
- เกิดคำถามตั้งแต่ดูจบไปเป็นเดือนแล้วว่า “ ถ้าหากมารู้ทีหลังว่าพ่อแม่ของเราเป็นฆาตกรจะรู้สึกและทำอย่างไร ? นี่แหล่ะที่มันเป็นอะไรที่ท้าทายต่อมศีลธรรมของความเป็นมนุษย์เชิงจิตวิทยาอยู่ไม่น้อยในสังคมที่ให้ความสำคัญกับระบบอุปถัมภ์ค้ำชูอาวุโสด้วยความศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้านเรา ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ต้องรีรอให้เสียเวลาว่าจะต้องทำอย่างไร ? แต่นี้เป็นคนที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่แบเบาะนี่แหล่ะที่มันลำบากชิหายที่ต้องเลือกระหว่างความกตัญญูกับความถูกต้องในเมื่อบุพการีที่เราเคารพกลายเป็น Status อื่นที่เราไม่คาดคิดมาก่อน

- แล้วหนังก็ได้ทิ้งคำถามที่กล่าวไปตั้งแต่เปิดตัวมาเห็นคนจำนวนหนึ่งยืนไว้อาลัยคนในรูปที่วางเรียงหน้ากระดานหลายภาพโดยมีกลุ่มลูก

ล่าวคำอาลัยก่อนที่กลุ่มนักดนตรีจะทำการบรรเลงดนตรีตามลำดับปุ๊ปนอกจากค่อย ๆ ตรัสรู้ในเวลาถัดมาว่าในเมืองเงียบสงบแห่งนี้ได้เคยเกิดเรื่องอะไรพอสังเขปแล้วในหัวยังนึกถึงมังงะอย่าง Jojo ในภาค 4 ที่ว่าด้วยการเกิดคดีฆาตกรรมในเมืองเล็ก ๆ แล้วที่สำคัญคือฆาตกรยังลอยหน้าชายตาอยู่ในเมืองที่เกิดเรื่องเหมือนกันที่ทำให้ผมสัมผัสถึงความหวาดกลัวจากเรื่องเล่าก็ดี จากความไม่ไว้วางใจจากบรรยากาศ Slow ชวน Burn ผ่านสภาพบ้านเมืองก็ดี กระทั่ง Activity ของตัวละครก็ดีโดยเฉพาะตัวละครลูกชายที่เริ่มสังเกตุอะไรบางอย่างในตัวพ่อจนเกิดความสงสัยเป็นระยะว่าจะใช่อย่างที่เอ๊ะหรือเปล่า ? ในเมื่อฆาตกรยังไม่เกมส์ คดียังไม่ปิดกลับเล่นหายศีรษะไปดื้อ ๆ ไลน์ไม่ตอบไปซะอย่างงั้น ? เป็นใคร ๆ ก็ต้องรู้สึกหวั่น ๆ กันบ้างล่ะวะ

- ระหว่างดูสังเกตุเห็นได้ว่าอารมณ์ของหนังไม่ได้นำเสนอภาพของความรุนแรงในแง่ของการ Actions ถึงกับเอาเป็นเอาตุยให้เห็นจะ ๆ อย่างสาแก่ใจ ซึ่งตรงจุดนี้ก็ทราบแก่ใจได้อยู่ด้วยเพราะ Timeline ในหนังมันเล่าในช่วงที่ตัวฆาตกรวางมือจากการฆ่ามานานเท่าไหร่ไม่รู้แล้วหันมาใช้ชีวิตตามปกติที่เราไม่ต้องเสียเวลาเสี่ยงทายให้เสียเวลาว่าใครคือฆาตกร ? ก็คือ พ่อของเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นหัวหน้าลูกเสือชุมชนที่ใช้ชีวิตกับครอบครัวสุขสันต์และเป็นที่รักนับถือแก่คนในเมืองแห่งนี้ว่าเป็นคนดีศรีชุมชนไปเป็นที่เรียบร้อย

- ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 49 นาที ที่หนังได้แบ่งครึ่งหน้ากระดาษออกเป็น 2 Parts โดย Part แรก จะเป็นหน้าที่ของตัวพ่อในการเปิด Floor หลังจากผ่านพ้นช่วงพิธีไว้อาลัยในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งในเรื่องส่วนตัวรวมถึงคดีฆาตกรรมที่เป็นปมสำคัญสับเปลี่ยนไปมาท่ามกลางกลิ่นอายความเป็น Coming of Age ผ่านตัวลูกชายจนเกิดอาการคล้ายจะวูบหลับเพราะมันไหลไปช้าเอาเรื่องที่ยังสาละวนอยู่แต่ชีวิตประจำวันไปเรื่อยแต่ยังประคองสติได้อยู่เพราะกำลังสนใจในรูปของคดีที่มาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ อาทิ รูปถ่าย หรือ ข่าวบนหนังสือพิมพ์ ที่ฆาตกรได้เคยก่อไว้และที่สำคัญคือการถ้ำมองของลูกชายนี่แหล่ะคือทีเด็ดที่ทำให้ Story น่าสนใจขึ้นมาว่าตัวพ่อจะปล่อยไก่ Come Back วงการกันตอนไหน ?

- จนมาถึง Part ตัวลูกชายรับไม้ต่อที่ล่อเข้าไปกลางเรื่องเท่านั้นแหล่ะปมที่ปูมาและเก็บอมพะนำอยู่ค่อย ๆ เผยความนัยใจออกมาให้รับทราบถึงความสะพรึงที่ซ่อนเร้นอย่างกระอักกระอ่วนที่กำลังกัดเซาะกร่อนทำลายศีลธรรมอันดีของตัวละครไปอย่างเลือดเย็นจนนำไปสู่บทสรุปก่อนจากที่สร้างมวลสะเทือนทางความรู้สึกในระดับ Play Safe และความหมายในระดับซึมลึกใช่ย่อยจนได้ยินเสียงคำถามตอนต้นดังออกมาในหัวอีกรอบจนลืมจุดที่เอ๊ะบางอย่างไปก่อนหน้านี้ซะสนิทเพราะเก็บสารที่จับได้ไปคิดทบทวนเป็นกรณีศึกษาซะก่อนถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหาของการก่อเหตุอาชญากรรมในสังคมปัจจุบันที่สามารถเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวในครอบครัวได้ทุกเมื่อที่ใจตนเองเริ่มรู้สึกตัวว่ากูไม่ไหวกับทุกสิ่งที่แบกแล้วนี่แหล่ะจะกลายเป็นขุมพลังที่รอวันปะทุออกมา

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.173 The Clovehitch Killer (2018) : พ่อดีย์เด่น เผลอตัว ปลุกสันดานฆาตกร
- เกิดคำถามตั้งแต่ดูจบไปเป็นเดือนแล้วว่า “ ถ้าหากมารู้ทีหลังว่าพ่อแม่ของเราเป็นฆาตกรจะรู้สึกและทำอย่างไร ? นี่แหล่ะที่มันเป็นอะไรที่ท้าทายต่อมศีลธรรมของความเป็นมนุษย์เชิงจิตวิทยาอยู่ไม่น้อยในสังคมที่ให้ความสำคัญกับระบบอุปถัมภ์ค้ำชูอาวุโสด้วยความศักดิ์สิทธิ์อย่างบ้านเรา ถ้าเป็นคนอื่นคงไม่ต้องรีรอให้เสียเวลาว่าจะต้องทำอย่างไร ? แต่นี้เป็นคนที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่แบเบาะนี่แหล่ะที่มันลำบากชิหายที่ต้องเลือกระหว่างความกตัญญูกับความถูกต้องในเมื่อบุพการีที่เราเคารพกลายเป็น Status อื่นที่เราไม่คาดคิดมาก่อน
- แล้วหนังก็ได้ทิ้งคำถามที่กล่าวไปตั้งแต่เปิดตัวมาเห็นคนจำนวนหนึ่งยืนไว้อาลัยคนในรูปที่วางเรียงหน้ากระดานหลายภาพโดยมีกลุ่มลูก
- ระหว่างดูสังเกตุเห็นได้ว่าอารมณ์ของหนังไม่ได้นำเสนอภาพของความรุนแรงในแง่ของการ Actions ถึงกับเอาเป็นเอาตุยให้เห็นจะ ๆ อย่างสาแก่ใจ ซึ่งตรงจุดนี้ก็ทราบแก่ใจได้อยู่ด้วยเพราะ Timeline ในหนังมันเล่าในช่วงที่ตัวฆาตกรวางมือจากการฆ่ามานานเท่าไหร่ไม่รู้แล้วหันมาใช้ชีวิตตามปกติที่เราไม่ต้องเสียเวลาเสี่ยงทายให้เสียเวลาว่าใครคือฆาตกร ? ก็คือ พ่อของเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นหัวหน้าลูกเสือชุมชนที่ใช้ชีวิตกับครอบครัวสุขสันต์และเป็นที่รักนับถือแก่คนในเมืองแห่งนี้ว่าเป็นคนดีศรีชุมชนไปเป็นที่เรียบร้อย
- ตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 49 นาที ที่หนังได้แบ่งครึ่งหน้ากระดาษออกเป็น 2 Parts โดย Part แรก จะเป็นหน้าที่ของตัวพ่อในการเปิด Floor หลังจากผ่านพ้นช่วงพิธีไว้อาลัยในแง่มุมต่าง ๆ ทั้งในเรื่องส่วนตัวรวมถึงคดีฆาตกรรมที่เป็นปมสำคัญสับเปลี่ยนไปมาท่ามกลางกลิ่นอายความเป็น Coming of Age ผ่านตัวลูกชายจนเกิดอาการคล้ายจะวูบหลับเพราะมันไหลไปช้าเอาเรื่องที่ยังสาละวนอยู่แต่ชีวิตประจำวันไปเรื่อยแต่ยังประคองสติได้อยู่เพราะกำลังสนใจในรูปของคดีที่มาจากหลักฐานเชิงประจักษ์ อาทิ รูปถ่าย หรือ ข่าวบนหนังสือพิมพ์ ที่ฆาตกรได้เคยก่อไว้และที่สำคัญคือการถ้ำมองของลูกชายนี่แหล่ะคือทีเด็ดที่ทำให้ Story น่าสนใจขึ้นมาว่าตัวพ่อจะปล่อยไก่ Come Back วงการกันตอนไหน ?
- จนมาถึง Part ตัวลูกชายรับไม้ต่อที่ล่อเข้าไปกลางเรื่องเท่านั้นแหล่ะปมที่ปูมาและเก็บอมพะนำอยู่ค่อย ๆ เผยความนัยใจออกมาให้รับทราบถึงความสะพรึงที่ซ่อนเร้นอย่างกระอักกระอ่วนที่กำลังกัดเซาะกร่อนทำลายศีลธรรมอันดีของตัวละครไปอย่างเลือดเย็นจนนำไปสู่บทสรุปก่อนจากที่สร้างมวลสะเทือนทางความรู้สึกในระดับ Play Safe และความหมายในระดับซึมลึกใช่ย่อยจนได้ยินเสียงคำถามตอนต้นดังออกมาในหัวอีกรอบจนลืมจุดที่เอ๊ะบางอย่างไปก่อนหน้านี้ซะสนิทเพราะเก็บสารที่จับได้ไปคิดทบทวนเป็นกรณีศึกษาซะก่อนถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับปัญหาของการก่อเหตุอาชญากรรมในสังคมปัจจุบันที่สามารถเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวในครอบครัวได้ทุกเมื่อที่ใจตนเองเริ่มรู้สึกตัวว่ากูไม่ไหวกับทุกสิ่งที่แบกแล้วนี่แหล่ะจะกลายเป็นขุมพลังที่รอวันปะทุออกมา
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้