รวยพอจะรับความเสี่ยงเองหรือยัง...หรือยังต้องให้ “ประกัน” รับแทน ?
หลายคนมักจะมองว่า “ประกัน” เป็นสิ่งเลวร้าย ต้องจ่ายทุกปี แถมบางทีก็อาจจะไม่ได้ใช้
แต่วันนี้พี่ทุยไปฟังคนรวยระดับพันล้านมานั่งคุยกันบนเวที Bitkub summit แล้วเจอสิ่งที่น่าสนใจคือ “แทบไม่มีใครซื้อประกันเลย” แต่นั่นเป็นเพราะ “รวยมากพอ” จนรับความเสี่ยงเองได้ทั้งหมดไงล่ะ
📌 ยิ่งเงินน้อย ยิ่งต้องบริหารให้เยอะ
ทีนี้ พี่ทุยก็อยากชวนทุกคนคุย ว่า ณ เวลานี้ “เรารวยพอจะ รับความเสี่ยง ด้วยตัวเองหรือยัง ?”
เพราะถ้ายังไม่รวย...ยังไม่มั่นคง ยังมีภาระอยู่ ประกันนี่แหละครับ คือสิ่งที่ควรมีที่สุดเลย หลายคนอาจมองว่าประกันเป็นของฟุ่มเฟือย จ่ายไปทุกปีแต่ไม่ได้ใช้สักที (ถามจริงใครซื้อประกันแล้วอยากใช้บ้าง 555)
แน่นอนครับ เพราะ “ประกัน” มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้บ่อย ๆ อยู่แล้ว หน้าที่ของมันไม่ใช่ “สร้างกำไร” แต่คือ “รับความเสี่ยงแทนเรา” ประกันไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้น...แต่มันช่วยไม่ให้เราจนลง หรือพูดง่าย ๆ คือ “ไม่ได้มีไว้ใช้...แต่มีไว้เผื่อใช้”
ลองคิดดูครับ ถ้าวันหนึ่งเราป่วยหนัก ค่ารักษาพยาบาลหลักแสน หลักล้าน หรือถ้าจู่ ๆ ตุยเย่ไป หนี้สินที่ตัวเองก่อไว้จะไปไหน ค่าเทอมลูกใครจะจ่าย ? ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำให้ทรัพย์สินเงินทองหายวับได้ หรืออย่างเลวร้ายก็คือกระทบคนข้างหลังไปด้วย
ในขณะเดียวกันถ้าเรามี “ประกัน” เรื่องเหล่านั้นก็จะหมดห่วง เพราะบริษัทประกันจะเป็นคนมาช่วยจ่ายแทนเรา แต่เรารวยมาก ๆ มากเสียจนรับแรงกระแทกทุกอย่างเองได้ ประกันก็อาจจะไม่ได้จำเป็นอย่างที่พวกเศรษฐีเค้าว่าก็ได้
📌แล้วคนรวยเขาไม่ซื้อประกันหรอ ?
หลายคนอาจเถียงพี่ทุยในใจว่า เอ้า ! ก็เห็นคนรวยหลายคนก็ซื้อประกันเยอะแยะไป ทำไมพี่ทุยถึงบอกคนรวยไม่ซื้อ ? ใช่ครับ เขาซื้อเหมือนกัน แต่คนรวยไม่ได้ซื้อ “เพราะกลัวความเสี่ยง” แบบเรา เขาซื้อเพราะใช้ประกันเป็น “เครื่องมือบริหารภาษี และส่งต่อทรัพย์สิน” ต่างหาก
อย่างในต่างประเทศ เขาใช้สิ่งที่เรียกว่า Private Placement Life Insurance (PPLI) คือการจ่ายค่าเบี้ยประกันด้วยสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน หุ้น หรือคริปโต แทนเงินสด เพื่อลดภาษีมรดกเวลาส่งต่อให้ลูกหลาน
หรือบางคนใช้กรมธรรม์ประกันชีวิตมูลค่าสูงไป “ค้ำประกันกับธนาคาร” แล้วกู้เงินออกมาใช้ได้ถึง 90% ของมูลค่ากรมธรรม์ โดยยังคงความคุ้มครองชีวิตไว้เหมือนเดิม เรียกได้ว่า...สำหรับคนรวย “ประกัน” จึงไม่ใช่แค่เครื่องป้องกันความเสี่ยง แต่คือ “สินทรัพย์ทางการเงิน” ที่หมุนใช้ได้เหมือนเงินสดนั่นเอง
📌แล้วคนไม่รวยแบบเราควรเริ่มจากตรงไหน ?
ไม่ต้องซื้อประกันทุกอย่างในโลกหรอกครับ เริ่มจากพื้นฐานก่อน แล้วค่อยขยับไปทีละขั้น อันดับแรก... แยกให้ออกก่อนว่า “ประกันแต่ละแบบมันทำหน้าที่อะไร” และ “เหมาะกับใคร” อย่าหลับหูหลับตาซื้อแค่เพราะเขาบอกว่าดี เอาง่าย ๆ แบบนี้เลยครับ
- ประกันชีวิต ถ้าเราไม่อยู่ “คนข้างหลังได้เงิน” เหมาะกับคนมีหนี้ มีครอบครัว ที่มีห่วงคนข้าง หรืออยากส่งต่อมรดก
- ประกันสุขภาพ “บริษัทประกันจ่ายค่ารักษาแทนเรา” เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีสวัสดิการจากออฟฟิศ
- ประกันโรคร้ายแรง “ตรวจพบ รับเงินก้อนทันที” ตัวช่วยให้มีเงินก้อนไปใช้ยามเจ็บป่วย เพราะเวลาป่วยหนักจริง ๆ ค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแค่ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล แต่อาจมีค่าอาหารเฉพาะทาง หรือการหยุดงานยาวที่ทำให้รายได้หายไป
- ประกันสะสมทรัพย์ ตัวนี้มีความเป็นประกันน้อยที่สุด “เน้นช่วยออมระยะยาว” มีดีเรื่องลดหย่อนภาษีบ้าง และช่วยสร้างวินัยในการออม
- ประกันบำนาญ ตัวนี้ดีสำหรับ “คนวางแผนเกษียณ” จ่ายวันนี้ รับเงินรายปีตอนแก่ พร้อมคุ้มครองชีวิตไปด้วย เรียกว่าได้ “ซื้อ 1 แถม 2” ทั้งความอุ่นใจและเงินใช้ยามแก่
สุดท้ายแล้ว... “ประกัน” ไม่ได้มีไว้ให้คนรวย แต่มีไว้ให้ “คนที่ยังไม่รวยพอจะรับความเสี่ยงเองได้” มันไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้นในวันนี้ แต่มันช่วยให้เราไม่ล้มจนหมดตัวในวันที่ไม่คาดคิด
POV เรายังไม่รวยพอ แต่ก็ยังทำประกันสุขภาพไว้ เผื่ออายุมากกว่านี้ เค้าไม่รับทำ จ่ายเบี้ยทิ้งไปทุกปี ไม่เคยใช้บริการ
แต่ประกันสะสมทรัพย์ไม่สนเลย ผลตอบแทนต่ำเตี้ย
CR
https://www.facebook.com/share/1Js9yjHhQb/?mibextid=wwXIfr
รวยพอจะรับความเสี่ยงเองหรือยัง...หรือยังต้องให้ “ประกัน” รับแทน ?
หลายคนมักจะมองว่า “ประกัน” เป็นสิ่งเลวร้าย ต้องจ่ายทุกปี แถมบางทีก็อาจจะไม่ได้ใช้
แต่วันนี้พี่ทุยไปฟังคนรวยระดับพันล้านมานั่งคุยกันบนเวที Bitkub summit แล้วเจอสิ่งที่น่าสนใจคือ “แทบไม่มีใครซื้อประกันเลย” แต่นั่นเป็นเพราะ “รวยมากพอ” จนรับความเสี่ยงเองได้ทั้งหมดไงล่ะ
📌 ยิ่งเงินน้อย ยิ่งต้องบริหารให้เยอะ
ทีนี้ พี่ทุยก็อยากชวนทุกคนคุย ว่า ณ เวลานี้ “เรารวยพอจะ รับความเสี่ยง ด้วยตัวเองหรือยัง ?”
เพราะถ้ายังไม่รวย...ยังไม่มั่นคง ยังมีภาระอยู่ ประกันนี่แหละครับ คือสิ่งที่ควรมีที่สุดเลย หลายคนอาจมองว่าประกันเป็นของฟุ่มเฟือย จ่ายไปทุกปีแต่ไม่ได้ใช้สักที (ถามจริงใครซื้อประกันแล้วอยากใช้บ้าง 555)
แน่นอนครับ เพราะ “ประกัน” มันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้บ่อย ๆ อยู่แล้ว หน้าที่ของมันไม่ใช่ “สร้างกำไร” แต่คือ “รับความเสี่ยงแทนเรา” ประกันไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้น...แต่มันช่วยไม่ให้เราจนลง หรือพูดง่าย ๆ คือ “ไม่ได้มีไว้ใช้...แต่มีไว้เผื่อใช้”
ลองคิดดูครับ ถ้าวันหนึ่งเราป่วยหนัก ค่ารักษาพยาบาลหลักแสน หลักล้าน หรือถ้าจู่ ๆ ตุยเย่ไป หนี้สินที่ตัวเองก่อไว้จะไปไหน ค่าเทอมลูกใครจะจ่าย ? ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวก็สามารถทำให้ทรัพย์สินเงินทองหายวับได้ หรืออย่างเลวร้ายก็คือกระทบคนข้างหลังไปด้วย
ในขณะเดียวกันถ้าเรามี “ประกัน” เรื่องเหล่านั้นก็จะหมดห่วง เพราะบริษัทประกันจะเป็นคนมาช่วยจ่ายแทนเรา แต่เรารวยมาก ๆ มากเสียจนรับแรงกระแทกทุกอย่างเองได้ ประกันก็อาจจะไม่ได้จำเป็นอย่างที่พวกเศรษฐีเค้าว่าก็ได้
📌แล้วคนรวยเขาไม่ซื้อประกันหรอ ?
หลายคนอาจเถียงพี่ทุยในใจว่า เอ้า ! ก็เห็นคนรวยหลายคนก็ซื้อประกันเยอะแยะไป ทำไมพี่ทุยถึงบอกคนรวยไม่ซื้อ ? ใช่ครับ เขาซื้อเหมือนกัน แต่คนรวยไม่ได้ซื้อ “เพราะกลัวความเสี่ยง” แบบเรา เขาซื้อเพราะใช้ประกันเป็น “เครื่องมือบริหารภาษี และส่งต่อทรัพย์สิน” ต่างหาก
อย่างในต่างประเทศ เขาใช้สิ่งที่เรียกว่า Private Placement Life Insurance (PPLI) คือการจ่ายค่าเบี้ยประกันด้วยสินทรัพย์ เช่น ที่ดิน หุ้น หรือคริปโต แทนเงินสด เพื่อลดภาษีมรดกเวลาส่งต่อให้ลูกหลาน
หรือบางคนใช้กรมธรรม์ประกันชีวิตมูลค่าสูงไป “ค้ำประกันกับธนาคาร” แล้วกู้เงินออกมาใช้ได้ถึง 90% ของมูลค่ากรมธรรม์ โดยยังคงความคุ้มครองชีวิตไว้เหมือนเดิม เรียกได้ว่า...สำหรับคนรวย “ประกัน” จึงไม่ใช่แค่เครื่องป้องกันความเสี่ยง แต่คือ “สินทรัพย์ทางการเงิน” ที่หมุนใช้ได้เหมือนเงินสดนั่นเอง
📌แล้วคนไม่รวยแบบเราควรเริ่มจากตรงไหน ?
ไม่ต้องซื้อประกันทุกอย่างในโลกหรอกครับ เริ่มจากพื้นฐานก่อน แล้วค่อยขยับไปทีละขั้น อันดับแรก... แยกให้ออกก่อนว่า “ประกันแต่ละแบบมันทำหน้าที่อะไร” และ “เหมาะกับใคร” อย่าหลับหูหลับตาซื้อแค่เพราะเขาบอกว่าดี เอาง่าย ๆ แบบนี้เลยครับ
- ประกันชีวิต ถ้าเราไม่อยู่ “คนข้างหลังได้เงิน” เหมาะกับคนมีหนี้ มีครอบครัว ที่มีห่วงคนข้าง หรืออยากส่งต่อมรดก
- ประกันสุขภาพ “บริษัทประกันจ่ายค่ารักษาแทนเรา” เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะคนที่ไม่มีสวัสดิการจากออฟฟิศ
- ประกันโรคร้ายแรง “ตรวจพบ รับเงินก้อนทันที” ตัวช่วยให้มีเงินก้อนไปใช้ยามเจ็บป่วย เพราะเวลาป่วยหนักจริง ๆ ค่าใช้จ่ายไม่ได้มีแค่ค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล แต่อาจมีค่าอาหารเฉพาะทาง หรือการหยุดงานยาวที่ทำให้รายได้หายไป
- ประกันสะสมทรัพย์ ตัวนี้มีความเป็นประกันน้อยที่สุด “เน้นช่วยออมระยะยาว” มีดีเรื่องลดหย่อนภาษีบ้าง และช่วยสร้างวินัยในการออม
- ประกันบำนาญ ตัวนี้ดีสำหรับ “คนวางแผนเกษียณ” จ่ายวันนี้ รับเงินรายปีตอนแก่ พร้อมคุ้มครองชีวิตไปด้วย เรียกว่าได้ “ซื้อ 1 แถม 2” ทั้งความอุ่นใจและเงินใช้ยามแก่
สุดท้ายแล้ว... “ประกัน” ไม่ได้มีไว้ให้คนรวย แต่มีไว้ให้ “คนที่ยังไม่รวยพอจะรับความเสี่ยงเองได้” มันไม่ได้ทำให้เรารวยขึ้นในวันนี้ แต่มันช่วยให้เราไม่ล้มจนหมดตัวในวันที่ไม่คาดคิด
POV เรายังไม่รวยพอ แต่ก็ยังทำประกันสุขภาพไว้ เผื่ออายุมากกว่านี้ เค้าไม่รับทำ จ่ายเบี้ยทิ้งไปทุกปี ไม่เคยใช้บริการ
แต่ประกันสะสมทรัพย์ไม่สนเลย ผลตอบแทนต่ำเตี้ย
CR https://www.facebook.com/share/1Js9yjHhQb/?mibextid=wwXIfr