JJNY : ที่ปรึกษากมธ.ทหารแนะยุบทบ.ทิ้ง│ผู้เลี้ยงปลาสลิดเดือดร้อนหนัก│วัสดุก่อสร้างปี 69 แนวโน้มหด│เอเปคเห็นพ้องร่วมมือ

ที่ปรึกษากมธ.ทหาร แนะยุบทบ.ทิ้ง ปล่อยหน่วยทหาร ขอบริจาคได้ตามใจ ถามส่วนกลางทำอะไร
.
.
ที่ปรึกษากมธ.ทหาร แนะยุบทบ.ทิ้ง ปล่อยหน่วยทหาร ขอบริจาคได้ตามใจ ถามส่วนกลางทำอะไร
.
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นายอนาลโย กอสกุล ที่ปรึกษา กมธ.ทหาร สภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุข้อความ ดังนี้
.
“ย้ำอีกครั้งนึงว่าเราไม่ควรจะเอาคำว่าเขาทำความดี เธอทำความดีจะตรวจสอบทำไม ทำความดีก็พอแล้ว
.
ปัญหานี้คือปัญหาด้านความพร้อมของกองทัพ ซึ่งถ้าจะแก้ ต้องแก้ที่ระบบ เช่น ประเมินภัยคุกคามพลาดไปไหม วางแผนพัฒนากำลังรบไม่เข้ากับสถานการณ์หรือไม่ งบประมาณน้อยไปไหม หรือจัดสรรลงไปที่ที่ควรจะเป็นไหม ทั้งหมดนี้แหละคือการแก้ปัญหาที่ยั่งยืน และเป็นสิ่งที่พวกเราพยายามทำกัน
.
เราไม่ควรให้กองทัพรบได้ด้วยการเรื่ยไรบริจาค
.
และไม่ใช่เรื่องที่ว่าถึงเวลาสงคราม ใครช่วยได้ก็ช่วยไปก่อน อันนั้นก็อาจจะจริง แต่ถ้าถึงขั้นต้องบริจาคยุทโธปกรณ์มันแสดงให้เห็นว่าเราไม่พร้อม เพราะนี่ถ้าว่ากันตามแผนป้องกันประเทศ เราปฏิบัติการแค่ขั้นตอบโต้เอง ถ้าขั้นตอบโต้ยังขาดแคลนขนาดนี้ ขั้นป้องกันประเทศจะขนาดไหน นั่นแหละที่ทำให้เราต้องมาดูว่าระบบมีอะไรผิดพลาดแล้วมาแก้ปัญหากัน
.
ไม่ใช่บอกว่าทำดีแล้วห้ามตั้งคำถาม แล้วกลบปัญหาเอาไว้ คิดแบบนี้เราก็จะไม่พัฒนา รบครั้งหน้าเผลอ ๆ อาจต้องเรี่ยไรบริจาครถถัง
.
ซึ่งมันไม่ใช่ เรามีรัฐบาลอยู่แล้ว รัฐบาลนี่แหละต้องทำงาน ไม่ใช่ให้ประเทศต้องมีฮีโร่มาเรี่ยไร และเราจะแก้ระบบได้ เราต้องยอมรับก่อนว่ามีปัญหา สิ่งที่จะทำได้ก็คือในส่วนของคุณ #กันจอมพลัง นี่แหละ จริง ๆ คือพยานที่สำคัญ อยากให้ส่งเอกสารที่กล่าวอ้างมาทั้งหมดให้ กมธ. เพื่อเราจะได้รู้ว่ามีการทำหนังสือขอรับบริจาคมากเท่าไหร่
.
หลังจากนั้นเราจะวิเคราะห์ได้ว่าเอาจริง ๆ กองทัพขาดแคลนอะไรบ้าง และจะได้ไปดูว่าขาดแคลนเพราะอะไร ทำไมต้องมาขอรับบริจาค ซึ่งมันจะได้ไปไล่ดูว่างานส่งกำลังบำรุงมีปัญหาไหม งานสรรพาวุธมีปัญหาไหม หรืองานยุทธการมีปัญหาอะไรไหม ทั้งสามกรมนี้เลย
.
อ้อ ฟัง ๆ ผมสองวันนี้จะเหมือนผมแบกกัน จอมพลัง เหมือนผมแบกกองทัพ แต่จริง ๆ มันมีคำถามใหญ่ที่ผมถามทุกครั้งก็คือเรื่องนี้แหละ ทำไมนโยบายกองทัพไม่มีการขอรับบริจาค แต่หน่วยทำหนังสือขอรับบริจาคฉ่ำมาก
.
ถ้าจะใช้ตรรกะว่า #กองทัพบก ส่วนกลางไม่มีนโนบาย แต่ นขต. ไปทำหนังสือขอบริจาคกันเอง อันนี้ส่วนกลางไม่รับรู้ เหตุผลแบบนี้ใช้ไม่ได้มาก ๆ ถ้า นขต. สามารถทำอะไรก็ได้ตามใจ แบบนี้เราควรยุบ บก.ทบ. ยุบ ศปก.ทบ. ยุบ ยก.ทบ. ทิ้งเลยดีกว่า แล้วให้ นขต. รบกันเอง เพราะพูดแบบนี้เหมือนส่วนกลางไม่ทำอะไรเลย ควบคุมอะไรไม่ได้เลย
.
นั่นแหละครับ ประเด็นมันคือตรงนี้แหละ เราจะแก้ปัญหาให้ยั่งยืนได้คือเราต้องวิ่งชนปัญหา ไม่ใช่บอกว่าเขาทำดีแล้วก็อย่าไปยุ่งเลย เพราะความคิดแบบนี้แหละประเทศไทยถึงไม่พัฒนา”
.
.

.
ผู้เลี้ยงปลาสลิดเดือดร้อนหนัก ปลาตายเกือบยกบ่อ 10 ราย สูญเงินกว่า 6 ล้าน วอนรัฐเร่งช่วยเหลือ
.
ผู้เลี้ยงปลาสลิดเดือดร้อนหนัก ปลาตายเกือบยกบ่อ 10 ราย สูญเงินกว่า 6 ล้าน วอนรัฐเร่งช่วยเหลือ
.
น.ส.ธิติทิพย์ ด้วงเงิน หัวหน้ากลุ่มพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการประมง สำนักงานประมงจังหวัดสมุทรสงคราม นายสามารถ ครึ้มสูง ประมงอำเภออัมพวา และ น.ส.มณัญญา เชื้อชายเลิศ หัวหน้าสำนักงานสภาเกษตรกรจังหวัดสมุทรสงคราม ได้ลงพื้นที่หมู่ 6 ต.แพรกหนามแดง อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม หลังได้รับแจ้งจากผู้เพาะเลี้ยงปลาสลิดว่า มีปลาตายเป็นจำนวนมาก จากการตรวจสอบพบบ่อเลี้ยงปลาสลิดของนายละม่อม ขุนนุช อายุ 63 ปี บนพื้นที่ 15 ไร่ มีปลาสลิดอายุประมาณ 2 เดือนลอยตายเป็นจำนวนมาก คาดประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ของบ่อเลี้ยง โดยนายละม่อมได้ใช้สวิงตักปลาที่ตายขึ้นมาฝังกลบบริเวณรอบบ่อ เพื่อไม่ให้เกิดเชื้อโรคแพร่กระจายและป้องกันน้ำเน่าเสีย
.
น.ส.ธิติทิพย์กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่าปลาสลิดที่ตายคาดว่าน่าจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นเชื้อที่มีอยู่ตามธรรมชาติ อีกทั้งช่วงที่ผ่านมาอากาศปิด ครึ้มฟ้าครึ้มฝน มีพายุหลายวัน ทำให้แดดส่องลงน้ำได้น้อย ปริมาณออกซิเจนในน้ำลดลง ค่าที่ตรวจวัดได้ต่ำกว่า 3 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งปกติควรมากกว่า 4 มิลลิกรัมต่อลิตร ส่งผลให้ปลาเกิดความเครียด ภูมิต้านทานลดลงและติดเชื้อได้ง่าย
.
นอกจากนี้ยังพบว่าน้ำในบ่อมีคุณภาพเสื่อมลง มีแก๊สแอมโมเนียระดับสูงและมีแพลงตอนหนาแน่นมาก เนื่องจากบริเวณก้นบ่อมีของเสียสะสม เมื่อสภาพอากาศปิดจะทำให้แก๊สพิษจากก้นบ่อลอยขึ้นมาสู่ผิวน้ำ ทำให้ปลายิ่งเครียดและตายมากขึ้น อีกทั้งจากการตรวจพบว่าที่ผิวหนังของปลามีเห็บระฆังเกาะ เป็นปรสิตที่ซ้ำเติมอาการของปลาที่อ่อนแออยู่แล้ว นอกจากนี้ยังมีปัญหาทางพันธุกรรม บางบ่อใช้พ่อแม่พันธุ์จากบ่อเดียวกันต่อเนื่องหลายรุ่นอาจทำให้เกิดเลือดชิด ทำให้ปลามีความต้านทานโรคลดลง ซึ่งข้อนี้เป็นเพียงการคาดการณ์เบื้องต้น
.
น.ส.ธิติทิพย์กล่าวว่า จากการติดตามพบว่าปลาเริ่มตายต่อเนื่องมาแล้ว 4-5 วัน และคาดว่าปลาที่เหลือในบ่อก็อาจตายหมดภายในไม่เกิน 5 วัน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าบ่อปลาสลิดในพื้นที่ใกล้เคียงได้รับผลกระทบแล้วประมาณสิบกว่าบ่อ ดังนั้น แนวทางการจัดการในระยะเร่งด่วนที่แนะนำคือ หากเริ่มพบปลาตายในระยะต้นให้รีบจับปลาที่เหลืออยู่ขึ้นมาเพื่อรักษาต้นทุนบางส่วน ปลาที่ตายแล้วให้นำไปฝังกลบโดยโรยปูนขาวฆ่าเชื้อ แล้วระบายน้ำออกจากบ่อทั้งหมด แต่ไม่ควรปล่อยน้ำเสียจากบ่อลงสู่คลองสาธารณะโดยตรงต้องฆ่าเชื้อในน้ำก่อน เนื่องจากเป็นแหล่งใช้น้ำร่วมกันของชุมชน หากก้นบ่อมีเลนมากให้ลอกเลนออก แต่ถ้ามีเลนน้อยให้โรยปูนขาวฆ่าเชื้อได้ แล้วตากบ่อให้แห้งจนดินแตกระแหงเพื่อฆ่าเชื้อและลดของเสียสะสม ก่อนจะเริ่มเตรียมบ่อใหม่และตรวจคุณภาพน้ำให้เหมาะสมก่อนการเลี้ยงรอบต่อไป
.
นายละม่อม ขุนนุช เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสลิด กล่าวว่า ตนเลี้ยงปลาสลิดบนพื้นที่ 15 ไร่ ใช้ระบบผันน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ปล่อยลูกพันธุ์ปลาสลิด จำนวน 150,000 ตัว เมื่อ 4 วันก่อน พบว่าปลาสลิดที่อายุประมาณ 2 เดือนเริ่มกินอาหารน้อยลงมีอาการซึมและทยอยลอยตายขึ้นมาทุกวัน โดยปลาที่ตายมีบาดแผลทั่วลำตัว ที่ผ่านมามักจะพบปลาตายลักษณะนี้ในช่วงฤดูหนาว แต่ปีนี้พบอาการดังกล่าวเร็วกว่าปกติและมีความรุนแรงมากกว่า และขณะนี้พบปลาตายแล้วกว่า 40% หรือประมาณ 60,000-70,000 ตัว และยังคงตายต่อเนื่องทุกวัน
.
นายละม่อมกล่าวด้วยว่า หากปลาสลิดเลี้ยงจนถึงกำหนดจับได้ประมาณ 8 เดือน คาดว่าจะได้ปลาประมาณ 52 ตัน จำหน่ายราคากิโลกรัมละ 90 บาท แต่จากปัญหาการตายครั้งนี้ทำให้ต้องสูญเสียต้นทุนเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม การลงทุนรอบนี้ใช้เงินไปแล้วกว่า 400,000 บาท หากปลายังตายต่อเนื่องคงไม่สามารถคืนทุนได้ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือเยียวยา อย่างน้อยเป็นค่าลูกพันธุ์ปลาก็ได้เพื่อให้มีเงินทุนหมุนเวียนและสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงปลาสลิดได้ต่อไป
.
สำหรับตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นพื้นที่ที่มีเกษตรกรเลี้ยงปลาสลิดกว่า 50 ราย รวมกว่า 100 บ่อ และปลาได้รับความเสียหายจากเชื้อแบคทีเรียแพร่ระบาดค่อยๆ ทยอยตายจนบางรายแทบจะตายยกหมดบ่อ ล่าสุดมีเกษตรกรผู้ได้รับความเดือดร้อนแล้ว 17 ราย รวมพื้นที่กว่า 160 ไร่ ประมาณความเสียหายรวมเกือบ 6 ล้านบาท
.

.
"วัสดุก่อสร้าง" ปี 69 แนวโน้มหด ราคาลดแต่ยังแพง แข่งเดือดรับสินค้าจีนทะลัก
.
SCB EIC ประเมินภาคก่อสร้างไทยปี 2569 ยังเผชิญแรงกดดันจากงบลงทุนรัฐลดลง–ตลาดอสังหาฯ หดตัว ขณะวัสดุก่อสร้างมีแนวโน้มราคาลดแต่ยังสูงกว่าก่อนปี 2565 แนะผู้ประกอบการเร่งปรับกลยุทธ์รับมือการแข่งขัน
.
ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยแนวโน้มภาคก่อสร้างและตลาดวัสดุก่อสร้างปี 2569 ว่ามูลค่ารวมอุตสาหกรรมก่อสร้างมีแนวโน้ม “ทรงตัว” อยู่ที่ราว 1.41 ล้านล้านบาท โดยแบ่งเป็นการก่อสร้างภาครัฐ 860,000 ล้านบาท ขยายตัวเพียง 1% จากปีก่อน ส่วนการก่อสร้างภาคเอกชนมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องเหลือ 551,000 ล้านบาท หดตัว 1% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
.
SCB EIC ระบุว่า การก่อสร้างภาครัฐปี 2569 ยังได้รับแรงกดดันจากงบลงทุนที่ลดลงราว 5% จากปีงบประมาณ 2568 และความไม่แน่นอนทางการเมือง อย่างไรก็ดี โครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ (Mega Project) ที่อยู่ระหว่างดำเนินการยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง และมีแนวโน้มเปิดประมูลโครงการใหม่เพิ่มเติมในปีหน้า
.
ส่วนภาคเอกชน ยังคงเผชิญภาวะชะลอตัว โดยเฉพาะกลุ่มอาคารที่อยู่อาศัยที่หดตัวตามตลาดอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่อาคารพาณิชย์มีแนวโน้มทรงตัว ทั้งนี้ พื้นที่ขออนุญาตก่อสร้างในปี 2024 ที่หดตัวแรงและคาดว่าจะลดลงต่อเนื่องในปี 2568 จะส่งผลให้กิจกรรมการก่อสร้างเอกชนชะลอลงในระยะถัดไป
ภาคก่อสร้างไทยยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนก่อสร้างที่ยังสูง แม้วัสดุบางประเภทมีแนวโน้มราคาลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับก่อนปี 2565 ขณะเดียวกันจำนวนแรงงานชาวเมียนมามีแนวโน้มลดลง อาจผลักดันให้ค่าแรงปรับสูงขึ้น อีกทั้งยังมีแรงกดดันจากเหตุแผ่นดินไหวที่ทำให้ผู้ว่าจ้างเข้มงวดมาตรฐานวัสดุก่อสร้างมากขึ้น
.
SCB EIC ยังชี้ว่าการแข่งขันด้านราคามีแนวโน้มรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจากผู้รับเหมาสัญชาติจีนที่เข้ามาในตลาดไทยมากขึ้น และใช้วัสดุก่อสร้างจากจีนในห่วงโซ่อุปทานจำนวนมาก ขณะเดียวกันภาคธุรกิจยังต้องเผชิญกับปัญหาโครงสร้างในระยะกลาง เช่น ภาวะ Oversupply ของอสังหาริมทรัพย์ ผลิตภาพ (Productivity) ภาคก่อสร้างที่ยังต่ำ และแรงกดดันจากการลดการปล่อยคาร์บอน
.
สำหรับแนวทางปรับตัวของผู้รับเหมา SCB EIC แนะให้
    •    ร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างรายได้ และหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง
    •    ควบคุมต้นทุนโดยทำสัญญาซื้อวัสดุก่อสร้างล่วงหน้าและบริหารแรงงานอย่างมีแผน
    •    บริหาร Backlog อย่างมีประสิทธิภาพ ปรับสัดส่วนงานรัฐและเอกชนให้เหมาะสม
    •    ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและสร้างความน่าเชื่อถือผ่านพันธมิตรต่างชาติ
    •    ลงทุนในเทคโนโลยีก่อสร้างเพื่อเพิ่มผลิตภาพและพัฒนาทักษะบุคลากร
    •    วางเป้าหมายลดการปล่อย Emission และร่วมมือกับผู้ผลิตวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่