ประสบการณ์ตรง... "โดนโกงซื้อของออนไลน์ 2,050 บาท" และข้อสังเกตเกี่ยวกับขั้นตอนการแจ้งความ

ผมขอแชร์ประสบการณ์ที่เพิ่งเจอมาเกี่ยวกับการซื้อของออนไลน์ เพื่อเป็นอุทาหรณ์และข้อสังเกตถึงการดำเนินการตามกฎหมายครับ

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผมตั้งใจจะซื้อเสื้อกันหนาวมือสอง Brand Name เพื่อเดินทางไปต่างประเทศ ราคารวมค่าส่งคือ 2,050 บาท (สินค้า 2,000 + ค่าส่ง 50) โดยเลือกซื้อจากเพจที่มีผู้ติดตามสูงถึงประมาณ 18,000 คน ซึ่งทำให้ผมมั่นใจในระดับหนึ่งว่าจะไม่โดนโกง

หลังจากโอนเงินเรียบร้อย ปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อผู้ขายไม่ยอมแจ้งเลขติดตามสินค้า (Tracking Number) ผมทักไปสอบถามก็ได้รับคำตอบบ่ายเบี่ยงว่า "เดี๋ยวแจ้ง" ผ่านไปหนึ่งวันก็ยังไม่มีการแจ้งใดๆ เมื่อทักซ้ำไปอีกครั้ง คราวนี้ผู้ขายไม่ตอบ และเมื่อลองคลิกดูที่หน้าเพจ ก็พบว่าข้อมูลหายไปทั้งหมด มั่นใจได้ทันทีว่าโดนหลอกแน่นอนแล้ว

การตัดสินใจและแรงจูงใจในการแจ้งความ
ตอนแรกผมคิดว่าจะทำใจปล่อยวาง และถือเป็นบทเรียนราคาแพง แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า ในขณะที่ผมกำลังปล่อยผ่าน คนที่โกงผมอาจกำลังใช้บัญชีและเพจปลอมนี้ไปหลอกลวง "ตาสี ตาสา ยายมา ยายมี" หรือใครก็ตามที่สามารถหลอกเอาเงินได้อีกเรื่อยๆ

ด้วยความหวังเพียงน้อยนิดว่า อย่างน้อยการดำเนินการของผมจะทำให้บัญชีที่รับโอนเงินถูกระงับ ไม่ให้ผู้ไม่หวังดีนำไปใช้ก่อเหตุกับคนอื่นได้อีก ผมจึงตัดสินใจรวบรวมหลักฐานการสนทนา (Chat) และหลักฐานการโอนเงิน (เลขบัญชีที่โอน) เดินทางไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ

สิ่งที่ทำให้รู้สึก "ช็อตฟีล" ที่สถานีตำรวจ
ก่อนลงบันทึกประจำวัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้อธิบายถึงแนวทางการแจ้งความให้ผมเลือก 2 ทางเลือก ดังนี้:
1. แจ้งความลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน (บันทึกประจำวัน):
เป็นการยื่นเอกสารหลักฐานที่มีให้ตำรวจรับทราบ
ตำรวจจะไม่สามารถติดตามผู้ร้ายมาดำเนินคดีได้ในทันที เนื่องจากหลักฐานยังไม่ครบ
ตำรวจแจ้งว่าหลักฐานการโอนเงินที่ผมมี ไม่เพียงพอ
หลักฐานที่ต้องใช้เพิ่มเติมคือ "Statement ของธนาคาร" ซึ่งต้องเป็นฉบับที่ออกจากธนาคารเท่านั้น ไม่สามารถดาวน์โหลดจากคอมพิวเตอร์มาส่งได้
สำหรับผมที่อาศัยอยู่พื้นที่ห่างไกล (บ้านนอก) การเข้าเมืองเพื่อขอ Statement จากธนาคารต้องใช้เวลาเกือบครึ่งวัน

2. แจ้งความดำเนินคดีจนถึงที่สุด:
ในกรณีนี้ ต้องมีหลักฐาน Statement ที่แสดงการโอนเงินอย่างครบถ้วน
เจ้าหน้าที่จะดำเนินการติดตามผู้ร้ายมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งรวมถึงการไปศาลและขั้นตอนต่างๆ

สุดท้าย ผมต้องเลือก แบบที่ 1 คือ แจ้งความบันทึกหลักฐานไว้ก่อน เพราะไม่มีโอกาสเข้าเมืองเพื่อไปขอ Statement ในช่วงเวลานั้น ด้วยความคาดหวังว่าหากมีโอกาสเข้าเมืองเมื่อไหร่ จะนำมาให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการต่อไป

ข้อสังเกตและข้อเสนอแนะในฐานะประชาชนคนหนึ่ง
จากประสบการณ์ตรงของผม และการติดตามข่าวสารเรื่องแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์และสแกมเมอร์ที่เกิดขึ้นทุกวัน ทำให้ผมรู้สึกว่า แม้จะมีการเอาจริงเอาจังจากภาครัฐ แต่สิ่งที่ผมเจอมายังไม่ "สุด" เท่าที่ควร เพราะหากกระบวนการทำงานทำได้ง่ายและรวดเร็วกว่านี้ ปริมาณการหลอกลวงน่าจะลดลงได้อีกมาก

ผมขอเสนอแนวคิดและข้อสังเกตเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนอื่นๆ ในอนาคต:
การอายัดบัญชี/เงินโอน: กรณีที่มีการแจ้งความและมีหลักฐานชัดเจน (รู้ชื่อ รู้เลขบัญชี) ควรมีการพิจารณา อายัดเงินตามจำนวนที่โอนผิดไปก่อน ในทันที โดยอาจไม่จำเป็นต้องถึงขั้นระงับบัญชีทั้งหมดเพื่อความปราณี แต่เพื่อหยุดยั้งการใช้เงินที่ได้จากการโกง และป้องกันไม่ให้มิจฉาชีพใช้บัญชีนี้ไปหลอกคนอื่นได้อีกต่อไป

ความสะดวกในการใช้หลักฐาน Statement: แทนที่จะต้องเสียเวลาครึ่งวัน เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และเสียค่าธรรมเนียมในการขอ Statement ที่ธนาคาร (ซึ่งเป็นภาระของผู้เสียหาย) ควรพิจารณาให้หลักฐานการโอนเงินที่ดาวน์โหลดจากแอปพลิเคชันของธนาคารหรือ Print จากคอมพิวเตอร์เป็นหลักฐานที่ใช้ได้ ในเบื้องต้นเพื่อดำเนินการทางคดีได้เลย

การติดตามแก๊งค์โทรศัพท์หลอกลวง: จากกรณีข่าวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่สามารถใช้หน่วยงานติดตามสัญญาณโทรศัพท์ของผู้โทรเข้าเพื่อจับกุมคนร้ายได้ หากมีการนำมาตรการนี้มาปรับใช้กับกรณีที่ประชาชนได้รับความเสียหายและแจ้งความแล้ว โดยพยายามติดตามสัญญาณต้นทางเมื่อมีการโทรหลอกลวง อาจช่วยลดจำนวนมิจฉาชีพลงได้อีกมาก

ผมหวังว่าประสบการณ์ของผมจะเป็นประโยชน์ และหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสามารถปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ให้เอื้อต่อการปกป้องประชาชนและปราบปรามการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้นครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่