้ำหน้า (Mirage G8 ทำสถิติความเร็ว Mach 2.34 ในยุโรปตะวันตก) แต่ถูกยกเลิกเนื่องจากความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูง
Super Mirage 4000: เครื่องบินสองเครื่องยนต์ขนาดใหญ่ มีสมรรถนะยอดเยี่ยม แต่ไม่ได้รับคำสั่งซื้อจากกองทัพฝรั่งเศส (ที่เลือก Mirage 2000) อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีถูกนำไปใช้ในเครื่องบิน Dassault Rafale
มรดกโดยรวม: ตอกย้ำให้ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจด้านอุตสาหกรรมการบิน, ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ (ผลิตกว่า 1,400 ลำสำหรับ 21 ประเทศ), พิสูจน์ปรัชญาการออกแบบที่ผสมผสานประสิทธิภาพสูงเข้ากับความน่าเชื่อถือและต้นทุนที่สมเหตุสมผล, เป็นรากฐานทางเทคโนโลยีที่สำคัญของ Rafale