
.
พริษฐ์ ชี้ กกต.อย่ายอมแพ้ ชี้ช่อง ทำประชามติล่วงหน้านอกเขต ผ่านระบบไปรษณีย์
.
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นาย
พริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า
.
”กกต. ยังไม่ควรยอมแพ้ หากต้องการอำนวยความสะดวกประชาชน : การออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขต ยังมีช่องให้ทำได้ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน
.
เมื่อวันก่อน ผมเห็นว่าทางผู้บริหาร กกต. ได้ออกมาแถลงข่าวว่า แม้รัฐบาลจะเดินหน้าให้มีการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ใน มี.ค. 2569 แต่ทาง กกต. จะไม่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกเขต เหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้านอกเขต
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากครับ
.
การออกเสียงหรือเลือกตั้ง “ล่วงหน้านอกเขต” คืออะไร?
การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต คือการเปิดโอกาสให้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่แตกต่างกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่จริงได้ 1 สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้ง (เช่น คนที่ทะเบียนบ้านอยู่สงขลา แต่อาศัยและทำงานอยู่ที่ กทม. สามารถเลือกได้ระหว่างเดินทางกลับไปใช้สิทธิที่สงขลาในวันเลือกตั้งจริง หรือ ใช้สิทธิ “เลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต” โดยการไปใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้งใน กทม. ที่ กกต. จัดให้ 1 สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้งจริง)
.
หากย้อนไปดูสถิติจากการเลือกตั้ง สส. 2566 เราจะเห็นว่ามีประชาชนที่ลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต สูงถึง 2.08 ล้านคน หรือ 5% ของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง
.
คำแถลงของ กกต. ว่าจะไม่มีการออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขต เป็นปัญหาอย่างไร?
หากต้องการอำนวยความสะดวกประชาชน ผมเห็นว่าเป้าหมายที่เราต้องยึดมั่น คือการทำให้ “การเลือกตั้ง สส. และ การออกเสียงประชามติ ใช้มาตรฐานเดียวกัน”
.
แต่สิ่งที่ กกต. แถลงเมื่อวาน กลับไม่เป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว เพราะ กกต. ประกาศว่า แม้จะมีการจัดการเลือกตั้งกับประชามติพร้อมกัน แต่กติกาเรื่องการออกเสียงล่วงหน้าจะไม่เหมือนกัน คือ
.
– ประชาชนเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้านอกเขต ได้
– ประชาชนออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกเขต ไม่ได้ (โดยออกเสียงนอกเขตได้เฉพาะในวันจริง)
.
สรุปให้เห็นภาพ คือ
.
– สมมุติว่าวันเลือกตั้งพร้อมประชามติคือวันที่ 29 มี.ค.
– สมมุติ มี นาย ก. ที่ทะเบียนบ้านอยู่สงขลา แต่อาศัยและทำงานอยู่ที่ กทม.
– ในวันที่ 22 มี.ค. นาย ก. ไปเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้า ที่หน่วยใน กทม. ได้ แต่ไม่สามารถออกเสียงประชามติในวันดังกล่าวได้
– ถ้า นาย ก. อยากจะออกเสียงประชามติ นาย ก. จะต้องไปที่หน่วยที่ กทม. (นอกเขต) หรือ ที่สงขลา (ในเขต) ในวันที่ 29 มี.ค. เท่านั้น
– ดังนั้น หาก นาย ก. ไม่สะดวกเดินทางกลับไปที่สงขลา ก็จะต้องไปที่หน่วยใน กทม. 2 ครั้ง คือ ไปเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 22 มี.ค. และ ไปออกเสียงประชามติอีกครั้งในวันที่ 29 มี.ค.
.
หากเดินต่อแบบนี้ กติกาดังกล่าวจะสร้างความไม่สะดวกและความสับสนมหาศาลให้กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
.
ผมเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าคนแบบ นาย ก. ที่ไม่สะดวกเดินทางกลับบ้าน และล็อกตารางไว้แล้วว่าจะไปใช้สิทธิทีเดียวที่ กทม. ในวันที่ 22 มี.ค. จะกลายเป็นได้เลือกตั้งเฉพาะ ส.ส. และสูญเสียสิทธิในการออกเสียงประชามติ (หากเขาไม่สะดวกกลับไปอีกรอบในวันที่ 29 มี.ค.)
.
ทำไม กกต. ถึงตัดสินใจออกแบบกติกาที่ไม่สะดวกและสับสนเช่นนี้?
ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับ กกต. ก็ต้องบอกว่าปัญหาบางส่วนเกิดขึ้นเพราะความไม่สอดคล้องกันของกฎหมาย พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ. ประชามติ
.
เพราะในขณะที่ พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. พูดถึงการรองรับ “การเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้านอกเขต” อย่างชัดเจน แต่ พ.ร.บ. ประชามติ ไม่มีการพูดถึง “การออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกเขต” อย่างชัดเจน โดยมีเฉพาะการพูดถึง การออกเสียงประชามติ ในวันจริงนอกเขต (มาตรา 41) และ การออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกราชอาณาจักร (มาตรา 53-57)
.
ในอนาคต ผมเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงทุกฉบับ (เช่น พ.ร.ป. เลือกตั้ง สส. / พ.ร.บ. เลือกตั้งท้องถิ่น / พ.ร.บ. ประชามติ) ให้สอดคล้องกันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยเวลาอันจำกัด การผลักดันการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้ผ่าน 2 สภา ทันก่อนการยุบสภาในอีกไม่เกิน 3 เดือน ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้
.
ทางออกที่ กกต. ทำได้ ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แต่ กกต. ยังไม่เลือกทำ
ผมเห็นว่ากลไกหนึ่งที่ กกต. ใช้เป็นทางออกได้ โดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย คือกลไก “การออกเสียงทางไปรษณีย์” ซึ่งเป็นกลไกที่ พ.ร.บ. ประชามติ รองรับไว้อยู่แล้ว (มาตรา 47-48) และยังให้อำนาจกับ กกต. เต็มที่ในการออกแบบ หลักเกณฑ์และวิธีการลงทะเบียน การลงคะแนนออกเสียง การนับคะแนนออกเสียง และการดำเนินการอื่นที่จำเป็น (มาตรา 47)
.
ข้อเสนอของผมรอบนี้ “ไม่ใช่” การให้ กกต. เปิดให้ประชาชนออกเสียงประชามติผ่านไปรษณีย์ได้แบบเต็มรูปแบบเหมือนในประเทศอื่น โดยให้ประชาชนขอรับซองและออกเสียงทางไปรษณีย์จากที่บ้านตนเอง เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวเป็นรูปแบบที่ประเทศเรายังไม่เคยทดลองมาก่อน (และคงต้องเตรียมการล่วงหน้านานกว่านี้) แถมยังเป็นรูปแบบที่ยังทำไม่ได้สำหรับการเลือกตั้ง สส. (ซึ่งจะทำให้ประชาชนสับสนเพราะจะทำให้การเลือกตั้ง สส. และการออกเสียงประชามติ กลายเป็นใช้คนละมาตรฐานกัน)
.
ข้อเสนอของผมสำหรับรอบนี้ คือการให้ กกต. เปิดให้ประชาชนออกเสียงประชามติผ่านไปรษณีย์ **โดยกำหนดไว้อย่างเจาะจง** ว่าหากใครต้องการใช้สิทธิออกเสียงทางไปรษณีย์ จะต้องทำตามขั้นตอน ดังนี้
.
1. ลงทะเบียนพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต
2. เดินทางมาที่หน่วยเลือกตั้งที่ตนตั้งใจจะมาใช้สิทธิเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต ในวันที่ 22 มี.ค.
3. รับซองออกเสียง ลงคะแนนเสียง และยื่นบัตรออกเสียงกลับคืนให้เจ้าหน้าที่ ณ หน่วยเลือกตั้งดังกล่าวในวันดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งบัตรออกเสียงไปที่หน่วยนับคะแนน “ทางไปรษณีย์” เป็นการต่อไป
.
หากเป็นเช่นนี้ นาย ก. (ที่ทะเบียบบ้านอยู่สงขลา แต่อาศัยและทำงานอยู่ที่ กทม.) ก็จะสามารถเดินทางไปที่หน่วยใน กทม. ในวันที่ 22 มี.ค. และใช้สิทธิเลือกตั้ง-ออกเสียงทั้ง 2 อย่างได้พร้อมกัน
.
1. เลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต (เหมือนเดิม)
2. ออกเสียงประชามติ (โดยเรียกการออกเสียงดังกล่าวว่าเป็นการออกเสียงทางไปรษณีย์)
.
ข้อเสนอนี้ เป็นข้อเสนอที่ผมเคยนำเสนอตัวแทน กกต. ในการประชุม กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา – แม้ตัวแทน กกต. วันนั้นรับปากว่าจะนำเรื่องไปพิจารณาต่อ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผู้บริหาร กกต. กลับยังไม่ตอบรับข้อเสนอดังกล่าว
.
อย่างไรก็ตาม เรายังมีเวลาเปลี่ยนใจ กกต.
.
ผมยืนยันว่าพวกเราทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ กกต. ต้องพยายามทำเต็มที่เพื่อ “อำนวยความสะดวก” ให้ประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งและออกเสียงประชามติ
.
ผมเข้าใจดีว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีส่วนสำคัญมาจากความไม่สอดคล้องกันของกฎหมาย แต่ผมเห็นว่าข้อเสนอของผมยังคงเป็นไปได้ตามกรอบของกฎหมายปัจจุบัน และผมยินดีเข้าไปหารือกับ กกต. เพิ่มเติม เพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของข้อเสนอดังกล่าว
.
หาก กกต. จะเอาความสะดวกของหน่วยงานเป็นตัวตั้ง ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ กกต. จะรีบตัดจบและบอกว่า ออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขตไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่เขียนไว้ชัดเจน
.
แต่หาก กกต. จะเอาความสะดวกของประชาชนเป็นตัวตั้ง ผมเห็นว่า กกต. ยังไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ แต่ควรเดินหน้าหาทางออกภายใต้กรอบของกฎหมาย เพื่อทำให้ประชาชน “ออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขตได้” เหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ส.”
.
https://www.facebook.com/paritw/posts/1372201070941341
.
.
โตโต้ ไขข้อสงสัยปมเสื้อเกราะ ศาลเคยพิพากษาให้เป็น‘ยุทธภัณฑ์’ ชี้ถึงเจตนาดีแต่เข้าข่ายผิดกม. https://www.matichon.co.th/politics/news_5436541
.
“โตโต้” ชี้ เสื้อเกราะที่เถียงกัน ศาลเคยพิพากษาให้เป็น “ยุทธภัณฑ์” แล้ว บอกถึงเจตนาดี แต่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ กางโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 หมื่น หน่วยงานรัฐที่รับโดนด้วย เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
.
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นาย
ปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.กทม. รองเลขาธิการพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่
กัน จอมพลัง จัดซื้อเสื้อเกราะให้กองทัพว่า
.
ประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าซื้อ เสื้อเกราะ ล็อกสเปกหรือไม่ เห็นถกกันอยู่แค่ตรงนั้น แต่จะทราบหรือไม่ว่าเสื้อเกราะถ้ามันกันกระสุนได้ (ไม่ว่ากระสุนชนิดใด) ศาลเคยพิพากษามาแล้วว่ามันก็คือ “ยุทธภัณฑ์” ไม่ว่าคุณจะซื้อแถวคลองหลอด หรือแอพพ์ส้ม แล้วมีแผ่นพลาสติกหรือแผ่นเหล็กบางๆ ไว้เล่น บีบีกัน หากกันกระสุนชนิดใดชนิดหนึ่งได้ก็ถือว่า เป็นยุทธภัณฑ์
.
ดังนั้นคนที่ซื้อหรือจัดหาที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ได้ทำผิดกฎหมายไปแล้ว ทั้งคนและหน่วยงานที่ขอสนับสนุนเองก็ด้วย
.
เรื่องนี้การที่มีบุคคลหรือกลุ่มเอกชนจัดหาเสื้อเกราะให้กองทัพหรือตำรวจ แม้มีเจตนาดี แต่เป็นการกระทำที่อยู่ในข่ายความผิดตามตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 18 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
ขณะเดียวกัน หน่วยงานของรัฐที่รับยุทธภัณฑ์จากเอกชน โดยไม่มีการตรวจสอบหรืออนุญาตตามระเบียบ ย่อมสะท้อนความบกพร่องในระบบบริหาร และอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
.
ความมั่นคงของชาติ ไม่ควรถูกทำให้กลายเป็นกิจกรรมการบริจาคยุทธภัณฑ์โดยบุคคลภายนอก รัฐเองต้องมีระบบจัดหาให้เพียงพอ มีการตรวจรับ และอนุมัติที่โปร่งใส เพื่อความปลอดภัยและความถูกต้องตามกฎหมาย
.
https://www.facebook.com/toto.piyarat/posts/1404812094342383?ref=embed_post
.
.
นาวิกโยธินตราด ตรึงกำลังเผชิญหน้า ทหารกัมพูชา ไม่ถอนกำลัง พ้นบ้านหนองรี ทหารไทยพร้อมปฏิบัติการ ตามคำสั่งทันที
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_10001724
.
ตราด ฉก.นย. ตรึงกำลัง เผชิญหน้า ทหารกัมพูชา ที่บ้าน 3 หลัง พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งทันที ที่บ้าน 3 หลัง เตรียมปักธงชาติไทย เหตุ เขมร ล้ำแดนไทย ปี’29 ไม่ยอมถอนกำลัง ออกไป
.
1 พ.ย. 68 – น.อ.
ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ด้านบ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ว่า
.
การดำเนินการถอนกำลังทหารระหว่างไทย และกัมพูชาที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามกัน ต้องดำเนินการถอนกำลัง และอาวุธหลักออกจากพื้นที่ชายแดนนั้น ในพื้นที่บ้าน 3 หลัง บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์นี้
.
ซึ่งพื้นที่บ้าน 3 หลัง กัมพูชาเป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามา พื้นที่จ.ตราด มานานแล้ว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ยอมรับ แต่เมื่อหน่วยฯ ได้เข้าไปเจรจา ขอให้ถอนกำลังออกไป แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอม และยืนยันทำตามคำสั่งรัฐบาล ที่จะให้มีการชี้แนวเขตแดนก่อน
JJNY : พริษฐ์ชี้ กกต.อย่ายอมแพ้│โตโต้ไขข้อสงสัยปมเสื้อเกราะ │ตรึงกำลังเผชิญหน้าทหารกัมพูชา│ยูเอ็นลดระดับภารกิจโคลอมเบีย
https://www.matichon.co.th/politics/news_5436699
.
พริษฐ์ ชี้ กกต.อย่ายอมแพ้ ชี้ช่อง ทำประชามติล่วงหน้านอกเขต ผ่านระบบไปรษณีย์
.
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า
.
”กกต. ยังไม่ควรยอมแพ้ หากต้องการอำนวยความสะดวกประชาชน : การออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขต ยังมีช่องให้ทำได้ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน
.
เมื่อวันก่อน ผมเห็นว่าทางผู้บริหาร กกต. ได้ออกมาแถลงข่าวว่า แม้รัฐบาลจะเดินหน้าให้มีการทำประชามติพร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ใน มี.ค. 2569 แต่ทาง กกต. จะไม่จัดให้มีการออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกเขต เหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้านอกเขต
.
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากครับ
.
การออกเสียงหรือเลือกตั้ง “ล่วงหน้านอกเขต” คืออะไร?
การเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต คือการเปิดโอกาสให้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่แตกต่างกับที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในพื้นที่ที่ตนอาศัยอยู่จริงได้ 1 สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้ง (เช่น คนที่ทะเบียนบ้านอยู่สงขลา แต่อาศัยและทำงานอยู่ที่ กทม. สามารถเลือกได้ระหว่างเดินทางกลับไปใช้สิทธิที่สงขลาในวันเลือกตั้งจริง หรือ ใช้สิทธิ “เลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต” โดยการไปใช้สิทธิที่หน่วยเลือกตั้งใน กทม. ที่ กกต. จัดให้ 1 สัปดาห์ก่อนวันเลือกตั้งจริง)
.
หากย้อนไปดูสถิติจากการเลือกตั้ง สส. 2566 เราจะเห็นว่ามีประชาชนที่ลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขต สูงถึง 2.08 ล้านคน หรือ 5% ของผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง
.
คำแถลงของ กกต. ว่าจะไม่มีการออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขต เป็นปัญหาอย่างไร?
หากต้องการอำนวยความสะดวกประชาชน ผมเห็นว่าเป้าหมายที่เราต้องยึดมั่น คือการทำให้ “การเลือกตั้ง สส. และ การออกเสียงประชามติ ใช้มาตรฐานเดียวกัน”
.
แต่สิ่งที่ กกต. แถลงเมื่อวาน กลับไม่เป็นไปตามเป้าหมายดังกล่าว เพราะ กกต. ประกาศว่า แม้จะมีการจัดการเลือกตั้งกับประชามติพร้อมกัน แต่กติกาเรื่องการออกเสียงล่วงหน้าจะไม่เหมือนกัน คือ
.
– ประชาชนเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้านอกเขต ได้
– ประชาชนออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกเขต ไม่ได้ (โดยออกเสียงนอกเขตได้เฉพาะในวันจริง)
.
สรุปให้เห็นภาพ คือ
.
– สมมุติว่าวันเลือกตั้งพร้อมประชามติคือวันที่ 29 มี.ค.
– สมมุติ มี นาย ก. ที่ทะเบียนบ้านอยู่สงขลา แต่อาศัยและทำงานอยู่ที่ กทม.
– ในวันที่ 22 มี.ค. นาย ก. ไปเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้า ที่หน่วยใน กทม. ได้ แต่ไม่สามารถออกเสียงประชามติในวันดังกล่าวได้
– ถ้า นาย ก. อยากจะออกเสียงประชามติ นาย ก. จะต้องไปที่หน่วยที่ กทม. (นอกเขต) หรือ ที่สงขลา (ในเขต) ในวันที่ 29 มี.ค. เท่านั้น
– ดังนั้น หาก นาย ก. ไม่สะดวกเดินทางกลับไปที่สงขลา ก็จะต้องไปที่หน่วยใน กทม. 2 ครั้ง คือ ไปเลือกตั้ง ส.ส. ในวันที่ 22 มี.ค. และ ไปออกเสียงประชามติอีกครั้งในวันที่ 29 มี.ค.
.
หากเดินต่อแบบนี้ กติกาดังกล่าวจะสร้างความไม่สะดวกและความสับสนมหาศาลให้กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
.
ผมเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงว่าคนแบบ นาย ก. ที่ไม่สะดวกเดินทางกลับบ้าน และล็อกตารางไว้แล้วว่าจะไปใช้สิทธิทีเดียวที่ กทม. ในวันที่ 22 มี.ค. จะกลายเป็นได้เลือกตั้งเฉพาะ ส.ส. และสูญเสียสิทธิในการออกเสียงประชามติ (หากเขาไม่สะดวกกลับไปอีกรอบในวันที่ 29 มี.ค.)
.
ทำไม กกต. ถึงตัดสินใจออกแบบกติกาที่ไม่สะดวกและสับสนเช่นนี้?
ถ้าจะให้ความเป็นธรรมกับ กกต. ก็ต้องบอกว่าปัญหาบางส่วนเกิดขึ้นเพราะความไม่สอดคล้องกันของกฎหมาย พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. และ พ.ร.บ. ประชามติ
.
เพราะในขณะที่ พ.ร.ป. เลือกตั้ง ส.ส. พูดถึงการรองรับ “การเลือกตั้ง ส.ส. ล่วงหน้านอกเขต” อย่างชัดเจน แต่ พ.ร.บ. ประชามติ ไม่มีการพูดถึง “การออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกเขต” อย่างชัดเจน โดยมีเฉพาะการพูดถึง การออกเสียงประชามติ ในวันจริงนอกเขต (มาตรา 41) และ การออกเสียงประชามติ ล่วงหน้านอกราชอาณาจักร (มาตรา 53-57)
.
ในอนาคต ผมเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการออกเสียงทุกฉบับ (เช่น พ.ร.ป. เลือกตั้ง สส. / พ.ร.บ. เลือกตั้งท้องถิ่น / พ.ร.บ. ประชามติ) ให้สอดคล้องกันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่ด้วยเวลาอันจำกัด การผลักดันการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้ผ่าน 2 สภา ทันก่อนการยุบสภาในอีกไม่เกิน 3 เดือน ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่เป็นไปได้
.
ทางออกที่ กกต. ทำได้ ภายใต้กฎหมายปัจจุบัน แต่ กกต. ยังไม่เลือกทำ
ผมเห็นว่ากลไกหนึ่งที่ กกต. ใช้เป็นทางออกได้ โดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย คือกลไก “การออกเสียงทางไปรษณีย์” ซึ่งเป็นกลไกที่ พ.ร.บ. ประชามติ รองรับไว้อยู่แล้ว (มาตรา 47-48) และยังให้อำนาจกับ กกต. เต็มที่ในการออกแบบ หลักเกณฑ์และวิธีการลงทะเบียน การลงคะแนนออกเสียง การนับคะแนนออกเสียง และการดำเนินการอื่นที่จำเป็น (มาตรา 47)
.
ข้อเสนอของผมรอบนี้ “ไม่ใช่” การให้ กกต. เปิดให้ประชาชนออกเสียงประชามติผ่านไปรษณีย์ได้แบบเต็มรูปแบบเหมือนในประเทศอื่น โดยให้ประชาชนขอรับซองและออกเสียงทางไปรษณีย์จากที่บ้านตนเอง เนื่องจากรูปแบบดังกล่าวเป็นรูปแบบที่ประเทศเรายังไม่เคยทดลองมาก่อน (และคงต้องเตรียมการล่วงหน้านานกว่านี้) แถมยังเป็นรูปแบบที่ยังทำไม่ได้สำหรับการเลือกตั้ง สส. (ซึ่งจะทำให้ประชาชนสับสนเพราะจะทำให้การเลือกตั้ง สส. และการออกเสียงประชามติ กลายเป็นใช้คนละมาตรฐานกัน)
.
ข้อเสนอของผมสำหรับรอบนี้ คือการให้ กกต. เปิดให้ประชาชนออกเสียงประชามติผ่านไปรษณีย์ **โดยกำหนดไว้อย่างเจาะจง** ว่าหากใครต้องการใช้สิทธิออกเสียงทางไปรษณีย์ จะต้องทำตามขั้นตอน ดังนี้
.
1. ลงทะเบียนพร้อมกับการเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต
2. เดินทางมาที่หน่วยเลือกตั้งที่ตนตั้งใจจะมาใช้สิทธิเลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต ในวันที่ 22 มี.ค.
3. รับซองออกเสียง ลงคะแนนเสียง และยื่นบัตรออกเสียงกลับคืนให้เจ้าหน้าที่ ณ หน่วยเลือกตั้งดังกล่าวในวันดังกล่าว เพื่อให้เจ้าหน้าที่ส่งบัตรออกเสียงไปที่หน่วยนับคะแนน “ทางไปรษณีย์” เป็นการต่อไป
.
หากเป็นเช่นนี้ นาย ก. (ที่ทะเบียบบ้านอยู่สงขลา แต่อาศัยและทำงานอยู่ที่ กทม.) ก็จะสามารถเดินทางไปที่หน่วยใน กทม. ในวันที่ 22 มี.ค. และใช้สิทธิเลือกตั้ง-ออกเสียงทั้ง 2 อย่างได้พร้อมกัน
.
1. เลือกตั้ง สส. ล่วงหน้านอกเขต (เหมือนเดิม)
2. ออกเสียงประชามติ (โดยเรียกการออกเสียงดังกล่าวว่าเป็นการออกเสียงทางไปรษณีย์)
.
ข้อเสนอนี้ เป็นข้อเสนอที่ผมเคยนำเสนอตัวแทน กกต. ในการประชุม กมธ. พัฒนาการเมืองฯ เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ที่ผ่านมา – แม้ตัวแทน กกต. วันนั้นรับปากว่าจะนำเรื่องไปพิจารณาต่อ แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ผู้บริหาร กกต. กลับยังไม่ตอบรับข้อเสนอดังกล่าว
.
อย่างไรก็ตาม เรายังมีเวลาเปลี่ยนใจ กกต.
.
ผมยืนยันว่าพวกเราทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ กกต. ต้องพยายามทำเต็มที่เพื่อ “อำนวยความสะดวก” ให้ประชาชนในการใช้สิทธิเลือกตั้งและออกเสียงประชามติ
.
ผมเข้าใจดีว่า ปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นมีส่วนสำคัญมาจากความไม่สอดคล้องกันของกฎหมาย แต่ผมเห็นว่าข้อเสนอของผมยังคงเป็นไปได้ตามกรอบของกฎหมายปัจจุบัน และผมยินดีเข้าไปหารือกับ กกต. เพิ่มเติม เพื่อร่วมกันพิจารณารายละเอียดของข้อเสนอดังกล่าว
.
หาก กกต. จะเอาความสะดวกของหน่วยงานเป็นตัวตั้ง ย่อมเป็นเรื่องง่ายที่ กกต. จะรีบตัดจบและบอกว่า ออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขตไม่ได้ เพราะกฎหมายไม่เขียนไว้ชัดเจน
.
แต่หาก กกต. จะเอาความสะดวกของประชาชนเป็นตัวตั้ง ผมเห็นว่า กกต. ยังไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ แต่ควรเดินหน้าหาทางออกภายใต้กรอบของกฎหมาย เพื่อทำให้ประชาชน “ออกเสียงประชามติล่วงหน้านอกเขตได้” เหมือนกับการเลือกตั้ง ส.ส.”
.
https://www.facebook.com/paritw/posts/1372201070941341
.
.
โตโต้ ไขข้อสงสัยปมเสื้อเกราะ ศาลเคยพิพากษาให้เป็น‘ยุทธภัณฑ์’ ชี้ถึงเจตนาดีแต่เข้าข่ายผิดกม. https://www.matichon.co.th/politics/news_5436541
.
“โตโต้” ชี้ เสื้อเกราะที่เถียงกัน ศาลเคยพิพากษาให้เป็น “ยุทธภัณฑ์” แล้ว บอกถึงเจตนาดี แต่เข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ กางโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 หมื่น หน่วยงานรัฐที่รับโดนด้วย เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
.
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน นายปิยรัฐ จงเทพ ส.ส.กทม. รองเลขาธิการพรรคประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงกรณีที่กัน จอมพลัง จัดซื้อเสื้อเกราะให้กองทัพว่า
.
ประเด็นที่กำลังถกเถียงกันอยู่ว่าซื้อ เสื้อเกราะ ล็อกสเปกหรือไม่ เห็นถกกันอยู่แค่ตรงนั้น แต่จะทราบหรือไม่ว่าเสื้อเกราะถ้ามันกันกระสุนได้ (ไม่ว่ากระสุนชนิดใด) ศาลเคยพิพากษามาแล้วว่ามันก็คือ “ยุทธภัณฑ์” ไม่ว่าคุณจะซื้อแถวคลองหลอด หรือแอพพ์ส้ม แล้วมีแผ่นพลาสติกหรือแผ่นเหล็กบางๆ ไว้เล่น บีบีกัน หากกันกระสุนชนิดใดชนิดหนึ่งได้ก็ถือว่า เป็นยุทธภัณฑ์
.
ดังนั้นคนที่ซื้อหรือจัดหาที่เป็นข่าวอยู่ตอนนี้ได้ทำผิดกฎหมายไปแล้ว ทั้งคนและหน่วยงานที่ขอสนับสนุนเองก็ด้วย
.
เรื่องนี้การที่มีบุคคลหรือกลุ่มเอกชนจัดหาเสื้อเกราะให้กองทัพหรือตำรวจ แม้มีเจตนาดี แต่เป็นการกระทำที่อยู่ในข่ายความผิดตามตาม พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 18 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
.
ขณะเดียวกัน หน่วยงานของรัฐที่รับยุทธภัณฑ์จากเอกชน โดยไม่มีการตรวจสอบหรืออนุญาตตามระเบียบ ย่อมสะท้อนความบกพร่องในระบบบริหาร และอาจเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย
.
ความมั่นคงของชาติ ไม่ควรถูกทำให้กลายเป็นกิจกรรมการบริจาคยุทธภัณฑ์โดยบุคคลภายนอก รัฐเองต้องมีระบบจัดหาให้เพียงพอ มีการตรวจรับ และอนุมัติที่โปร่งใส เพื่อความปลอดภัยและความถูกต้องตามกฎหมาย
.
https://www.facebook.com/toto.piyarat/posts/1404812094342383?ref=embed_post
.
.
นาวิกโยธินตราด ตรึงกำลังเผชิญหน้า ทหารกัมพูชา ไม่ถอนกำลัง พ้นบ้านหนองรี ทหารไทยพร้อมปฏิบัติการ ตามคำสั่งทันที
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_10001724
.
ตราด ฉก.นย. ตรึงกำลัง เผชิญหน้า ทหารกัมพูชา ที่บ้าน 3 หลัง พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งทันที ที่บ้าน 3 หลัง เตรียมปักธงชาติไทย เหตุ เขมร ล้ำแดนไทย ปี’29 ไม่ยอมถอนกำลัง ออกไป
.
1 พ.ย. 68 – น.อ.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เปิดเผยถึงสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชา ด้านบ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ว่า
.
การดำเนินการถอนกำลังทหารระหว่างไทย และกัมพูชาที่ทั้งสองฝ่ายได้ลงนามกัน ต้องดำเนินการถอนกำลัง และอาวุธหลักออกจากพื้นที่ชายแดนนั้น ในพื้นที่บ้าน 3 หลัง บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมือง จ.ตราด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ สถานการณ์นี้
.
ซึ่งพื้นที่บ้าน 3 หลัง กัมพูชาเป็นฝ่ายบุกรุกเข้ามา พื้นที่จ.ตราด มานานแล้ว ซึ่งฝ่ายกัมพูชาก็ยอมรับ แต่เมื่อหน่วยฯ ได้เข้าไปเจรจา ขอให้ถอนกำลังออกไป แต่ฝ่ายกัมพูชาไม่ยินยอม และยืนยันทำตามคำสั่งรัฐบาล ที่จะให้มีการชี้แนวเขตแดนก่อน