บีทีเอส กรุ๊ป ไม่เพียงอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงแรมหรู “เดอะ แลงแฮม แบ็งค็อก” ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนที่ดินของอาคารศุลกสถานเก่า(โรงภาษีร้อยชักสาม) เท่านั้น ล่าสุดยังได้ลงทุน “เซอร์วิส เรสซิเดนซ์” ระดับอัลตราลักชัวรี ในย่านทองหล่อ ภายใต้โครงการ “La Clef Bangkok by The Crest Collection”เพื่อเจาะกลุ่มผู้เข้าพักระยะยาว หรือ กลุ่มลองสเตย์
ปัจจุบันบีทีเอส กรุ๊ป ไม่เพียงอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงแรมหรู “เดอะ แลงแฮม แบ็งค็อก” ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บนที่ดินของอาคารศุลกสถานเก่า(โรงภาษีร้อยชักสาม) เท่านั้น ล่าสุดยังได้ลงทุน “เซอร์วิส เรสซิเดนซ์” ระดับอัลตราลักชัวรี ในย่านทองหล่อ ภายใต้โครงการ “La Clef Bangkok by The Crest Collection”เพื่อเจาะกลุ่มผู้เข้าพักระยะยาว หรือ กลุ่มลองสเตย์ ซึ่งเป็นลูกค้าอีกกลุ่มเซ็กเม้นท์ ที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ทำธุรกิจ ทำงาน เกษียณอายุ ในไทย รวมถึงกลุ่มดิจิทัล โนแมด
ทั้งนี้โครงการนี้มีมูลค่าการลงทุนกว่า 5 พันล้านบาท โดยชั้น 24-36 จะเป็นคอนโดมิเนียมขายขาด  (THE RESIDENCES 38) จำนวน 56 ห้อง และชั้น 12-23 จะเป็นเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ (La Clef Bangkok) ให้บริการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์หรู จำนวน 115 ยูนิต บริหารโดย ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด (แอสคอทท์) หรือ Ascott
นายแอนดรูว์ คอร์เนลิโอ ผู้จัดการทั่วไปของ La Clef Bangkok กล่าวว่า โครงการ La Clef Bangkok by The Crest Collection เซอร์วิสเรสซิเดนซ์ ระดับลักชัวรี ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลงทุนของ “บีทีเอส กรุ๊ป” (BTS กรุ๊ป) ที่บริหารจัดการภายใต้ แบรนด์ “The Crest Collection” ของแอสคอทท์ ที่นำเข้ามาให้บริการครั้งแรกในประเทศไทยและในเอเชีย
เนื่องจาก La Clef เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในฝรั่งเศส  ที่นี่จึงเน้นนำเสนอการพักอาศัยระยะยาวรูปแบบใหม่ ด้วยการผสานความหรูหราสง่างามแบบฝรั่งเศส เข้ากับไลฟ์สไตล์อันมีชีวิตชีวาของย่านสุขุมวิท โดยวางตำแหน่งให้เป็นผู้นำด้านราคา บริการคุณภาพสูง และความเป็นส่วนตัวสูงสุดในย่านทองหล่อ รองรับการเข้าขั้นต่ำ 1 เดือน (30 วัน)
“เรามองเห็นโอกาสในตลาดอัลตราลักชัวรี และลองสเตย์ ซึ่งเป็นตลาดที่ไม่เกี่ยวข้องกับวัฏจักรการท่องเที่ยว  หรือฤดูกาลท่องเที่ยวทั่วไปที่มีส่วนโลว์ซีซัน หรือ ไฮซีซัน หรือแม้แต่การหายไปของตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งไม่ค่อยมีผลกระทบมากนักกับตลาดลองสเตย์ เพราะกลุ่มลูกค้าไม่ได้เข้ามาเพื่อเหตุผลในการท่องเที่ยวเท่านั้น 
แต่ยังมีฐานลูกค้าหลากหลาย เช่น เข้ามาเพื่อทำงาน อยู่ยาว หรือเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เพราะฉะนั้นจึงเป็นตลาดที่ค่อนข้างยั่งยืน และด้วยทำเลที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS ทองหล่อ ก็เป็นจุดเด่นที่สำคัญด้วยเช่นกัน”
ทั้งนี้ La Clef Bangkok by The Crest Collection เริ่มเปิดให้บริการเมื่อกลางเดือนมิถุนายน 2568 กำหนดเข้าพักขั้นต่ำที่ 1 เดือน (30 วัน) แตกต่างจากธุรกิจโรงแรมที่เน้นการพักระยะสั้น ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ปัจจุบันมีอัตราการเช่าอยู่ที่ประมาณ 30% จากจำนวน 115 ห้อง ตั้งแต่ห้อง สตูดิโอ ไปจนถึงแบบ 2 ห้องนอนขนาดใหญ่ ซึ่งทุกห้องมีครัวและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ทั้งนี้เพื่อตอบโจทย์การเข้าพักแบบระยะยาวโดยลูกค้าหลักจะเป็นชาวอเมริกัน, ญี่ปุ่น, ยุโรป  และกลุ่มจากตะวันออกกลาง ซึ่งส่วนใหญ่มาเพื่อทำธุรกิจ, เกษียณ, หรืออยู่ในกลุ่ม Digital Nomadที่มีรายได้สูง
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้า  ตั้งเป้าหมายอัตราการเช่า 60% ขึ้นไป โดยมีกลยุทธ์หลักในการขยายตลาดใน 3 ด้าน ได้แก่
1. การสร้างพันธมิตรกับ Relocation Agency (บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับการย้ายถิ่นฐาน) อันเป็นกลยุทธ์สำคัญ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการย้ายถิ่นฐานเข้าและออกจากประเทศไทยของชาวต่างชาติ  ซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับธุรกิจเซอร์วิส เรสซิเดนซ์
2. เน้นตลาด Health and Wellness โครงการมุ่งเน้นการร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลและการดูแลสุขภาพ เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ต้องการพักระยะยาว เพื่อการรักษาพยาบาล โดยมีการขยายความร่วมมือกับสถานทูต ศูนย์เวลเนส โรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ และโรงพยาบาลกรุงเทพ คลินิกต่าง ๆ เพื่อประชาสัมพันธ์ และเข้าถึงกลุ่ม Expatriates (ชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศอื่น) และผู้มารับบริการทางการแพทย์
3. การใช้เครือข่ายของ แอสคอทท์ เพื่อใช้ประโยชน์จากเครือข่ายการจอง (Booking Network) ของแอสคอทท์ ทั่วโลก ซึ่ง แอสคอทท์ ได้ริเริ่มคอนเซ็ปต์ เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ มาตั้งแต่ปี 1970  เพราะเห็นความต้องการของตลาดที่ต้องการอยู่แบบอพาร์ตเมนต์ยาว ๆ
แต่ต้องการบริการแบบโรงแรม จึงเน้นมอบบริการเทียบเท่าโรงแรม แต่ในห้องพักที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยระยะยาว (Facility) และด้วยแบรนด์ The Crest Collection” ของแอสคอทท์ ทำให้ที่นี่จึงเจาะเซ็กเม้นท์อัลตรา ลักชัวรี มาร์เก็ต (Ultra-Luxury Market) เราสามารถให้บริการแบบโรงแรม แต่ความสามารถในการรองรับ (Capacity) ในห้องเหมาะสำหรับอยู่ยาว
นอกจากนี้ที่นี่ยังรองรับกลุ่มลูกค้าหลากหลายรูปแบบ รวมถึงกลุ่มครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และยังเป็น Pet Allowed Service Residence ที่อนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยง (สุนัข แมว นก กระต่าย) เข้ามาพักได้ โดยจำกัดน้ำหนักไม่เกิน 15 กิโลกรัม อีกหนึ่งจุดแข็งคือ บัตเลอร์ เซอร์วิส (Butler Service)
ไม่ว่าจะเข้าพักขนาดห้องใดหรือระยะเวลานานเท่าใด บัตเลอร์ทำหน้าที่เสมือนผู้ช่วยส่วนตัวหรือเลขาส่วนตัว ซึ่งสามารถช่วยเหลือในการจองร้านอาหาร, แนะนำร้านตัดเสื้อ, ช่วยจัดการกระเป๋าเดินทาง (unpack/pack), รีดผ้า ,บริการอาหารเช้าเสิร์ฟถึงห้องพัก เป็นต้น
รวมไปถึงการให้บริการต่างๆที่มีความเป็นส่วนตัวสูง โดยเฉพาะห้องอาหาร ที่เน้นความเป็นไพเวท ต้องจองล่วงหน้า เพื่อให้ลูกค้าสามารถจองและใช้บริการเพื่อพาเพื่อน หรือพานักธุรกิจมาทำธุรกิจและเซ็นสัญญา ในแบบส่วนตัวได้ ซึ่งบีทีเอสกรุ๊ป ได้ให้บริษัทลูก
อย่าง “Turtle 23” (บริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการพัฒนาและลงทุนในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่างครบวงจร) เข้ามาเป็นผู้บริหารจัดการ ซึ่งที่นี่จะมีร้านอาหารเชฟแมน อาหารจีนสไตล์ฮ่องกง และ Kapoh by Tachi Chef Tachi อาหารญี่ปุ่น สไตล์โอมากาเสะ
ขณะที่จุดเด่นที่ทำให้ La Clef Bangkok แตกต่างจากธุรกิจโรงแรมหรู คือมีความคุ้มค่าด้านราคา เพราะที่นี่จะตั้งราคาแพงกว่าคู่แข่งในละแวกเดียวกัน แต่การเข้าพักแบบลองสเตย์ ถือว่าคุ้มค่ากว่า เพราะถ้าเทียบกับโรงแรมที่อยู่ในระดับเดียวกันราคาของเราจะถูกกว่า เช่น โรงแรมระดับ 5-6 ดาวราคาที่พักต่อคืนอยู่ที่ราว ๆ 8,000 – 10,000 บาท หรือราว ๆ 300,000 บาทต่อเดือน
ขณะที่ของเราแพงที่สุดอยู่ที่ประมาณ 220,000 บาทต่อเดือน เมื่อหารออกมาก็อยู่ที่ราว ๆ วันละ 7,000 บาท แต่ถ้าเป็นของที่นี่ราคาเริ่มต้นปกติตอนนี้โปรโมชันอยู่ที่ 115,000 บาท หรือราว ๆ 3,500 บาทต่อวัน ซึ่งสำหรับชาวต่างชาติที่เคยอยู่โรงแรมก็เป็นทางเลือก (Option) ที่ดีกว่าและมีคุณค่า (Value) มากกว่า นายแอนดรูว์  กล่าวทิ้งท้าย
																															 
						
บีทีเอส กรุ๊ป รุกธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์หรู เจาะกลุ่มลักชัวรี ลองสเตย์