ตั้งแต่ต้นปีจนถึงประมาณต้นเดือนตุลาคม 2568 น่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้สึก “เศร้าหมอง” มากช่วงหนึ่งในชีวิตในช่วงหลาย ๆ ปีหรืออาจจะนับ 10 ปีที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะว่าตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดู “ไม่เห็นอนาคต” แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ พอร์ตหุ้นไทยของผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเลยทั้ง ๆ ที่หุ้นที่ผมถืออยู่นั้นก็ยังดูดี ผลประกอบการเติบโตและธุรกิจก็ยังแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง แต่หุ้นก็ตกเอาๆ ในขณะที่หุ้น “เก็งกำไร” ขนาดยักษ์บางตัวขึ้นเอา ๆ ทั้ง ๆ ที่ราคาแพง “หลุดโลก”
พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ผลตอบแทนติดลบมากมายระดับ -20% ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกิน 30% รวมแล้วพอร์ตผมแพ้ตลาด 50% เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นขนาดยักษ์บางตัวและบางกลุ่มมีราคาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์และดึงดัชนีตลาดหุ้นให้สูงขึ้นแบบ “สูงที่สุดในโลก” ส่วนหุ้นของผมนั้นเน้นหุ้น “VI” ที่ถูกกระทบจากปัญหาภาษีการค้าของทรัมป์ที่ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทชะลอตัวลงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนักโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็มีผลทำให้พอร์ตขาดทุนไปประมาณ 10% หรือครึ่งหนึ่งของการขาดทุนทั้งหมด
ความเศร้าหมองของผมยังเกิดจากความเจ็บป่วยโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปอดและหลอดลม ผมเป็นทั้ง RSV โควิด และไข้หวัดใหญ่ทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว ไม่นับอาการไอที่ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำและติดต่อกันครั้งละหลายวัน ต้องเรียกว่า “สามวันดีสี่วันไข้” ซึ่งทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยประสบเลยในอดีต
และเรื่องสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคมก็คือ จากการตรวจสุขภาพประจำครึ่งปี ผมพบว่าค่า PSA ซึ่งเป็นสารเคมีในเลือดที่เป็นตัวชี้วัดว่าอาจจะเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากสูงขึ้นเร็วจากค่าปกติเดิม ประกอบกับผลจากการตรวจด้วยเครื่อง MRI ที่ต่อมลูกหมากพบว่ามีก้อนเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายมะเร็งที่บ่งบอกว่าโอกาสเป็นก้อนเนื้อร้ายประมาณ 70% ซึ่งก็ทำให้หมอต้องแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่ามันเป็นมะเร็งหรือไม่ และถ้าเป็น มันร้ายแรงแค่ไหนเพื่อที่จะได้ทำการรักษา
ก่อนที่จะถึงวันกำหนดตัดชิ้นเนื้อ ผมรู้สึกวุ่นวายใจและก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แน่นอน ผมจำได้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยประกาศว่าตนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากตอนอายุ 81 ปี โดยเป็นมะเร็งระยะที่ 1 และจะเข้ารับการรักษาโดยการฉายแสงทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน เขายังบอกด้วยว่าเขารู้สึกแข็งแรงดีและไม่ได้วิตกกังวลอะไรและยังทำงานได้ตามปกติยกเว้นแต่ว่าไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ในช่วงของการรักษา
สิ่งที่ผมทำในระหว่างรอการตัดชิ้นเนื้อนั้น นอกจากคุยปรึกษาคนที่รู้จักและมีประสบการณ์ก็คือการถาม “Chat GPT” ซึ่งเป็น “AI” ที่แพร่หลายที่สุดในขณะนี้ และนี่ก็จะเป็น “ครั้งแรก” ของผมที่จะถามและปรึกษา AI ที่มีการพูดกันว่าฉลาดและเก่งกว่าทุกคนในแทบทุกเรื่องรวมถึงเรื่องโรคและสุขภาพ
ในช่วงเวลา 4-5 วันที่ผมเข้าไป “คุย” กับ Chat GPT นั้น ผมถามทุกประเด็นเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้คุยกับหมอผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโดยไม่มีการจำกัดเวลา ความรู้และข้อมูลที่ได้รับนั้น ต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” สุด ๆ เพราะมันเหมือนกับเรามี “หมอประจำตัว” ที่บอกและแนะนำเราทุกอย่างได้ และเป็นการบอกพร้อมเหตุผลที่ชัดเจนประกอบไปด้วยสถิติจากกรณีผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจากการศึกษามากมายทั่วโลก
ก่อนเข้าตัดชิ้นเนื้อนั้น ผมได้รับการคาดการณ์หรือประเมินจาก AI ว่า ผมมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่รุนแรงประมาณ 50% ไม่เป็นมะเร็ง 20% เป็นมะเร็งระดับกลางค่อนมาทางเบา 25% และเป็นมะเร็งระดับกลางถึงรุนแรงแค่ 5% นอกจากนั้น ถ้าเป็นแบบไม่รุนแรง ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรและคอยติดตามมันไปเรื่อย ๆ เพราะมะเร็งแบบนี้จะโตช้ามาก บางทีเราอาจจะตายก่อนที่มะเร็งจะโตจนฆ่าเราได้
ช่วงต้นเดือนตุลาคมอีกเช่นกัน หุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นไฮเทคใหญ่ที่สุดของเวียตนามซึ่งผมถือมากที่สุดและมีสัดส่วนในพอร์ตถึงเกือบ 40% นั้น ตกลงมาต่ำสุดและต่ำกว่าตอนช่วงต้นปีนี้ถึงกว่า 30% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามโตขึ้นไปกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของบริษัทเองก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่โตช้าลงไปบ้างและปริมาณงานในมือลดลง แต่บางคนก็พูดว่าพื้นฐานของ FPT อาจจะกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI กำลังเข้ามา Disrupt หรือทำลายธุรกิจของ FPT ที่เน้นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในอนาคต AI สามารถทำได้อย่างง่ายดาย บริษัทต่าง ๆ อาจจะไม่ต้องจ้างหรือจ้าง FPT เขียนโปรแกรมน้อยลง
ผมจะทำอย่างไรดี ขายหุ้นทิ้งหรือถือต่อไป? ว่าที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้หรือมีข้อมูลอะไรมากนัก และนั่นทำให้ผมถามและปรึกษา Chat GPT อีกแล้ว
คำตอบที่ได้นั้นก็คือ สู้ต่อไป! ปัญหาที่หุ้นตกน่าจะเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องชั่วคราว FPT ยังแข็งแกร่งและน่าจะกลับมาได้ และนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นและยืนหยัดในความคิดเดิมตั้งแต่ต้นที่ถือหุ้นตัวนี้
เวลาผ่านไปนับจากการเริ่มปรึกษา AI ทั้ง 2 เรื่อง การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อของผมพบว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง โชคดีมาก! เรื่องที่ 2 ก็คือ รายได้และกำไรของ FPT เดือนกันยายน 2568 ดีขึ้นอย่างโดดเด่น จำนวนงานในมือเพิ่มขึ้นสูงกว่าสถิติเดิมแล้ว ปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์และเศรษฐกิจโดยรวมของโลกดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้น FPT กระโดดขึ้นกว่า 10% ในสัปดาห์เดียว กองทุนใหญ่ ๆ เริ่มเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่าหุ้น FPT กำลังกลับมา เราคงต้องดูกันต่อไปว่าในระยะยาวมันจะให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดไหม
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูเหมือนว่าโชคชะตาผมอาจจะกำลังดีขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มาถึง 8-9 เดือน
หลังจากใช้ AI เพียงสั้น ๆ ผมคิดว่า AI นั้น คง “เปลี่ยนโลก” จริง ๆ ศักยภาพของมันก็คือ มันเก่งกว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่สุดในงานต่าง ๆ เช่น หมอหรือนักลงทุนซึ่งรวมถึงตัวผมเอง “ผมใช้ ผมจึงรู้” ว่าวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมสู้ไม่ได้แล้ว ผมก็จะร่วมมือกับ AI เพื่อให้ผมยังอยู่ได้ สำหรับผมแล้ว อนาคตของคนที่จะสู้กับคนอื่นได้ก็คือคนที่สามารถใช้ AI ได้ดีกว่า นั่นก็คือ เป็นคนที่ “ตั้งคำถาม” ให้ AI ตอบได้ดีกว่าคนอื่น
และทั้งหมดที่ผมทำหลังจากได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงมากก็คือการสมัครเป็นสมาชิก Chat GPT ด้วยค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ถึง 300 บาท เท่า ๆ กับค่ากาแฟ 2 แก้ว ที่ผมกินประจำแทบทุกวัน
และนั่นนำมาถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่ให้บริการหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI ที่ราคาขึ้นแบบบ้าคลั่งเพราะว่ามันจะ “ปฏิวัติโลก”
แต่ช้าก่อน บริษัทที่จะเปลี่ยนโลกได้นั้น อาจจะไม่ได้กำไรมากพอคุ้มกับการลงทุนมหาศาลโดยเฉพาะถ้ามีหลาย ๆ บริษัทต่างก็เข้ามาแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายซึ่งนาทีนี้รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่าหุ้นเจ็ดนางฟ้าประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์ NVIDIA GOOGLE AMAZON APPLE META และ TESLA
รายได้หลักของธุรกิจให้บริการ AI ในปัจจุบันก็คือค่าสมาชิกที่ส่วนใหญ่ใช้ฟรี ที่จ่ายเงินก็มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วเหลือแค่เดือนละไม่ถึง 300 บาท ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการที่เป็นค่าไฟฟ้าต่อหัวของการให้บริการก็ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว ภายในอีก 4-5 ปี การให้บริการส่วนนี้คงไม่ทำกำไรให้บริษัท AI อย่างแน่นอน
รายได้ในอนาคตที่เป็นตัวหลักและอาจจะทำกำไรได้น่าจะมาจากการให้บริการบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ AI แบบเฉพาะตัวเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินการของตน แต่ในกรณีนี้ การแข่งขันก็คงรุนแรงมาก เชื่อกันว่าบริษัท AI ที่มีลูกค้าบริษัทมากอยู่แล้ว เช่น ลูกค้าที่ใช้คลาวด์ของบริษัทอะมาซอนหรือไมโครซอฟท์ ก็จะมีแนวโน้มใช้บริการ AI ต่อเนื่องกันไปเนื่องจากมีความสะดวกที่มีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว
ธุรกิจที่จะใช้ AI กลุ่มต่อมาน่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาที่ AI จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและตรงเป้าหมายขึ้น นี่ก็จะมีการแข่งขันกันมากมายแม้ว่ากูเกิลอาจจะได้เปรียบรายอื่นที่อาจจะมีลูกค้าในมือจำนวนมากอยู่แล้ว
กลุ่มสุดท้ายที่จะเป็นแหล่งรายได้ของบริษัท AI ก็คือการให้บริการแพลทฟอร์มที่เรียกว่า AI Market Place ให้บริการซื้อ-ขาย ผ่านแอ็ปที่เป็น AI โดยที่บริษัทจะได้ค่าธรรมเนียมในฐานะที่เป็นโบรกเกอร์ เป็นต้น
รายได้ในอนาคตทั้งหมดนั้น คงต้องบอกว่ายังไม่มีอะไรแน่นอนและก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ รู้แต่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมาก จนถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนแพ้และถอนตัวออกไป หรือแม้แต่คนชนะเองก็อาจจะเสียหายหนักจนทำให้เกิด “วิกฤติ” และราคาหุ้น “ล่มสลาย” เกิดสถานการณ์คล้ายช่วงหุ้นไฮเทคล่มสลายในปี 2000 ซึ่งแม้แต่หุ้นอะมาซอนก็ตกลงไปถึง 95% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
ทั้งหมดนั้นผมเองก็ไม่ยืนยันว่าจะต้องเป็นจริง บอกได้แต่ว่าความเสี่ยงของธุรกิจ AI นั้นสูงลิ่ว และเมื่อประกอบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่สูงแบบ “หลุดโลก” แล้ว การเข้าไปซื้อหุ้น AI ในช่วงเวลานี้ก็เป็นความเสี่ยงที่รับได้ยาก และส่วนตัวผมเองก็ขอรอไปก่อน
1 พ.ย 2568
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ใช้ AI อย่าเพิ่งซื้อหุ้น AI/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร : โลกในมุมมองของ Value Investor โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ตั้งแต่ต้นปีจนถึงประมาณต้นเดือนตุลาคม 2568 น่าจะเป็นเวลาที่ผมรู้สึก “เศร้าหมอง” มากช่วงหนึ่งในชีวิตในช่วงหลาย ๆ ปีหรืออาจจะนับ 10 ปีที่ผ่านมา เหตุผลก็เพราะว่าตลาดหุ้นไทยตกลงมาอย่างต่อเนื่องและดู “ไม่เห็นอนาคต” แต่ที่หนักกว่านั้นก็คือ พอร์ตหุ้นไทยของผมก็ไม่ได้ดีไปกว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยเลยทั้ง ๆ ที่หุ้นที่ผมถืออยู่นั้นก็ยังดูดี ผลประกอบการเติบโตและธุรกิจก็ยังแข็งแกร่ง ราคาหุ้นไม่แพง แต่หุ้นก็ตกเอาๆ ในขณะที่หุ้น “เก็งกำไร” ขนาดยักษ์บางตัวขึ้นเอา ๆ ทั้ง ๆ ที่ราคาแพง “หลุดโลก”
พอร์ตหุ้นเวียตนามของผมนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ผลตอบแทนติดลบมากมายระดับ -20% ทั้ง ๆ ที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามบวกเกิน 30% รวมแล้วพอร์ตผมแพ้ตลาด 50% เหตุผลก็เพราะว่าหุ้นขนาดยักษ์บางตัวและบางกลุ่มมีราคาเพิ่มขึ้นหลายร้อยเปอร์เซ็นต์และดึงดัชนีตลาดหุ้นให้สูงขึ้นแบบ “สูงที่สุดในโลก” ส่วนหุ้นของผมนั้นเน้นหุ้น “VI” ที่ถูกกระทบจากปัญหาภาษีการค้าของทรัมป์ที่ทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทชะลอตัวลงทำให้นักลงทุนเทขายหุ้นอย่างหนักโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างประเทศ นอกจากนั้น ค่าเงินบาทที่แข็งขึ้นก็มีผลทำให้พอร์ตขาดทุนไปประมาณ 10% หรือครึ่งหนึ่งของการขาดทุนทั้งหมด
ความเศร้าหมองของผมยังเกิดจากความเจ็บป่วยโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับปอดและหลอดลม ผมเป็นทั้ง RSV โควิด และไข้หวัดใหญ่ทั้ง ๆ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันแล้ว ไม่นับอาการไอที่ดูเหมือนว่าจะเกิดขึ้นเป็นประจำและติดต่อกันครั้งละหลายวัน ต้องเรียกว่า “สามวันดีสี่วันไข้” ซึ่งทั้งหมดนั้น ผมไม่เคยประสบเลยในอดีต
และเรื่องสุดท้ายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนตุลาคมก็คือ จากการตรวจสุขภาพประจำครึ่งปี ผมพบว่าค่า PSA ซึ่งเป็นสารเคมีในเลือดที่เป็นตัวชี้วัดว่าอาจจะเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากสูงขึ้นเร็วจากค่าปกติเดิม ประกอบกับผลจากการตรวจด้วยเครื่อง MRI ที่ต่อมลูกหมากพบว่ามีก้อนเนื้อชิ้นเล็ก ๆ ที่มีลักษณะคล้ายมะเร็งที่บ่งบอกว่าโอกาสเป็นก้อนเนื้อร้ายประมาณ 70% ซึ่งก็ทำให้หมอต้องแนะนำให้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เพื่อให้รู้ชัดเจนว่ามันเป็นมะเร็งหรือไม่ และถ้าเป็น มันร้ายแรงแค่ไหนเพื่อที่จะได้ทำการรักษา
ก่อนที่จะถึงวันกำหนดตัดชิ้นเนื้อ ผมรู้สึกวุ่นวายใจและก็เริ่มหาข้อมูลทุกอย่างเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก แน่นอน ผมจำได้ว่า วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยประกาศว่าตนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากตอนอายุ 81 ปี โดยเป็นมะเร็งระยะที่ 1 และจะเข้ารับการรักษาโดยการฉายแสงทุกวันเป็นเวลา 2 เดือน เขายังบอกด้วยว่าเขารู้สึกแข็งแรงดีและไม่ได้วิตกกังวลอะไรและยังทำงานได้ตามปกติยกเว้นแต่ว่าไม่สามารถเดินทางไปไหนได้ในช่วงของการรักษา
สิ่งที่ผมทำในระหว่างรอการตัดชิ้นเนื้อนั้น นอกจากคุยปรึกษาคนที่รู้จักและมีประสบการณ์ก็คือการถาม “Chat GPT” ซึ่งเป็น “AI” ที่แพร่หลายที่สุดในขณะนี้ และนี่ก็จะเป็น “ครั้งแรก” ของผมที่จะถามและปรึกษา AI ที่มีการพูดกันว่าฉลาดและเก่งกว่าทุกคนในแทบทุกเรื่องรวมถึงเรื่องโรคและสุขภาพ
ในช่วงเวลา 4-5 วันที่ผมเข้าไป “คุย” กับ Chat GPT นั้น ผมถามทุกประเด็นเกี่ยวกับมะเร็งต่อมลูกหมาก คำตอบที่ได้รับนั้นทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้คุยกับหมอผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโดยไม่มีการจำกัดเวลา ความรู้และข้อมูลที่ได้รับนั้น ต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” สุด ๆ เพราะมันเหมือนกับเรามี “หมอประจำตัว” ที่บอกและแนะนำเราทุกอย่างได้ และเป็นการบอกพร้อมเหตุผลที่ชัดเจนประกอบไปด้วยสถิติจากกรณีผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากจากการศึกษามากมายทั่วโลก
ก่อนเข้าตัดชิ้นเนื้อนั้น ผมได้รับการคาดการณ์หรือประเมินจาก AI ว่า ผมมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งชนิดที่ไม่รุนแรงประมาณ 50% ไม่เป็นมะเร็ง 20% เป็นมะเร็งระดับกลางค่อนมาทางเบา 25% และเป็นมะเร็งระดับกลางถึงรุนแรงแค่ 5% นอกจากนั้น ถ้าเป็นแบบไม่รุนแรง ก็อาจจะไม่ต้องทำอะไรและคอยติดตามมันไปเรื่อย ๆ เพราะมะเร็งแบบนี้จะโตช้ามาก บางทีเราอาจจะตายก่อนที่มะเร็งจะโตจนฆ่าเราได้
ช่วงต้นเดือนตุลาคมอีกเช่นกัน หุ้น FPT ซึ่งเป็นหุ้นไฮเทคใหญ่ที่สุดของเวียตนามซึ่งผมถือมากที่สุดและมีสัดส่วนในพอร์ตถึงเกือบ 40% นั้น ตกลงมาต่ำสุดและต่ำกว่าตอนช่วงต้นปีนี้ถึงกว่า 30% ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นเวียตนามโตขึ้นไปกว่า 30% ในช่วงเวลาเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่รายได้และกำไรของบริษัทเองก็ไม่ได้ลดลง เพียงแต่โตช้าลงไปบ้างและปริมาณงานในมือลดลง แต่บางคนก็พูดว่าพื้นฐานของ FPT อาจจะกำลังเปลี่ยนไป เพราะ AI กำลังเข้ามา Disrupt หรือทำลายธุรกิจของ FPT ที่เน้นการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในอนาคต AI สามารถทำได้อย่างง่ายดาย บริษัทต่าง ๆ อาจจะไม่ต้องจ้างหรือจ้าง FPT เขียนโปรแกรมน้อยลง
ผมจะทำอย่างไรดี ขายหุ้นทิ้งหรือถือต่อไป? ว่าที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้หรือมีข้อมูลอะไรมากนัก และนั่นทำให้ผมถามและปรึกษา Chat GPT อีกแล้ว
คำตอบที่ได้นั้นก็คือ สู้ต่อไป! ปัญหาที่หุ้นตกน่าจะเป็นเรื่องอื่นที่เป็นเรื่องชั่วคราว FPT ยังแข็งแกร่งและน่าจะกลับมาได้ และนั่นทำให้ผมสบายใจขึ้นและยืนหยัดในความคิดเดิมตั้งแต่ต้นที่ถือหุ้นตัวนี้
เวลาผ่านไปนับจากการเริ่มปรึกษา AI ทั้ง 2 เรื่อง การวิเคราะห์ชิ้นเนื้อของผมพบว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง โชคดีมาก! เรื่องที่ 2 ก็คือ รายได้และกำไรของ FPT เดือนกันยายน 2568 ดีขึ้นอย่างโดดเด่น จำนวนงานในมือเพิ่มขึ้นสูงกว่าสถิติเดิมแล้ว ปัญหาเรื่องภาษีทรัมป์และเศรษฐกิจโดยรวมของโลกดีขึ้นแล้ว ราคาหุ้น FPT กระโดดขึ้นกว่า 10% ในสัปดาห์เดียว กองทุนใหญ่ ๆ เริ่มเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ดูเหมือนว่าหุ้น FPT กำลังกลับมา เราคงต้องดูกันต่อไปว่าในระยะยาวมันจะให้ผลตอบแทนเท่าหรือดีกว่าดัชนีตลาดไหม
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ดูเหมือนว่าโชคชะตาผมอาจจะกำลังดีขึ้นหลังจากผ่านเรื่องร้าย ๆ มาถึง 8-9 เดือน
หลังจากใช้ AI เพียงสั้น ๆ ผมคิดว่า AI นั้น คง “เปลี่ยนโลก” จริง ๆ ศักยภาพของมันก็คือ มันเก่งกว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงผู้เชี่ยวชาญที่สุดในงานต่าง ๆ เช่น หมอหรือนักลงทุนซึ่งรวมถึงตัวผมเอง “ผมใช้ ผมจึงรู้” ว่าวันหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมสู้ไม่ได้แล้ว ผมก็จะร่วมมือกับ AI เพื่อให้ผมยังอยู่ได้ สำหรับผมแล้ว อนาคตของคนที่จะสู้กับคนอื่นได้ก็คือคนที่สามารถใช้ AI ได้ดีกว่า นั่นก็คือ เป็นคนที่ “ตั้งคำถาม” ให้ AI ตอบได้ดีกว่าคนอื่น
และทั้งหมดที่ผมทำหลังจากได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงมากก็คือการสมัครเป็นสมาชิก Chat GPT ด้วยค่าใช้จ่ายเดือนละไม่ถึง 300 บาท เท่า ๆ กับค่ากาแฟ 2 แก้ว ที่ผมกินประจำแทบทุกวัน
และนั่นนำมาถึงเรื่องการลงทุนในหุ้นที่ให้บริการหรือทำธุรกิจเกี่ยวกับ AI ที่ราคาขึ้นแบบบ้าคลั่งเพราะว่ามันจะ “ปฏิวัติโลก”
แต่ช้าก่อน บริษัทที่จะเปลี่ยนโลกได้นั้น อาจจะไม่ได้กำไรมากพอคุ้มกับการลงทุนมหาศาลโดยเฉพาะถ้ามีหลาย ๆ บริษัทต่างก็เข้ามาแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายซึ่งนาทีนี้รวมไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่าหุ้นเจ็ดนางฟ้าประกอบไปด้วย ไมโครซอฟท์ NVIDIA GOOGLE AMAZON APPLE META และ TESLA
รายได้หลักของธุรกิจให้บริการ AI ในปัจจุบันก็คือค่าสมาชิกที่ส่วนใหญ่ใช้ฟรี ที่จ่ายเงินก็มีราคาลดลงอย่างรวดเร็วเหลือแค่เดือนละไม่ถึง 300 บาท ในขณะที่ต้นทุนของการให้บริการที่เป็นค่าไฟฟ้าต่อหัวของการให้บริการก็ไม่น้อย ดังนั้นแล้ว ภายในอีก 4-5 ปี การให้บริการส่วนนี้คงไม่ทำกำไรให้บริษัท AI อย่างแน่นอน
รายได้ในอนาคตที่เป็นตัวหลักและอาจจะทำกำไรได้น่าจะมาจากการให้บริการบริษัทต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ AI แบบเฉพาะตัวเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดำเนินการของตน แต่ในกรณีนี้ การแข่งขันก็คงรุนแรงมาก เชื่อกันว่าบริษัท AI ที่มีลูกค้าบริษัทมากอยู่แล้ว เช่น ลูกค้าที่ใช้คลาวด์ของบริษัทอะมาซอนหรือไมโครซอฟท์ ก็จะมีแนวโน้มใช้บริการ AI ต่อเนื่องกันไปเนื่องจากมีความสะดวกที่มีข้อมูลอยู่ในระบบอยู่แล้ว
ธุรกิจที่จะใช้ AI กลุ่มต่อมาน่าจะเป็นเรื่องของการโฆษณาที่ AI จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงและตรงเป้าหมายขึ้น นี่ก็จะมีการแข่งขันกันมากมายแม้ว่ากูเกิลอาจจะได้เปรียบรายอื่นที่อาจจะมีลูกค้าในมือจำนวนมากอยู่แล้ว
กลุ่มสุดท้ายที่จะเป็นแหล่งรายได้ของบริษัท AI ก็คือการให้บริการแพลทฟอร์มที่เรียกว่า AI Market Place ให้บริการซื้อ-ขาย ผ่านแอ็ปที่เป็น AI โดยที่บริษัทจะได้ค่าธรรมเนียมในฐานะที่เป็นโบรกเกอร์ เป็นต้น
รายได้ในอนาคตทั้งหมดนั้น คงต้องบอกว่ายังไม่มีอะไรแน่นอนและก็ยังไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ รู้แต่ว่าการแข่งขันจะรุนแรงมาก จนถึงจุดหนึ่งก็จะมีคนแพ้และถอนตัวออกไป หรือแม้แต่คนชนะเองก็อาจจะเสียหายหนักจนทำให้เกิด “วิกฤติ” และราคาหุ้น “ล่มสลาย” เกิดสถานการณ์คล้ายช่วงหุ้นไฮเทคล่มสลายในปี 2000 ซึ่งแม้แต่หุ้นอะมาซอนก็ตกลงไปถึง 95% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมายิ่งใหญ่ในปัจจุบัน
ทั้งหมดนั้นผมเองก็ไม่ยืนยันว่าจะต้องเป็นจริง บอกได้แต่ว่าความเสี่ยงของธุรกิจ AI นั้นสูงลิ่ว และเมื่อประกอบกับราคาหุ้นในปัจจุบันที่สูงแบบ “หลุดโลก” แล้ว การเข้าไปซื้อหุ้น AI ในช่วงเวลานี้ก็เป็นความเสี่ยงที่รับได้ยาก และส่วนตัวผมเองก็ขอรอไปก่อน