เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการใช้มือถือให้น้อยลง
🌞(อ่านตัวเต็มได้ที่ลิ้งด้านล่าง/ คัดมาบางส่วน)🌞
สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเหมือนจะมี "จังหวะสวรรค์" ที่เข้ามาเตือนให้ผมตระหนักและตั้งใจที่จะใช้มือถือให้น้อยลงกว่าเดิม
โดยเริ่มต้นจากที่หลวงปู่ปราโมทย์ปรารภไว้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ว่าถ้าเราตั้งอกตั้งใจฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว แต่พอพักแล้วมานั่งเล่นมือถือ ที่ฝึกมาก็สูญเปล่า*
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การเล่นโซเชียลบนมือถือของผมเหลือวันละต่ำกว่า 20 นาทีมาสองสัปดาห์เต็ม หลังจากก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 45-60 นาทีมาโดยตลอด
ทำไมเวลาที่เล่นมือถือจึงผ่านไปเร็วนัก
เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ที่ตั้งใจจะเล่นมือถือนิดเดียว แต่พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า "30-minute ick factor" คือความรู้สึกไม่สบายใจหลังจากที่รู้ตัวว่าใช้มือถือไปนานกว่าที่ตั้งใจไว้
ประสบการณ์ที่เข้มข้น มักจะทำให้เวลาเดินช้าลง เช่นตอนเกิดอุบัติเหตุหรือตอนเกิดแผ่นดินไหว
จริงๆ แล้วเราไม่ค่อยได้คิดถึง "ระยะเวลา" ตอนเกิดเหตุการณ์นั้นๆ เราจะคิดถึงมันตอนที่ผ่านไปแล้ว ผ่านความทรงจำที่เราระลึกได้
บางครั้งเวลาเหมือนจะผ่านไปเร็ว แต่กลับรู้สึกยาวนานในความทรงจำ เช่นตอนที่เราไปเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจจนลืมดูเวลา แต่พอหวนระลึกถึงประสบการณ์นั้นเรากลับรู้สึกว่ามันยาวนาน เพราะเราได้สร้างความทรงจำที่แข็งแรงเอาไว้มากมาย
ในทางกลับกัน ตอนรอต่อเครื่องที่สนามบิน ระหว่างที่รอช่างรู้สึกยาวนาน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปและมองย้อนกลับมา เรากลับรู้สึกว่ามันไม่ยาวมากนัก เพราะไม่มีอะไรให้จดจำ
ความร้ายกาจของโซเชียลมีเดียก็คือ มันทำให้เวลาสั้นลงทั้งตอนที่เราเล่นมือถือ และตอนที่เราย้อนคิดถึงมันด้วย
📱เมื่อโซเชียลมีเดียไม่โซเชียลอีกต่อไป
📱สมัยก่อนโซเชียลมีเดียถูกสร้างมาเพื่อเชื่อมโยงคนเข้าหากัน
📱ตอนปี 2004 เหตุผลหลักที่คนสมัคร TheFacebook (ชื่อเดิมของ Facebook) ก็เพราะอยากรู้ว่ากำลังจะมีปาร์ตี้ที่ไหน หรือมีกิจกรรมอะไรในมหาวิทยาลัย มันช่วยให้คนได้ออกไปเจอกันในชีวิตจริง
📲แต่ทุกวันนี้มันกลับกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความโดดเดี่ยว เพราะระบบถูกออกแบบให้เรานั่งไถจอคนเดียวไปเรื่อยๆ
🖥️ในโลกแห่งความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดจาแย่ๆ คนรอบข้างจะตีตัวออกห่าง แต่โลกโซเชียลกลับให้รางวัลคนแบบนี้ ยิ่งพูดจาแรงๆ ยิ่งได้ยอดไลก์ ยิ่งได้คนติดตาม
🧑🏻👧🏻👩🏻👵🏼👴🏼ตอนแรกเราสมัครแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อจะได้ keep in touch กับเพื่อน ครอบครัว และคนรู้จัก แต่ตอนนี้เรากลับเห็นโพสต์จากคนดังมากกว่าเพื่อน และแม้กระทั่งเจ้าของบริษัทเอง ก็กำลังบอกว่าตัวเองไม่ได้โซเชียลเน็ตเวิร์กอีกต่อไป!
เมื่อเดือนสิงหาคม Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้ให้การกับศาลและหน่วยงาน FTC (Federal Trade Commission) ว่าตัวเองไม่ได้ผูกขาดตลาด social media เพราะว่า
“ทุกวันนี้ users ของเราดูโพสต์จาก “เพื่อนจริงๆ” บน Instagram แค่ 7% ส่วนบน Facebook ก็ราว ๆ 17% เท่านั้น เวลาที่เหลือเกือบทั้งหมดคือการดูวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอสั้นๆ ที่ไม่ได้มาจากเพื่อนหรือคนที่ users ติดตาม แต่เป็นคลิปที่ระบบเอไอของ Meta แนะนำขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถแข่งขันกับ TikTok ได้”
พูดง่ายๆ ก็คือทุกวันนี้ “โซเชียลมีเดีย” แทบจะไม่เหลือความเป็น “โซเชียล” อีกแล้ว มันกลายเป็นแค่ “ทีวี” ที่มีเนื้อหาไม่จำกัด 24/7 เท่านั้น
เราจะใช้โชคดีของเราไปกับอะไร
เมื่อ 13,000 ล้านปีที่แล้ว จู่ๆ จักรวาลที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกของเราเมื่อราว 3,800 ล้านปีก่อน นับแต่นั้นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็เกิดขึ้นและดับไปนับไม่ถ้วน ค่อยๆ วิวัฒนาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน จากซีสเควิร์ท มาถึงไดโนเสาร์ มาถึงลิงชิมแปนซี และสุดท้ายก็กลายเป็นพวกเราเหล่า Homo Sapiens – สิ่งมีชีวิตที่มีสติรู้ตัว คิดได้ซับซ้อน เข้าใจโลก รู้จักความสุข ความรัก และความหมายของการมีชีวิตในแบบที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มีวันเข้าถึงได้
ในหมู่มวลมนุษย์นี้เอง ยังมีคนอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่ไม่เคยมีโอกาสถือกำเนิดขึ้นมาเลย เพราะคนที่ได้เกิดมาเป็นเพียงสเปิร์มตัวที่ว่ายเร็วที่สุดเท่านั้น
จากความเป็นไปได้นับอเนกอนันต์นี้ เราคือไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เกิดมาและได้มีชีวิตอยู่จริงๆ
เราจึงเป็นเหล่าผู้โชคดี แม้จะมีเวลาแค่ราว 30,000 วันบนโลกนี้เท่านั้นก็เถอะ
คำถามก็คือ จากสามหมื่นวันที่เราโชคดีได้รับมา เราใช้เวลาไปเท่าไหร่กับการนั่งดูเรื่องราวไร้แก่นสารบนโลกออนไลน์?
ปลดแอกจากมือถือ
จากประสบการณ์ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และจากบทความที่กล่าวไปข้างต้น ผมมีคำแนะนำ 4 ข้อ
เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล
ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก
หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ
ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก
หนึ่ง เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล
เคยได้ยินใช่มั้ยครับว่าเงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นเจ้านายที่แย่
สมาร์ตโฟนก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน มันเป็นทาสที่ดีมาก แต่เป็นเจ้านายที่แย่มาก
หลายคนตกเป็นทาสของมันมานาน ตอนนี้ถึงเวลาประกาศอิสรภาพให้ตัวเองแล้ว
เพราะหากเราเข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเป้าหมายหลักของแพลตฟอร์มและโซเชียลมีเดียไม่ใช่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แม้แต่การสร้างความบันเทิง แต่คือการ “สร้างเขาวงกต” เพื่อให้เราเข้าไปติดอยู่ในนั้นนานที่สุด เพื่อจะได้สร้างรายได้ให้มากที่สุด
เปรียบเหมือนเซลล์ในเรื่องดราก้อนบอล ที่สูบชีวิตคนไปหมดเมืองเพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเอง
สอง ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก
โลกแห่งความจริงนั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัด โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียทำให้เราติดใจ เพราะมันมอบความรู้สึกไม่จำกัดให้เราผ่าน infinite scroll และแชตบอตที่ถามได้ทุกเรื่อง
ถ้าเราเข้าไปสู่โลกของมัน เราสู้ไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นลองใช้เทคนิคเหล่านี้ดู
วางมือถือไว้ไกลมือ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำและวันหยุด วางไว้คนละชั้นในบ้านเลยยิ่งดี แต่เปิดเสียงให้ดังพอที่เราวิ่งไปรับสายได้ (จะว่าไป เดี๋ยวนี้คนก็ไม่ค่อยโทรหากันแล้ว)
ตั้งเวลาว่าจะเล่นแอปแต่ละตัวไม่เกินกี่นาที ถ้าเป็นบน Android ให้เข้า Digital Wellbeing ก็จะดูได้ว่าเราใช้แอปแต่ละตัวในแต่ละวันนานแค่ไหน
ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าจะหยิบมือถือขึ้นมาใช้ ควรจะมีเป้าหมายบางอย่างเสมอ เช่นจะหาข้อมูล หรือจะตอบแชทใครบางคน อย่าหยิบขึ้นมาเพียงเพราะความเคยชินและต้องการแค่จะไถหน้าจอฆ่าเวลา ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ต่างอะไรกับซีสเควิร์ตที่กินสมองของตัวเอง
สาม หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ
ในหนังสือ The Power of Habit ของ Charles Duhigg บอกว่า habit loop ของเรามีสามส่วนด้วยกัน คือ Trigger -> Routine -> Reward
ถ้าเราตัด Routine ของการเล่นมือถือออกไป แต่ trigger คือ “ความเบื่อ” หรือ “มีเวลาว่าง” เราต้องหา Routine อย่างอื่นมาใส่แทน ไม่อย่างนั้นเราจะกลับไปติดมือถืออีกครั้ง
หนึ่งในรูทีนที่ดี คือเบื่อหรือมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
อย่างที่กล่าวไปว่า การอ่านหนังสือคืออารยธรรมอันล้ำค่าของมนุษย์ และเรากำลังสูญเสียมันไปเพราะการมาถึงของสมาร์ตโฟนและแพลตฟอร์มที่คอยฟีดอะไรมาให้เราก็ไม่รู้
ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือได้มากขึ้นพอสมควร เทคนิคที่ผมเริ่มใช้ก็คือ ครั้งแรกของวันที่เปิดหนังสือขึ้นมาอ่าน ผมจะใช้ดินสอเขียนลงใกล้ๆ เลขหน้าว่า วันนี้จะอ่านถึงหน้าไหน เช่นถ้าผมอยู่ที่หน้า 101 ผมก็จะเขียน 110 กำกับตรงเลขหน้านั้น เพื่อระบุเจตนาว่าวันนี้ผมจะอ่าน 10 หน้า และถ้าเป็นวันหยุดอาจจะอ่าน 20 หน้า เลยจะเขียนเลข 120 กำกับไว้ตรงหน้า 101
แต่ถ้าใครไม่ชอบอ่านหนังสือ จะทำอย่างอื่นก็ได้ที่สอดคล้องกับจริตและเป้าหมาย บางคนอาจจะยืดเส้นยืดสาย ขบคิดเรื่องบางเรื่อง โทรหาคนในครอบครัว คุยกับคนนั้นคนนี้ ออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลาย หรือกลับมาอยู่กับลมหายใจและความรู้เนื้อรู้ตัว
แต่ละข้อที่กล่าวมาอาจจะไม่ได้ดูสนุกมากนัก แต่เชื่อเถอะว่าที่เราไถมือถือ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนุกกับมันหรอก เล่นเสร็จแล้วทุกข์ว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เราทำไปเพราะเราเคยชินที่จะเข้าไปอยู่ในเขาวงกตต่างหาก
สี่ ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก
หนึ่งประโยคที่อาจช่วยให้เราระลึกได้ว่าเวลาของเรามีจำกัดแค่ไหนก็คือ:
“ถ้าอักขระแต่ละตัวมีความยาวเท่ากับหนึ่งปี อายุเฉลี่ยของคนเราก็ยาวไม่เกินประโยคนี้”
“If years were letters, the average human lifespan would not be longer than this sentence.”
– Gurwinder Bhogal
ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิต ตอนที่เรานอนอยู่บนเตียง คงไม่มีใครอุทานว่า “เสียดายจัง เราน่าจะเล่นมือถือให้มากกว่านี้สักหน่อย”
หลวงปู่ปราโมทย์บอกว่า มือถือคือศัตรูอันร้ายกาจของการภาวนา* และผมมองว่ามันยังสามารถเป็นศัตรูอันร้ายกาจในมิติอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งการมีสุขภาพที่ดี ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และการบรรลุความฝันที่เรียกร้องให้เราออกมาเผชิญโลกแห่งความจริง
มนุษย์เกิดมาเพื่อมีประสบการณ์ เพื่อรู้สึกถึงการมีชีวิตชีวา ภายใต้ข้อจำกัดของสี่พันสัปดาห์หรือสามหมื่นวัน
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการใช้มือถือให้น้อยลงครับ
CR
https://anontawong.com/2025/10/27/new-life-less-phone/?fbclid=IwZnRzaANudIVleHRuA2FlbQIxMQABHlHjVNpSs7hpHHP1gltLZ_qLRpZrk-BCANv2fFMD3rH7LoPDYbkhRL9gU7lA_aem_-vHlbUrDrlBXcZrSAaib8A
https://anontawong.com
ปลดแอกจากมือถือ📲
🌞(อ่านตัวเต็มได้ที่ลิ้งด้านล่าง/ คัดมาบางส่วน)🌞
สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเหมือนจะมี "จังหวะสวรรค์" ที่เข้ามาเตือนให้ผมตระหนักและตั้งใจที่จะใช้มือถือให้น้อยลงกว่าเดิม
โดยเริ่มต้นจากที่หลวงปู่ปราโมทย์ปรารภไว้เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม ว่าถ้าเราตั้งอกตั้งใจฝึกความรู้เนื้อรู้ตัว แต่พอพักแล้วมานั่งเล่นมือถือ ที่ฝึกมาก็สูญเปล่า*
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้การเล่นโซเชียลบนมือถือของผมเหลือวันละต่ำกว่า 20 นาทีมาสองสัปดาห์เต็ม หลังจากก่อนหน้านี้อยู่ที่ประมาณ 45-60 นาทีมาโดยตลอด
ทำไมเวลาที่เล่นมือถือจึงผ่านไปเร็วนัก
เราทุกคนล้วนเคยมีประสบการณ์ที่ตั้งใจจะเล่นมือถือนิดเดียว แต่พอรู้ตัวอีกทีเวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
ปรากฏการณ์นี้มีชื่อเรียกว่า "30-minute ick factor" คือความรู้สึกไม่สบายใจหลังจากที่รู้ตัวว่าใช้มือถือไปนานกว่าที่ตั้งใจไว้
ประสบการณ์ที่เข้มข้น มักจะทำให้เวลาเดินช้าลง เช่นตอนเกิดอุบัติเหตุหรือตอนเกิดแผ่นดินไหว
จริงๆ แล้วเราไม่ค่อยได้คิดถึง "ระยะเวลา" ตอนเกิดเหตุการณ์นั้นๆ เราจะคิดถึงมันตอนที่ผ่านไปแล้ว ผ่านความทรงจำที่เราระลึกได้
บางครั้งเวลาเหมือนจะผ่านไปเร็ว แต่กลับรู้สึกยาวนานในความทรงจำ เช่นตอนที่เราไปเที่ยวสถานที่ใหม่ๆ ที่ทำให้เราตื่นตาตื่นใจจนลืมดูเวลา แต่พอหวนระลึกถึงประสบการณ์นั้นเรากลับรู้สึกว่ามันยาวนาน เพราะเราได้สร้างความทรงจำที่แข็งแรงเอาไว้มากมาย
ในทางกลับกัน ตอนรอต่อเครื่องที่สนามบิน ระหว่างที่รอช่างรู้สึกยาวนาน แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปและมองย้อนกลับมา เรากลับรู้สึกว่ามันไม่ยาวมากนัก เพราะไม่มีอะไรให้จดจำ
ความร้ายกาจของโซเชียลมีเดียก็คือ มันทำให้เวลาสั้นลงทั้งตอนที่เราเล่นมือถือ และตอนที่เราย้อนคิดถึงมันด้วย
📱เมื่อโซเชียลมีเดียไม่โซเชียลอีกต่อไป
📱สมัยก่อนโซเชียลมีเดียถูกสร้างมาเพื่อเชื่อมโยงคนเข้าหากัน
📱ตอนปี 2004 เหตุผลหลักที่คนสมัคร TheFacebook (ชื่อเดิมของ Facebook) ก็เพราะอยากรู้ว่ากำลังจะมีปาร์ตี้ที่ไหน หรือมีกิจกรรมอะไรในมหาวิทยาลัย มันช่วยให้คนได้ออกไปเจอกันในชีวิตจริง
📲แต่ทุกวันนี้มันกลับกลายเป็นแพลตฟอร์มที่สร้างความโดดเดี่ยว เพราะระบบถูกออกแบบให้เรานั่งไถจอคนเดียวไปเรื่อยๆ
🖥️ในโลกแห่งความจริง ถ้าเราเป็นคนพูดจาแย่ๆ คนรอบข้างจะตีตัวออกห่าง แต่โลกโซเชียลกลับให้รางวัลคนแบบนี้ ยิ่งพูดจาแรงๆ ยิ่งได้ยอดไลก์ ยิ่งได้คนติดตาม
🧑🏻👧🏻👩🏻👵🏼👴🏼ตอนแรกเราสมัครแพลตฟอร์มเหล่านี้เพื่อจะได้ keep in touch กับเพื่อน ครอบครัว และคนรู้จัก แต่ตอนนี้เรากลับเห็นโพสต์จากคนดังมากกว่าเพื่อน และแม้กระทั่งเจ้าของบริษัทเอง ก็กำลังบอกว่าตัวเองไม่ได้โซเชียลเน็ตเวิร์กอีกต่อไป!
เมื่อเดือนสิงหาคม Meta ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Facebook และ Instagram ได้ให้การกับศาลและหน่วยงาน FTC (Federal Trade Commission) ว่าตัวเองไม่ได้ผูกขาดตลาด social media เพราะว่า
“ทุกวันนี้ users ของเราดูโพสต์จาก “เพื่อนจริงๆ” บน Instagram แค่ 7% ส่วนบน Facebook ก็ราว ๆ 17% เท่านั้น เวลาที่เหลือเกือบทั้งหมดคือการดูวิดีโอ โดยเฉพาะวิดีโอสั้นๆ ที่ไม่ได้มาจากเพื่อนหรือคนที่ users ติดตาม แต่เป็นคลิปที่ระบบเอไอของ Meta แนะนำขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถแข่งขันกับ TikTok ได้”
พูดง่ายๆ ก็คือทุกวันนี้ “โซเชียลมีเดีย” แทบจะไม่เหลือความเป็น “โซเชียล” อีกแล้ว มันกลายเป็นแค่ “ทีวี” ที่มีเนื้อหาไม่จำกัด 24/7 เท่านั้น
เราจะใช้โชคดีของเราไปกับอะไร
เมื่อ 13,000 ล้านปีที่แล้ว จู่ๆ จักรวาลที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้เลยก็เกิดขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนโลกของเราเมื่อราว 3,800 ล้านปีก่อน นับแต่นั้นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวก็เกิดขึ้นและดับไปนับไม่ถ้วน ค่อยๆ วิวัฒนาการกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน จากซีสเควิร์ท มาถึงไดโนเสาร์ มาถึงลิงชิมแปนซี และสุดท้ายก็กลายเป็นพวกเราเหล่า Homo Sapiens – สิ่งมีชีวิตที่มีสติรู้ตัว คิดได้ซับซ้อน เข้าใจโลก รู้จักความสุข ความรัก และความหมายของการมีชีวิตในแบบที่สิ่งมีชีวิตอื่นไม่มีวันเข้าถึงได้
ในหมู่มวลมนุษย์นี้เอง ยังมีคนอีกนับจำนวนไม่ถ้วนที่ไม่เคยมีโอกาสถือกำเนิดขึ้นมาเลย เพราะคนที่ได้เกิดมาเป็นเพียงสเปิร์มตัวที่ว่ายเร็วที่สุดเท่านั้น
จากความเป็นไปได้นับอเนกอนันต์นี้ เราคือไม่กี่คนที่มีโอกาสได้เกิดมาและได้มีชีวิตอยู่จริงๆ
เราจึงเป็นเหล่าผู้โชคดี แม้จะมีเวลาแค่ราว 30,000 วันบนโลกนี้เท่านั้นก็เถอะ
คำถามก็คือ จากสามหมื่นวันที่เราโชคดีได้รับมา เราใช้เวลาไปเท่าไหร่กับการนั่งดูเรื่องราวไร้แก่นสารบนโลกออนไลน์?
ปลดแอกจากมือถือ
จากประสบการณ์ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และจากบทความที่กล่าวไปข้างต้น ผมมีคำแนะนำ 4 ข้อ
เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล
ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก
หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ
ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก
หนึ่ง เข้าใจภัยของมือถือและโซเชียล
เคยได้ยินใช่มั้ยครับว่าเงินเป็นทาสที่ดี แต่เป็นเจ้านายที่แย่
สมาร์ตโฟนก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน มันเป็นทาสที่ดีมาก แต่เป็นเจ้านายที่แย่มาก
หลายคนตกเป็นทาสของมันมานาน ตอนนี้ถึงเวลาประกาศอิสรภาพให้ตัวเองแล้ว
เพราะหากเราเข้าใจอย่างแท้จริง ว่าเป้าหมายหลักของแพลตฟอร์มและโซเชียลมีเดียไม่ใช่การเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แม้แต่การสร้างความบันเทิง แต่คือการ “สร้างเขาวงกต” เพื่อให้เราเข้าไปติดอยู่ในนั้นนานที่สุด เพื่อจะได้สร้างรายได้ให้มากที่สุด
เปรียบเหมือนเซลล์ในเรื่องดราก้อนบอล ที่สูบชีวิตคนไปหมดเมืองเพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเอง
สอง ทำให้การเล่นมือถือเป็นเรื่องยาก
โลกแห่งความจริงนั้นเต็มไปด้วยข้อจำกัด โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียทำให้เราติดใจ เพราะมันมอบความรู้สึกไม่จำกัดให้เราผ่าน infinite scroll และแชตบอตที่ถามได้ทุกเรื่อง
ถ้าเราเข้าไปสู่โลกของมัน เราสู้ไม่ไหวแน่นอน ดังนั้นลองใช้เทคนิคเหล่านี้ดู
วางมือถือไว้ไกลมือ โดยเฉพาะช่วงหัวค่ำและวันหยุด วางไว้คนละชั้นในบ้านเลยยิ่งดี แต่เปิดเสียงให้ดังพอที่เราวิ่งไปรับสายได้ (จะว่าไป เดี๋ยวนี้คนก็ไม่ค่อยโทรหากันแล้ว)
ตั้งเวลาว่าจะเล่นแอปแต่ละตัวไม่เกินกี่นาที ถ้าเป็นบน Android ให้เข้า Digital Wellbeing ก็จะดูได้ว่าเราใช้แอปแต่ละตัวในแต่ละวันนานแค่ไหน
ตั้งใจเอาไว้ว่า ถ้าจะหยิบมือถือขึ้นมาใช้ ควรจะมีเป้าหมายบางอย่างเสมอ เช่นจะหาข้อมูล หรือจะตอบแชทใครบางคน อย่าหยิบขึ้นมาเพียงเพราะความเคยชินและต้องการแค่จะไถหน้าจอฆ่าเวลา ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ต่างอะไรกับซีสเควิร์ตที่กินสมองของตัวเอง
สาม หาอะไรทำแทนการเล่นมือถือ
ในหนังสือ The Power of Habit ของ Charles Duhigg บอกว่า habit loop ของเรามีสามส่วนด้วยกัน คือ Trigger -> Routine -> Reward
ถ้าเราตัด Routine ของการเล่นมือถือออกไป แต่ trigger คือ “ความเบื่อ” หรือ “มีเวลาว่าง” เราต้องหา Routine อย่างอื่นมาใส่แทน ไม่อย่างนั้นเราจะกลับไปติดมือถืออีกครั้ง
หนึ่งในรูทีนที่ดี คือเบื่อหรือมีเวลาว่างเมื่อไหร่ก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน
อย่างที่กล่าวไปว่า การอ่านหนังสือคืออารยธรรมอันล้ำค่าของมนุษย์ และเรากำลังสูญเสียมันไปเพราะการมาถึงของสมาร์ตโฟนและแพลตฟอร์มที่คอยฟีดอะไรมาให้เราก็ไม่รู้
ช่วงนี้ผมอ่านหนังสือได้มากขึ้นพอสมควร เทคนิคที่ผมเริ่มใช้ก็คือ ครั้งแรกของวันที่เปิดหนังสือขึ้นมาอ่าน ผมจะใช้ดินสอเขียนลงใกล้ๆ เลขหน้าว่า วันนี้จะอ่านถึงหน้าไหน เช่นถ้าผมอยู่ที่หน้า 101 ผมก็จะเขียน 110 กำกับตรงเลขหน้านั้น เพื่อระบุเจตนาว่าวันนี้ผมจะอ่าน 10 หน้า และถ้าเป็นวันหยุดอาจจะอ่าน 20 หน้า เลยจะเขียนเลข 120 กำกับไว้ตรงหน้า 101
แต่ถ้าใครไม่ชอบอ่านหนังสือ จะทำอย่างอื่นก็ได้ที่สอดคล้องกับจริตและเป้าหมาย บางคนอาจจะยืดเส้นยืดสาย ขบคิดเรื่องบางเรื่อง โทรหาคนในครอบครัว คุยกับคนนั้นคนนี้ ออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลาย หรือกลับมาอยู่กับลมหายใจและความรู้เนื้อรู้ตัว
แต่ละข้อที่กล่าวมาอาจจะไม่ได้ดูสนุกมากนัก แต่เชื่อเถอะว่าที่เราไถมือถือ จริงๆ แล้วเราก็ไม่ได้สนุกกับมันหรอก เล่นเสร็จแล้วทุกข์ว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่เราทำไปเพราะเราเคยชินที่จะเข้าไปอยู่ในเขาวงกตต่างหาก
สี่ ระลึกให้ได้ว่าเรามีเวลาไม่มาก
หนึ่งประโยคที่อาจช่วยให้เราระลึกได้ว่าเวลาของเรามีจำกัดแค่ไหนก็คือ:
“ถ้าอักขระแต่ละตัวมีความยาวเท่ากับหนึ่งปี อายุเฉลี่ยของคนเราก็ยาวไม่เกินประโยคนี้”
“If years were letters, the average human lifespan would not be longer than this sentence.”
– Gurwinder Bhogal
ในช่วงนาทีสุดท้ายของชีวิต ตอนที่เรานอนอยู่บนเตียง คงไม่มีใครอุทานว่า “เสียดายจัง เราน่าจะเล่นมือถือให้มากกว่านี้สักหน่อย”
หลวงปู่ปราโมทย์บอกว่า มือถือคือศัตรูอันร้ายกาจของการภาวนา* และผมมองว่ามันยังสามารถเป็นศัตรูอันร้ายกาจในมิติอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ทั้งการมีสุขภาพที่ดี ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และการบรรลุความฝันที่เรียกร้องให้เราออกมาเผชิญโลกแห่งความจริง
มนุษย์เกิดมาเพื่อมีประสบการณ์ เพื่อรู้สึกถึงการมีชีวิตชีวา ภายใต้ข้อจำกัดของสี่พันสัปดาห์หรือสามหมื่นวัน
ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนในการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการใช้มือถือให้น้อยลงครับ
CR https://anontawong.com/2025/10/27/new-life-less-phone/?fbclid=IwZnRzaANudIVleHRuA2FlbQIxMQABHlHjVNpSs7hpHHP1gltLZ_qLRpZrk-BCANv2fFMD3rH7LoPDYbkhRL9gU7lA_aem_-vHlbUrDrlBXcZrSAaib8A
https://anontawong.com