ฟังแถลงการณ์สมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทยในวันนี้แล้วเห็นว่าอย่างไรกันบ้าง

สรุปความจากไทยรัฐ
https://www.thairath.co.th/sport/worldsport/badminton/2892287

สรุปสมาคมแบดมินตัน ชี้แจง 6 ประเด็นดังนี้
1. กรณี มิกซ์ รัชพล ถูกไล่ออกในคืนเป็นแชมป์ประเทศไทย 
สมาคมชี้แจงว่า น้องมิกซ์ซ้อมอยู่ในสมาคมประมาณ 7-8 ปี ก่อนการแข่งขันชิงแชมป์ประเทศ 2-3 เดือน ทีมโค้ชชุดคู่ผสมได้ประเมินว่าน้องไม่ผ่าน อีกวันนึงน้องกลับมาซ้อมในชุดชายคู่ และ 2-3 สัปดาห์ก่อนชิงแชมป์ประเทศ โค้ชชุดชายคู่ก็ประเมินว่าไม่ผ่านเช่นกัน
แต่ด้วยนโยบายของผู้บริหาร สมาคมตัดสินใจรอให้การแข่งขันชิงแชมป์ประเทศจบลงก่อน จึงจะแจ้งนักกีฬาที่ประเมินไม่ผ่านคุณสมบัติ (ซึ่งมีทั้งหมด 4 คน) เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเตรียมตัวและฝึกซ้อมในช่วงนั้น.
2. กรณี มิกซ์ รัชพล และ “หว่าหวา” นัทธมน ไล้สวน ไม่ติดทีมชาติลุยซีเกมส์ 
น้องมิกซ์และหวาหวาติดอยู่ในชุดเก็บตัวฝึกซ้อมทีมชาติ 26 คนมาโดยตลอด และได้รับเบี้ยเลี้ยงครบถ้วน แต่ด้วยกฎการแข่งขันสมาคมต้องตัดตัวนักกีฬาชุดซีเกมส์จาก 26 คนให้เหลือ 20 คน (ชาย 10 คน หญิง 10 คน) ซึ่งมิกซ์และหว่าหวาเป็นส่วนหนึ่งของนักกีฬา 6 ท่านที่ไม่ได้ติดชุดซีเกมส์ สมาคมรู้สึกเสียใจกับนักกีฬาทั้ง 6 ท่าน
เหตุผลในการคัดเลือก : เนื่องจากประเทศไทยเป็นเจ้าภาพซีเกมส์ 2025 หลายประเทศ เช่น มาเลเซียและอินโดนีเซีย ได้ส่งนักกีฬาระดับโลกมาเข้าร่วม สมาคมจึงต้องตัดสินใจเลือกชุดนักกีฬาที่ “ดีที่สุด” เพื่อคว้าเหรียญทองให้กับประเทศไทย
3. ประเด็นการเปลี่ยนกฎระเบียบทีมชาติ
กฎเดิม: เมื่อก่อนการติดทีมชาติจะกำหนดจาก 1) ผู้ชนะเลิศรายการชิงแชมป์ประเทศไทย หรือ 2) นักกีฬาระดับโลกที่มีแรงกิ้งอันดับ 1-32 ของโลก
ความจำเป็นที่ต้องปรับกฎ: ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ไม่มีนักกีฬาระดับโลกลงเล่นในรายการชิงแชมป์ประเทศไทย เนื่องจากติดโปรแกรมการแข่งขันต่อเนื่องตลอดทั้งปี (กีฬาแบดมินตันมีการแข่งขันเกือบ 53 สัปดาห์ต่อปี)
กฎใหม่ (1-32 ของโลก): สมาคมปรับกฎให้ทันสมัย โดยให้เกียรตินักกีฬาระดับโลกในอันดับ 1-32 ติดทีมชาติโดยอัตโนมัติ แต่ยังไม่ได้ประกาศใช้ในปีนี้ ดังนั้นปีนี้จึงยังใช้กฎเดิมทุกประการ
4. การเจรจาเยียวยา และที่มาประโยคเด็ด “อยากฟ้องก็ฟ้องเลย”
สมาคมได้มีการพูดคุยเจรจาเยียวยากับน้องมิกซ์เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว เงื่อนไขในการเจรจาเยียวยายังไม่บรรลุข้อตกลง เพราะนักกีฬาได้ยื่นข้อเสนอขอเยียวยาที่สูงมาก เมื่อสมาคมแจ้งว่าไม่สามารถรับข้อเสนอนั้นได้ น้องจึงลดข้อเสนอลงมา แต่สมาคมก็ยังเห็นว่าสูงอยู่
เมื่อไม่บรรลุข้อตกลง น้องแจ้งว่าจะยื่นโนติส (หนังสือบอกกล่าว) ผ่านทนาย เราก็บอกว่าอย่าเลย และได้เสนอทางออกให้นักกีฬาไปพิสูจน์ตัวเองในรายการแข่งขัน และสามารถผ่านเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย สมาคมยินดีจะรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
แต่น้องขอปรึกษาผู้ใหญ่ก่อน และหลังจากนั้นไม่มีการติดต่อกลับมาเพื่อยอมรับข้อเสนอ แล้วบอกจะยื่นโนติส เราก็บอกว่าอย่าเลย แต่ถ้าจะยื่นจริงๆ ก็ไม่เป็นไร กลายเป็นว่าสมาคมไปท้าทาย แต่จริงๆ ไม่ใช่
5. ประเด็นข้อกล่าวหาเรื่องการอมเงิน/ตัดเบี้ยเลี้ยง 60,000 เหลือ 6,000 บาท
ประเด็นนี้สร้างความเสียหายต่อสมาคมและ กกท. (การกีฬาแห่งประเทศไทย) อย่างมาก. สมาคมยืนยันว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอมเงินนักกีฬา และเงินที่ได้รับจาก กกท. ถูกส่งต่อให้นักกีฬาครบทุกบาททุกสตางค์ สมาคมเป็นเพียง "ทางผ่าน" ในการจ่ายเงิน 
สาเหตุที่ได้เบี้ยเลี้ยงไม่ครบ: เกิดจากการที่นักกีฬา “ไม่ได้มาทดสอบสมรรถภาพร่างกาย” ตามที่ กกท. กำหนด. กกท. จะจ่ายเบี้ยเลี้ยงตามวันที่นักกีฬามาทดสอบสมรรถภาพ กกท. ให้เวลาทดสอบถึงวันที่ 24 พ.ย - 6 ธันวาคม แต่นักกีฬาบางรายมาทดสอบล่าช้าจนถึงวันที่ 23 ธันวาคม ก่อนวันเก็บตัวแค่ 1 วัน ส่งผลให้ได้รับเบี้ยเลี้ยงเก็บตัวในช่วงแรกไม่ครบ (ทีมหญิง 53 วัน, ทีมชาย 47 วัน) 
ช่วงที่ 2 นักกีฬาทุกคนได้รับเบี้ยเลี้ยงในช่วงที่ 2 ครบถ้วน (153 วัน เป็นเงิน 137,000 บาท)
สมาคมรับผิดชอบและพยายามหาทางแก้ไข โดยได้แจ้งเจ้าหน้าที่ให้พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้นักกีฬาได้เบี้ยเลี้ยงฝึกซ้อมเต็มเม็ดเต็มหน่วย
สมาคมขอยืนยันว่า ไม่มีการอมเงิน และ กกท. ไม่ได้ตัดเบี้ยเลี้ยง


วีดีโอไลฟ์สด
https://www.facebook.com/reel/1344755323421361

ส่วนตัวเราค่อนข้างผิดหวังเพราะเป็นการชี้แจงในทำนองการ defend ตนเองเป็นหลัก
ถ้าเป็นเรา เราจะ 1 - แสดงความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
2 - แสดงความเข้าใจและเห็นใจในความจำเป็นของนักกีฬา เพราะทัวร์แข่งต่างประเทศบางทีต่อเนื่องสองถึงสามสัปดาห์
3 - แสดงความมุ่งมั่นที่จะแก้ไขปัญหาและเยียวยาให้ดีที่สุด และชี้แจงว่าทำอย่างไร
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่