ตะเกียงอาม่า

👻 ตะเกียงอาม่า (ประสบการณ์จริง)
เกือบ 40 ปีก่อน ผมยังเป็นนักศึกษา ปวส. พ่อเพิ่งเสียไป ต้องหาเลี้ยงตัวเอง
ชีวิตวัยรุ่นตอนนั้นก็หมุนรอบดนตรีกับเพื่อน ๆ เราไปเล่นตามบาร์หลายที่ และสาว ๆ ก็เข้ามาติดพันตามประสาอาชีพนักดนตรีไส้แห้ง
เพื่อนมือกลองของผมเลยเสนอให้ไปพักบ้านแม่เขาแถวห้วยขวาง — บ้านหลังนั้นว่าง ไฟโดนตัดไปแล้ว ไม่มีใครอยู่
สภาพบ้านชั้นเดียว โทรม ๆ มี 3 ห้องกับห้องโถง แต่มี ห้องหนึ่งปิดตลอด
ตอนนั้นเราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ดีใจมีที่ให้นอนฟรีและพาสาว ๆ มาสังสรรค์
วันแรกพอพลบค่ำ แสงอาทิตย์แดงฉาน พวกเราก็นั่งเล่นคุยกัน มือกลองเจ้าของบ้านหยิบ ตะเกียงเก่า ๆ มาให้ จุดให้พอมีแสงสว่าง
สองทุ่มกว่า ๆ เราก็ออกไปเล่นดนตรีตามปกติ คืนหนึ่งก็เล่นหลายที่
กลับมาบ้านหลังนั้นตอนเช้า พวกเราพาสาว ๆ มานอนพัก ผมง่วงมากและหลับไป
แต่…ตื่นขึ้นมากลางวัน ผมรู้สึกเหมือน ใครมากดทับตัว ลุกไม่ได้
พอลืมตา…เห็น หญิงชราจีน ใส่ชุดแบบคนจีนแก่ ๆ ที่สมัยนั้นนิยม ยืนเดินไปเดินมาอยู่ปลายเท้า
ใบหน้าไม่ชัด แต่บรรยากาศเย็นวาบ จนต้องภาวนาในใจ “สัมมาอรหัง… สัมมาอรหัง… สัมมาอรหัง…”
หลังภาวนาได้สามครั้ง ร่างกายถึงดีดตัวลุกขึ้นได้
มองรอบตัว เพื่อนก็มองผมด้วยสายตาแปลก ๆ
ผมไม่กล้าพูดอะไร เดินออกไปบอกเพื่อนว่าเจอกันที่บาร์
วันนั้นตอนเล่นดนตรี เจอสาว ๆ ที่ทำงานอยู่บาร์อีกแห่ง
สักพัก…เห็นแฟนเพื่อนเดินเข้ามายืนหลังเวที สีหน้า ซีดขาวเหมือนกระดาษ
เธอพึมพำเสียงเบา…
“พี่…ตะเกียงในบ้านมัน…มันลอยขึ้นมาเองค่ะ…”
ทุกอย่างก็เริ่มเชื่อมโยง
หลังเลิกงาน มือกลองเพื่อนเฉลยให้เราฟังว่า…
บ้านหลังนี้แม่เขาซื้อให้อาม่าอยู่ และ อาม่าเสียชีวิตที่นี่
ห้องที่ปิดไว้…มีหิ้งบูชา, เตียงไม้เก่า, ตู้เก่า และของใช้คนแก่เรียงอยู่ไม่เป็นระเบียบ
ตะเกียงที่เอามาใช้…คือ ตะเกียงหน้าศพตอนจัดงานศพอาม่า
เราถึงบางอ้อ — อาม่าคงไม่พอใจที่เราเอาสาว ๆ มาสังสรรค์ในบ้านของท่าน และหยิบตะเกียงไปใช้โดยไม่ขอ
จึงออกมาเตือน…ด้วยตัวเอง
หลังวันนั้น ผมก็ไม่ไปนอนบ้านนั้นอีก
แต่เพื่อนมือกลองและแฟนของเขาก็ยังอยู่บ้านหลังนั้นอีกหลายปี…
คงเพราะเป็นหลาน และได้จุดธูปขอขมาเรียบร้อย
ตะเกียงอาม่า และหญิงชราจีน…
กลายเป็นความทรงจำขนหัวลุกของพวกเราตลอดชีวิต
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่