ยุค 90 คือยุคทองของกองหน้า! 💣
ยุค 90 เป็นทศวรรษของบรรดากองหน้าอันดับโลก! มีดาวยิงที่โด่งดังและทรงอิทธิพลที่สุดมากมายที่แจ้งเกิดในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น อลัน เชียร์เรอร์, เยอร์เกน คลิสมันน์, จอร์จ เวอาห์ และโรนัลโด้ (Ronaldo) ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ต่างประกาศศักดาว่าเป็นที่สุดของโลกในช่วงเวลานั้น แต่มีอยู่ชื่อหนึ่งที่ฝังความกลัวให้กับกองหลังคู่แข่งได้อย่างสุดขั้วยิ่งกว่าใคร...
ดีเอโก้ มาราโดน่า เคยกล่าวถึงเขาว่าเป็น "กองหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา" ชายที่รู้จักกันในนาม "บาติโกล" คนนี้ สร้างความสยองขวัญให้กับแนวรับมาเกือบ 20 ปี ทั้งในบ้านเกิดที่อาร์เจนตินา อิตาลี และกาตาร์ รวมถึงในเวทีระดับชาติ ที่ซึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของประเทศจนถึงปี 2016 แม้เขาจะมีแชมป์ลีกติดตัวเพียง 2 ครั้ง แต่วิธีที่เขาทำให้แฟนบอลที่ได้ชมรู้สึก ตีค่าได้มากกว่าถ้วยรางวัลใด ๆ นี่คือเรื่องราวของ "บาติโกล": กาเบรียล บาติสตูต้า
จุดเริ่มต้นของเพชฌฆาตชาวอาร์เจนไตน์ 🇦🇷
กาเบรียล บาติสตูต้า เกิดในเมืองอาเบยาเนด้า จังหวัดซานตาเฟ่ เขาเติบโตในเมืองใกล้เคียงอย่าง เรคอนกีสต้า กับพ่อแม่และพี่สาว/น้องสาวสามคน สมัยเด็กกาเบรียลยอมรับว่าเขาไม่เคยคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอลเลยแม้จะดูเกมการแข่งขันอยู่บ้างก็ตาม อย่างไรก็ตาม การได้เห็นทีมชาติอาร์เจนตินายกถ้วยฟุตบอลโลกปี 1978 นั่นเองที่โน้มน้าวใจให้กาเบรียลอุทิศตัวเองให้กับกีฬาชนิดนี้
หลังจากเข้าร่วมทีมเยาวชนของ พลาเทนเซ่ (Platense) เขาได้รับเลือกให้เล่นให้กับทีมเรคอนกีสต้า ซึ่งคว้าแชมป์ระดับจังหวัดไปครอง โดยกาเบรียลยิง 2 ประตูในรอบชิงชนะเลิศ ผลงานนี้ไปเตะตา ฆอร์เก้ กริฟฟา (Jorge Griffa) โค้ชทีมเยาวชนของ นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ (Newell's Old Boys) ซึ่งเสนอโอกาสให้เขาร่วมทีม แม้จะลังเลในตอนแรกเพราะต้องอยู่ไกลบ้านและต้องการเรียนต่อ
แต่สุดท้ายกาเบรียลก็ใจอ่อน ยอมเดินทางลงใต้ 460 กิโลเมตรไปยังโรซาริโอ เพื่อเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลภายใต้การทำทีมของ มาร์เซโล บิเอลซ่า ที่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
นีเวลล์สไม่เพียงแต่เป็นแชมป์ลีกเท่านั้น แต่ยังเป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงด้านระบบเยาวชน บาติสตูต้าเล่าถึงการมาถึงนีเวลล์สว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ เพราะสโมสรจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้เขาด้วย หลังจากถูกยืมตัวไปอยู่กับ เดปอร์ติโบ อิตาเลียโน่ ชั่วสั้น ๆ บาติสตูต้าก็กลับมาที่นีเวลล์ส และเริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชุดใหญ่ พร้อมสร้างชื่อเสียงไปทั่วประเทศในฐานะกองหน้าจอมพลัง หลังจากอยู่กับนีเวลล์สได้เพียงฤดูกาลเดียว ฟอร์มของเขาก็ดึงดูดความสนใจจากหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดของอาร์เจนตินาอย่าง ริเวอร์เพลท
กลางปี 1989 บาติสตูต้าได้ย้ายจากนีเวลล์สไปสู่ทีม "โลส มียอนาริโอส" (Los Millonarios) เพื่อก้าวไปอีกขั้นในอาชีพที่เพิ่งเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของเขานั้นไม่ง่าย เพราะโค้ช ดานิเอล พาสซาเรลล่า มักจะดร็อปเขาจากทีม แม้จะถูกทิ้งไว้ข้างสนาม แต่บาติสตูต้าก็มองหาแง่บวก โดยกล่าวว่าสิ่งนี้ทำให้เขามีความแข็งแกร่งทั้งทางจิตใจและร่างกาย แต่ด้วยความหงุดหงิดที่ไม่มีโอกาสลงเล่น ฤดูกาลถัดมาบาติสตูต้าจึงย้ายอีกครั้ง คราวนี้ไปอยู่กับทีมคู่ปรับตัวฉกาจของริเวอร์เพลท และเป็นทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็กอย่าง โบคา จูเนียร์ส
ตอนแรกกาเบรียลก็ยังคงเจอกับความยากลำบากที่ ลา บอมโบเนร่า ( ชื่อสนามของสโมสรโบคา จูเนียร์ส) ส่วนหนึ่งมาจากการถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหัวหน้าโค้ชคนใหม่มาในช่วงต้นปี 1991 บาติสตูต้าก็ถูกจับไปเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าในที่สุด และเขาก็ค้นพบฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเอง เขาจบฤดูกาลในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของโบคาในรายการ คลาฟซูร่า (Clausura) โดยยิงไป 11 ประตู อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับแพ้เพลย์ออฟชิงแชมป์ พริเมร่า ดิบิซิออน (Primera División) ให้กับทีมเก่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
หลังจากการเป็นดาวซัลโวของโบคา บาติสตูต้าได้รับเลือกให้เล่นให้กับอาร์เจนตินาในศึก โคปา อเมริกา 1991 นี่คือจุดที่ชื่อเสียงของเขาพุ่งทะยาน เขาจบการแข่งขันในฐานะดาวซัลโวสูงสุดด้วยการยิง 6 ประตู และพาทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ในที่สุด
ตำนานวิโอล่าผู้ซื่อสัตย์! 💜
จากจำนวนสโมสรที่ให้ความสนใจ เป็น ฟิออเรนติน่า สโมสรอิตาลีที่คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในที่สุด และนี่คือสโมสรที่จะกลายเป็นคำจำกัดความของชื่อ กาเบรียล บาติสตูต้า ไปตลอดกาล
ในฤดูกาลแรกของเขากับ ฟิออเรนติน่า บาติสตูต้ายิงไป 13 ประตู ทำให้ฟิออเรนติน่าจบอันดับ 12 ในเซเรีย อา อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลถัดมา ฟิออเรนติน่ากลับต้องตกชั้นสู่เซเรีย บี ทั้งที่บาติสตูต้ายิงไป 16 ประตู
หลังจากการตกชั้น แฟนบอลฟิออเรนติน่าจำนวนมากคิดว่าดาวเด่นของพวกเขาจะย้ายออกไป แต่บาติสตูต้ากลับพิสูจน์ความภักดีต่อสโมสร และอยู่ช่วยทีมคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้ในทันที ภายใต้การนำของกุนซือคนใหม่อย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่
กลับมาสู่เซเรีย อา ในฤดูกาล 1994-95 บาติสตูต้าจบในฐานะ ดาวซัลโวสูงสุดของลีกด้วย 26 ประตู และทำลายสถิติเก่าที่ยืนยาวมา 32 ปีของ เอซิโอ ปาสกุตติ (Ezio Pascutti) โดยการยิงประตูติดต่อกันใน 11 เกมแรกของฤดูกาล ฤดูกาลถัดมา บาติสตูต้าได้ชูถ้วยรางวัลแรกของเขากับ "ลา วิโอล่า" เมื่อเขาช่วยให้ฟิออเรนติน่าคว้าทั้ง โคปปา อิตาเลีย และ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า
ตลอดช่วงอาชีพของเขา มีความสนใจจากสโมสรชั้นนำของยุโรปมากมาย แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับฟิออเรนติน่า เพราะความรักที่มีต่อสโมสร และความท้าทายในการคว้าถ้วยรางวัลกับทีมที่ถูกมองว่าเป็นม้านอกสายตา
เขาเคยกล่าวไว้ว่า: "บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยสนใจ (การย้ายไปทีมใหญ่) มากนัก แม้ว่าพวกเขาจะมีแชมป์ แต่แชมป์เหล่านั้นมันง่ายเกินไปที่จะชนะ พวกเขาไม่ต้องต่อสู้หนักเลย... แชมป์เดียวกับฟิออเรนติน่ามีค่าเท่ากับสิบแชมป์กับมิลานหรือยูเวนตุส"
ความผิดหวังในเวทีโลก 🏆
ในช่วงเวลานี้ บาติสตูต้าได้ลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1994 ในการประเดิมสนาม เขายิงแฮตทริกใส่กรีซในนัดเปิดสนาม อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขากลับถูกบดบังด้วยผลกระทบจากการตรวจสารเสพติดของดีเอโก้ มาราโดน่า ซึ่งทำให้ตำนานอาร์เจนตินาถูกขับออกจากการแข่งขัน แม้จะผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ แต่อาร์เจนตินาก็ถูกโรมาเนียเขี่ยตกรอบไป
กลับมาที่ฟลอเรนซ์ ฤดูกาล 1996-97 เป็นฤดูกาลที่น่าผิดหวังสำหรับบาติสตูต้า เนื่องจากฟิออเรนติน่าจบอันดับ 9 ในลีก และแพ้ในรอบรองชนะเลิศคัพ วินเนอร์ส คัพ ให้กับบาร์เซโลนา
ด้วยการยิง 24 ประตูจาก 36 เกมในฤดูกาลถัดมา ทำให้บาติสตูต้าได้รับเลือกให้ติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส ซึ่งอาร์เจนตินาถูกมองว่าเป็นหนึ่งในทีมเต็งอีกครั้ง หลังจากจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยสถิติไม่แพ้ใคร โดยบาติสตูต้ายิงไป 4 ประตู
อาร์เจนตินาต้องดวลกับอังกฤษในรอบที่สอง ในแมตช์ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์และข้อถกเถียง การดวลจุดโทษตัดสินเกม ซึ่งอาร์เจนตินาสามารถหักอกแฟนบอลอังกฤษและผ่านเข้ารอบไปได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ถูกเขี่ยตกรอบในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยเนเธอร์แลนด์ จากประตูชัยในนาทีสุดท้ายอันเป็นไอคอนิกของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ (Dennis Bergkamp) อีกครั้งที่อาร์เจนตินาไปไม่ถึงฝั่งฝัน แม้บาติสตูต้าจะยิงไป 5 ประตูตลอดทัวร์นาเมนต์
ตามล่าความฝันกับหมาป่าแห่งกรุงโรม 🐺
แม้จะรักสโมสรและการยิงประตูอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อเข้าสู่วัยสามสิบ บาติสตูต้าต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าเขาจะได้แชมป์ลีกบ้างหรือไม่ ในที่สุด หลังจากรับใช้สโมสรมาเกือบ 10 ปี และยิงไป 203 ประตูให้กับ "ลา วิโอล่า" บาติสตูต้าก็ย้ายไป โรม่า สโมสรที่เขาเห็นว่าเหมาะสมที่สุดในการคว้าแชมป์เซเรีย อา
การย้ายทีมครั้งนี้มีค่าตัวสูงที่สุดในโลกสำหรับผู้เล่นที่อายุเกิน 30 ปี จนกระทั่งมีการย้ายทีมของ เลโอนาร์โด โบนุชชี่ ในปี 2017 แม้จะมีความสุขที่ได้เข้าร่วมทีม "จัลโลรอสซี่" (Giallorossi หมายถึง เหลือง-แดง" ซึ่งเป็นสีประจำทีมสโมสรฟุตบอลโรม่า ) แต่เขาก็รู้ดีว่าต้องเผชิญหน้ากับสโมสรเก่าของเขาตลอดฤดูกาล
มันเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 2000 เมื่อเขาต้องลงเล่นเจอกับฟิออเรนติน่า และราวกับถูกเขียนไว้ในดวงดาว เขาก็ยิงประตูสุดสวยที่เป็นเอกลักษณ์ใส่ทีมเก่า หลังจากทำประตูได้ เขามีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัดและปฏิเสธที่จะฉลองกับเพื่อนร่วมทีม
หลังจบเกม บาติสตูต้ากล่าวว่า: "ผมเล่นทั้งเกมด้วยความคิดที่ขัดแย้งกันในหัว ผมเสียใจกับฟิออเรนติน่า แต่มันสำคัญ เพราะผมต้องการชนะเพื่อโรม่า ผมพยายามอย่างหนัก แต่ผมไม่สามารถลืมอดีตของผมได้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถพูดได้ว่าผมมีความสุขที่ได้ยิงประตูใส่เพื่อนร่วมทีมเก่า แต่โรม่าต้องการชัยชนะ"
ในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2000-2001 บาติสตูต้าก็ได้บรรลุความฝันในการชูถ้วยแชมป์ลีกในอิตาลี โดยเขายิงประตูได้ในชัยชนะ 3-1 เหนือปาร์ม่าที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก ทำให้โรม่าคว้าแชมป์แรกนับตั้งแต่ปี 1983 ได้สำเร็จ!
บทสุดท้ายของ "บาติโกล" 👑
ในการปรากฏตัวในฟุตบอลโลกครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายในปี 2002 ขณะที่อายุ 33 ปี บาติสตูต้ารู้ดีว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะคว้าถ้วยรางวัลอันโด่งดังนี้ การแข่งขันของอาร์เจนตินาเริ่มต้นอย่างสดใส เมื่อพวกเขาเอาชนะไนจีเรีย 1-0 ในเกมเปิดสนาม โดยบาติสตูต้ายิงประตูชัยได้ เกมถัดไปคืออังกฤษ ซึ่งนำความทรงจำจากสี่ปีก่อนกลับมา การยิงจุดโทษของ เดวิด เบ็คแฮม เป็นการไถ่ถอนความผิดพลาดของอังกฤษและตัวเบ็คแฮมเองต่ออาร์เจนตินา การเสมอกับสวีเดน 1-1 ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย ทำให้อาร์เจนตินาถูกเขี่ยตกรอบแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962 นับเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่สำหรับทั้งอาร์เจนตินาและบาติสตูต้า เพราะเขารู้ว่านี่คือการอำลาเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
หลังจากฤดูกาลที่คว้าแชมป์ ฟอร์มของบาติสตูต้าก็ตกลงที่โรม่า หลังจากยิง 21 ประตูในฤดูกาลที่คว้าแชมป์ลีก เขาทำได้เพียง 6 ประตูในสองฤดูกาลถัดมา ในความพยายามที่จะเรียกฟอร์มเก่ง เขาก็ถูกส่งไปยืมตัวที่อินเตอร์ มิลาน แต่เขากลับทำได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น และเขายังเคยถูกเสนอให้กับสโมสรฟูแล่มในพรีเมียร์ลีก แต่ผู้จัดการทีม ฌอง ติกาน่า ปฏิเสธโอกาสที่จะเซ็นสัญญากับเขา
ในวัย 34 ปี บาติสตูต้าออกจากโรม่าในปี 2003 เพื่อไปใช้ชีวิตค้าแข้งที่เหลือในกาตาร์ โดยเล่นให้กับ อัล-อาราบี ในฤดูกาลแรกของเขากับสโมสร เขาทำลายสถิติดาวซัลโวของลีกด้วยการยิง 25 ประตูจาก 18 เกม เขาเล่นอีกหนึ่งฤดูกาลที่อัล-อาราบี ก่อนจะประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 2005
อาชีพของกาเบรียล บาติสตูต้า แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่จำนวนถ้วยรางวัลที่กำหนดความหมายของการเป็นนักเตะระดับโลก แต่เป็นวิธีที่พวกเขาทำให้คุณรู้สึก และวิธีที่พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่สวมรองเท้าและพยายามเลียนแบบสิ่งที่ฮีโร่ของพวกเขาทำ
หลังจากอาชีพค้าแข้ง 17 ปี บาติสตูต้าคว้าถ้วยรางวัลเพียงหยิบมือ แต่ผลกระทบที่มีต่อสโมสรที่เขาเล่นให้ต่างหากคือสิ่งที่กำหนดความเป็นเขา เขายังคงติดทำเนียบ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเซเรีย อา และเป็นผู้ทำประตูสูงสุดเป็นอันดับสองตลอดกาลของสโมสร ตามหลัง เคิร์ท ฮัมริน เพียงประตูเดียว ด้วยความรักที่สโมสรมีต่อเขา พวกเขาถึงกับสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
เขาเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของประเทศด้วย 54 ประตู จนกระทั่ง ลิโอเนล เมสซี่ ก้าวขึ้นมา สไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์และความสามารถในการยิงลูกด้วยความรุนแรงที่ถูกควบคุมอย่างเหลือเชื่อ ทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างหลงใหล หลายคนมาก่อนเขา และหลายคนตามมา แต่จะมี "บาติโกล" เพียงคนเดียวเท่านั้นตลอดไป!
หากบทความนี้มีประโยชน์ รบกวนเพื่อนช่วยกดไลค์ กดติดตามให้หน่อยนะครับ
ที่มา: Full Time Football
💥 BATIGOL | เรื่องราวของ กาเบรียล บาติสตูต้า 💥
ยุค 90 คือยุคทองของกองหน้า! 💣
ยุค 90 เป็นทศวรรษของบรรดากองหน้าอันดับโลก! มีดาวยิงที่โด่งดังและทรงอิทธิพลที่สุดมากมายที่แจ้งเกิดในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น อลัน เชียร์เรอร์, เยอร์เกน คลิสมันน์, จอร์จ เวอาห์ และโรนัลโด้ (Ronaldo) ผู้ยิ่งใหญ่ ที่ต่างประกาศศักดาว่าเป็นที่สุดของโลกในช่วงเวลานั้น แต่มีอยู่ชื่อหนึ่งที่ฝังความกลัวให้กับกองหลังคู่แข่งได้อย่างสุดขั้วยิ่งกว่าใคร...
ดีเอโก้ มาราโดน่า เคยกล่าวถึงเขาว่าเป็น "กองหน้าที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา" ชายที่รู้จักกันในนาม "บาติโกล" คนนี้ สร้างความสยองขวัญให้กับแนวรับมาเกือบ 20 ปี ทั้งในบ้านเกิดที่อาร์เจนตินา อิตาลี และกาตาร์ รวมถึงในเวทีระดับชาติ ที่ซึ่งเขาเคยเป็นเจ้าของสถิติดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของประเทศจนถึงปี 2016 แม้เขาจะมีแชมป์ลีกติดตัวเพียง 2 ครั้ง แต่วิธีที่เขาทำให้แฟนบอลที่ได้ชมรู้สึก ตีค่าได้มากกว่าถ้วยรางวัลใด ๆ นี่คือเรื่องราวของ "บาติโกล": กาเบรียล บาติสตูต้า
จุดเริ่มต้นของเพชฌฆาตชาวอาร์เจนไตน์ 🇦🇷
กาเบรียล บาติสตูต้า เกิดในเมืองอาเบยาเนด้า จังหวัดซานตาเฟ่ เขาเติบโตในเมืองใกล้เคียงอย่าง เรคอนกีสต้า กับพ่อแม่และพี่สาว/น้องสาวสามคน สมัยเด็กกาเบรียลยอมรับว่าเขาไม่เคยคลั่งไคล้ในกีฬาฟุตบอลเลยแม้จะดูเกมการแข่งขันอยู่บ้างก็ตาม อย่างไรก็ตาม การได้เห็นทีมชาติอาร์เจนตินายกถ้วยฟุตบอลโลกปี 1978 นั่นเองที่โน้มน้าวใจให้กาเบรียลอุทิศตัวเองให้กับกีฬาชนิดนี้
หลังจากเข้าร่วมทีมเยาวชนของ พลาเทนเซ่ (Platense) เขาได้รับเลือกให้เล่นให้กับทีมเรคอนกีสต้า ซึ่งคว้าแชมป์ระดับจังหวัดไปครอง โดยกาเบรียลยิง 2 ประตูในรอบชิงชนะเลิศ ผลงานนี้ไปเตะตา ฆอร์เก้ กริฟฟา (Jorge Griffa) โค้ชทีมเยาวชนของ นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์ (Newell's Old Boys) ซึ่งเสนอโอกาสให้เขาร่วมทีม แม้จะลังเลในตอนแรกเพราะต้องอยู่ไกลบ้านและต้องการเรียนต่อ
แต่สุดท้ายกาเบรียลก็ใจอ่อน ยอมเดินทางลงใต้ 460 กิโลเมตรไปยังโรซาริโอ เพื่อเริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลภายใต้การทำทีมของ มาร์เซโล บิเอลซ่า ที่นีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
นีเวลล์สไม่เพียงแต่เป็นแชมป์ลีกเท่านั้น แต่ยังเป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงด้านระบบเยาวชน บาติสตูต้าเล่าถึงการมาถึงนีเวลล์สว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ เพราะสโมสรจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้เขาด้วย หลังจากถูกยืมตัวไปอยู่กับ เดปอร์ติโบ อิตาเลียโน่ ชั่วสั้น ๆ บาติสตูต้าก็กลับมาที่นีเวลล์ส และเริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงในทีมชุดใหญ่ พร้อมสร้างชื่อเสียงไปทั่วประเทศในฐานะกองหน้าจอมพลัง หลังจากอยู่กับนีเวลล์สได้เพียงฤดูกาลเดียว ฟอร์มของเขาก็ดึงดูดความสนใจจากหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดของอาร์เจนตินาอย่าง ริเวอร์เพลท
กลางปี 1989 บาติสตูต้าได้ย้ายจากนีเวลล์สไปสู่ทีม "โลส มียอนาริโอส" (Los Millonarios) เพื่อก้าวไปอีกขั้นในอาชีพที่เพิ่งเริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาของเขานั้นไม่ง่าย เพราะโค้ช ดานิเอล พาสซาเรลล่า มักจะดร็อปเขาจากทีม แม้จะถูกทิ้งไว้ข้างสนาม แต่บาติสตูต้าก็มองหาแง่บวก โดยกล่าวว่าสิ่งนี้ทำให้เขามีความแข็งแกร่งทั้งทางจิตใจและร่างกาย แต่ด้วยความหงุดหงิดที่ไม่มีโอกาสลงเล่น ฤดูกาลถัดมาบาติสตูต้าจึงย้ายอีกครั้ง คราวนี้ไปอยู่กับทีมคู่ปรับตัวฉกาจของริเวอร์เพลท และเป็นทีมที่เขาเชียร์มาตั้งแต่เด็กอย่าง โบคา จูเนียร์ส
ตอนแรกกาเบรียลก็ยังคงเจอกับความยากลำบากที่ ลา บอมโบเนร่า ( ชื่อสนามของสโมสรโบคา จูเนียร์ส) ส่วนหนึ่งมาจากการถูกจับไปเล่นในตำแหน่งที่ไม่ถนัด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีหัวหน้าโค้ชคนใหม่มาในช่วงต้นปี 1991 บาติสตูต้าก็ถูกจับไปเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้าในที่สุด และเขาก็ค้นพบฟอร์มที่ดีที่สุดของตัวเอง เขาจบฤดูกาลในฐานะดาวซัลโวสูงสุดของโบคาในรายการ คลาฟซูร่า (Clausura) โดยยิงไป 11 ประตู อย่างไรก็ตาม พวกเขากลับแพ้เพลย์ออฟชิงแชมป์ พริเมร่า ดิบิซิออน (Primera División) ให้กับทีมเก่าอย่างนีเวลล์ส โอลด์ บอยส์
หลังจากการเป็นดาวซัลโวของโบคา บาติสตูต้าได้รับเลือกให้เล่นให้กับอาร์เจนตินาในศึก โคปา อเมริกา 1991 นี่คือจุดที่ชื่อเสียงของเขาพุ่งทะยาน เขาจบการแข่งขันในฐานะดาวซัลโวสูงสุดด้วยการยิง 6 ประตู และพาทีมชาติอาร์เจนตินาคว้าแชมป์ในที่สุด
ตำนานวิโอล่าผู้ซื่อสัตย์! 💜
จากจำนวนสโมสรที่ให้ความสนใจ เป็น ฟิออเรนติน่า สโมสรอิตาลีที่คว้าตัวเขาไปร่วมทีมในที่สุด และนี่คือสโมสรที่จะกลายเป็นคำจำกัดความของชื่อ กาเบรียล บาติสตูต้า ไปตลอดกาล
ในฤดูกาลแรกของเขากับ ฟิออเรนติน่า บาติสตูต้ายิงไป 13 ประตู ทำให้ฟิออเรนติน่าจบอันดับ 12 ในเซเรีย อา อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลถัดมา ฟิออเรนติน่ากลับต้องตกชั้นสู่เซเรีย บี ทั้งที่บาติสตูต้ายิงไป 16 ประตู
หลังจากการตกชั้น แฟนบอลฟิออเรนติน่าจำนวนมากคิดว่าดาวเด่นของพวกเขาจะย้ายออกไป แต่บาติสตูต้ากลับพิสูจน์ความภักดีต่อสโมสร และอยู่ช่วยทีมคว้าแชมป์และเลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดได้ในทันที ภายใต้การนำของกุนซือคนใหม่อย่าง เคลาดิโอ รานิเอรี่
กลับมาสู่เซเรีย อา ในฤดูกาล 1994-95 บาติสตูต้าจบในฐานะ ดาวซัลโวสูงสุดของลีกด้วย 26 ประตู และทำลายสถิติเก่าที่ยืนยาวมา 32 ปีของ เอซิโอ ปาสกุตติ (Ezio Pascutti) โดยการยิงประตูติดต่อกันใน 11 เกมแรกของฤดูกาล ฤดูกาลถัดมา บาติสตูต้าได้ชูถ้วยรางวัลแรกของเขากับ "ลา วิโอล่า" เมื่อเขาช่วยให้ฟิออเรนติน่าคว้าทั้ง โคปปา อิตาเลีย และ ซูเปอร์โคปปา อิตาเลียน่า
ตลอดช่วงอาชีพของเขา มีความสนใจจากสโมสรชั้นนำของยุโรปมากมาย แต่เขาเลือกที่จะอยู่กับฟิออเรนติน่า เพราะความรักที่มีต่อสโมสร และความท้าทายในการคว้าถ้วยรางวัลกับทีมที่ถูกมองว่าเป็นม้านอกสายตา
เขาเคยกล่าวไว้ว่า: "บอกตามตรงว่าผมไม่ค่อยสนใจ (การย้ายไปทีมใหญ่) มากนัก แม้ว่าพวกเขาจะมีแชมป์ แต่แชมป์เหล่านั้นมันง่ายเกินไปที่จะชนะ พวกเขาไม่ต้องต่อสู้หนักเลย... แชมป์เดียวกับฟิออเรนติน่ามีค่าเท่ากับสิบแชมป์กับมิลานหรือยูเวนตุส"
ความผิดหวังในเวทีโลก 🏆
ในช่วงเวลานี้ บาติสตูต้าได้ลงเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในปี 1994 ในการประเดิมสนาม เขายิงแฮตทริกใส่กรีซในนัดเปิดสนาม อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขากลับถูกบดบังด้วยผลกระทบจากการตรวจสารเสพติดของดีเอโก้ มาราโดน่า ซึ่งทำให้ตำนานอาร์เจนตินาถูกขับออกจากการแข่งขัน แม้จะผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์ แต่อาร์เจนตินาก็ถูกโรมาเนียเขี่ยตกรอบไป
กลับมาที่ฟลอเรนซ์ ฤดูกาล 1996-97 เป็นฤดูกาลที่น่าผิดหวังสำหรับบาติสตูต้า เนื่องจากฟิออเรนติน่าจบอันดับ 9 ในลีก และแพ้ในรอบรองชนะเลิศคัพ วินเนอร์ส คัพ ให้กับบาร์เซโลนา
ด้วยการยิง 24 ประตูจาก 36 เกมในฤดูกาลถัดมา ทำให้บาติสตูต้าได้รับเลือกให้ติดทีมชาติไปฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส ซึ่งอาร์เจนตินาถูกมองว่าเป็นหนึ่งในทีมเต็งอีกครั้ง หลังจากจบรอบแบ่งกลุ่มด้วยสถิติไม่แพ้ใคร โดยบาติสตูต้ายิงไป 4 ประตู
อาร์เจนตินาต้องดวลกับอังกฤษในรอบที่สอง ในแมตช์ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์และข้อถกเถียง การดวลจุดโทษตัดสินเกม ซึ่งอาร์เจนตินาสามารถหักอกแฟนบอลอังกฤษและผ่านเข้ารอบไปได้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ถูกเขี่ยตกรอบในรอบก่อนรองชนะเลิศ โดยเนเธอร์แลนด์ จากประตูชัยในนาทีสุดท้ายอันเป็นไอคอนิกของ เดนนิส เบิร์กแคมป์ (Dennis Bergkamp) อีกครั้งที่อาร์เจนตินาไปไม่ถึงฝั่งฝัน แม้บาติสตูต้าจะยิงไป 5 ประตูตลอดทัวร์นาเมนต์
ตามล่าความฝันกับหมาป่าแห่งกรุงโรม 🐺
แม้จะรักสโมสรและการยิงประตูอย่างบ้าคลั่ง แต่เมื่อเข้าสู่วัยสามสิบ บาติสตูต้าต้องพิจารณาอย่างจริงจังว่าเขาจะได้แชมป์ลีกบ้างหรือไม่ ในที่สุด หลังจากรับใช้สโมสรมาเกือบ 10 ปี และยิงไป 203 ประตูให้กับ "ลา วิโอล่า" บาติสตูต้าก็ย้ายไป โรม่า สโมสรที่เขาเห็นว่าเหมาะสมที่สุดในการคว้าแชมป์เซเรีย อา
การย้ายทีมครั้งนี้มีค่าตัวสูงที่สุดในโลกสำหรับผู้เล่นที่อายุเกิน 30 ปี จนกระทั่งมีการย้ายทีมของ เลโอนาร์โด โบนุชชี่ ในปี 2017 แม้จะมีความสุขที่ได้เข้าร่วมทีม "จัลโลรอสซี่" (Giallorossi หมายถึง เหลือง-แดง" ซึ่งเป็นสีประจำทีมสโมสรฟุตบอลโรม่า ) แต่เขาก็รู้ดีว่าต้องเผชิญหน้ากับสโมสรเก่าของเขาตลอดฤดูกาล
มันเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ปี 2000 เมื่อเขาต้องลงเล่นเจอกับฟิออเรนติน่า และราวกับถูกเขียนไว้ในดวงดาว เขาก็ยิงประตูสุดสวยที่เป็นเอกลักษณ์ใส่ทีมเก่า หลังจากทำประตูได้ เขามีสีหน้าสลดอย่างเห็นได้ชัดและปฏิเสธที่จะฉลองกับเพื่อนร่วมทีม
หลังจบเกม บาติสตูต้ากล่าวว่า: "ผมเล่นทั้งเกมด้วยความคิดที่ขัดแย้งกันในหัว ผมเสียใจกับฟิออเรนติน่า แต่มันสำคัญ เพราะผมต้องการชนะเพื่อโรม่า ผมพยายามอย่างหนัก แต่ผมไม่สามารถลืมอดีตของผมได้ แน่นอนว่าผมไม่สามารถพูดได้ว่าผมมีความสุขที่ได้ยิงประตูใส่เพื่อนร่วมทีมเก่า แต่โรม่าต้องการชัยชนะ"
ในวันสุดท้ายของฤดูกาล 2000-2001 บาติสตูต้าก็ได้บรรลุความฝันในการชูถ้วยแชมป์ลีกในอิตาลี โดยเขายิงประตูได้ในชัยชนะ 3-1 เหนือปาร์ม่าที่ สตาดิโอ โอลิมปิโก ทำให้โรม่าคว้าแชมป์แรกนับตั้งแต่ปี 1983 ได้สำเร็จ!
บทสุดท้ายของ "บาติโกล" 👑
ในการปรากฏตัวในฟุตบอลโลกครั้งที่สามและครั้งสุดท้ายในปี 2002 ขณะที่อายุ 33 ปี บาติสตูต้ารู้ดีว่านี่จะเป็นโอกาสสุดท้ายที่เขาจะคว้าถ้วยรางวัลอันโด่งดังนี้ การแข่งขันของอาร์เจนตินาเริ่มต้นอย่างสดใส เมื่อพวกเขาเอาชนะไนจีเรีย 1-0 ในเกมเปิดสนาม โดยบาติสตูต้ายิงประตูชัยได้ เกมถัดไปคืออังกฤษ ซึ่งนำความทรงจำจากสี่ปีก่อนกลับมา การยิงจุดโทษของ เดวิด เบ็คแฮม เป็นการไถ่ถอนความผิดพลาดของอังกฤษและตัวเบ็คแฮมเองต่ออาร์เจนตินา การเสมอกับสวีเดน 1-1 ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย ทำให้อาร์เจนตินาถูกเขี่ยตกรอบแรกเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1962 นับเป็นความผิดหวังครั้งใหญ่สำหรับทั้งอาร์เจนตินาและบาติสตูต้า เพราะเขารู้ว่านี่คือการอำลาเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
หลังจากฤดูกาลที่คว้าแชมป์ ฟอร์มของบาติสตูต้าก็ตกลงที่โรม่า หลังจากยิง 21 ประตูในฤดูกาลที่คว้าแชมป์ลีก เขาทำได้เพียง 6 ประตูในสองฤดูกาลถัดมา ในความพยายามที่จะเรียกฟอร์มเก่ง เขาก็ถูกส่งไปยืมตัวที่อินเตอร์ มิลาน แต่เขากลับทำได้เพียง 2 ประตูเท่านั้น และเขายังเคยถูกเสนอให้กับสโมสรฟูแล่มในพรีเมียร์ลีก แต่ผู้จัดการทีม ฌอง ติกาน่า ปฏิเสธโอกาสที่จะเซ็นสัญญากับเขา
ในวัย 34 ปี บาติสตูต้าออกจากโรม่าในปี 2003 เพื่อไปใช้ชีวิตค้าแข้งที่เหลือในกาตาร์ โดยเล่นให้กับ อัล-อาราบี ในฤดูกาลแรกของเขากับสโมสร เขาทำลายสถิติดาวซัลโวของลีกด้วยการยิง 25 ประตูจาก 18 เกม เขาเล่นอีกหนึ่งฤดูกาลที่อัล-อาราบี ก่อนจะประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 2005
อาชีพของกาเบรียล บาติสตูต้า แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่จำนวนถ้วยรางวัลที่กำหนดความหมายของการเป็นนักเตะระดับโลก แต่เป็นวิธีที่พวกเขาทำให้คุณรู้สึก และวิธีที่พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่สวมรองเท้าและพยายามเลียนแบบสิ่งที่ฮีโร่ของพวกเขาทำ
หลังจากอาชีพค้าแข้ง 17 ปี บาติสตูต้าคว้าถ้วยรางวัลเพียงหยิบมือ แต่ผลกระทบที่มีต่อสโมสรที่เขาเล่นให้ต่างหากคือสิ่งที่กำหนดความเป็นเขา เขายังคงติดทำเนียบ ดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลในเซเรีย อา และเป็นผู้ทำประตูสูงสุดเป็นอันดับสองตลอดกาลของสโมสร ตามหลัง เคิร์ท ฮัมริน เพียงประตูเดียว ด้วยความรักที่สโมสรมีต่อเขา พวกเขาถึงกับสร้างรูปปั้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขา
เขาเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของประเทศด้วย 54 ประตู จนกระทั่ง ลิโอเนล เมสซี่ ก้าวขึ้นมา สไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์และความสามารถในการยิงลูกด้วยความรุนแรงที่ถูกควบคุมอย่างเหลือเชื่อ ทำให้ผู้คนทั่วโลกต่างหลงใหล หลายคนมาก่อนเขา และหลายคนตามมา แต่จะมี "บาติโกล" เพียงคนเดียวเท่านั้นตลอดไป!
หากบทความนี้มีประโยชน์ รบกวนเพื่อนช่วยกดไลค์ กดติดตามให้หน่อยนะครับ
ที่มา: Full Time Football