เบื้องหลังความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของขุมพลัง Plug-in hybrid (PHEV) หรือระบบ Hybrid ที่มีแบตเตอรี่ความจุสูงขึ้นจนสามารถทำให้วิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนและสามารถชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่ได้โดยตรงทั้งจากไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) และกระแสตรง (DC) ถูกนำมาศึกษาอย่างจริงจังโดย Transport & Environment (T&E) ผ่านการทดสอบด้วยรถจำนวนกว่า 800,000 คันในยุโรป ซึ่งผลการศึกษาล่าสุดชี้ว่ารถประเภทนี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ในการใช้งานจริงมากกว่าค่ามาตรฐานที่เคลมไว้เกือบ 5 เท่า ซึ่งสวนทางกับภาพจำที่เคยถูกมองว่าเป็นขุมพลังสำหรับยุคเปลี่ยนผ่านที่สมบูรณ์แบบระหว่างรถสันดาปภายในกับรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา รถ PHEV ได้รับการโปรโมตว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดระหว่างรถไฟฟ้ากับรถน้ำมัน โดยสามารถชาร์จไฟใช้ขับระยะสั้นในโหมดไฟฟ้าและสลับมาใช้พลังงานจากการเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงได้เมื่อเดินทางไกล รถ PHEV บางรุ่นสามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 113 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง และยังอาจได้รับอนุญาตให้จำหน่ายต่อไปได้แม้ยุโรปจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายแบนเครื่องยนต์สันดาปในปี 2035
แต่ผลทดสอบของ T&E กลับพบว่า ในความเป็นจริง เจ้าของรถจำนวนมากไม่ได้ชาร์จไฟอย่างสม่ำเสมอ หรือบางคนแทบไม่ชาร์จเลย (เมื่อยุคที่รถ PHEV เริ่มวางจำหน่าย มีค่ายรถหรูจากเยอรมันค่ายหนึ่งรณรงค์ให้เจ้าของรถเสียบปลั๊กชาร์จทุกคืน) ทำให้รถต้องพึ่งพาเครื่องยนต์เบนซินเกือบตลอดเวลา ยิ่งไปกว่านั้น แม้ในกรณีที่ชาร์จแบตไว้เต็ม รถ PHEV บางคันก็ยังสลับกลับไปใช้เครื่องยนต์อยู่บ่อยครั้ง เช่น ยามเร่งแซง ขึ้นทางชัน หรือในอากาศหนาวเย็น ส่งผลให้ระบบไฟฟ้าไม่ได้ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพตามที่เคลมไว้ตามมาตรฐานการทดสอบ
ช่องว่างระหว่างตัวเลขจริงกับค่ามาตรฐานยิ่งห่างออกมากขึ้นเรื่อยๆ จากข้อมูลปี 2021 T&E พบว่ารถ PHEV ปล่อย CO₂ จริงปริมาณเฉลี่ย 134 กรัมต่อกิโลเมตร หรือมากกว่าค่ามาตรฐานราว 3.5 เท่า (38 กรัม/กม.) แต่ในรายงานล่าสุด ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นอีก โดยผู้ผลิตระบุเพียง 28 กรัม/กม. ทว่าผลทดสอบจริงกลับสูงถึง 139 กรัม/กม. ซึ่งถือว่าเกินกว่าที่เคยเป็นมา คิดเป็นจำนวนเกือบ 5 เท่าตามที่ผลการศึกษาชี้

สำหรับผู้บริโภคที่ซื้อรถ PHEV ด้วยความหวังว่าจะช่วยลดมลพิษและประหยัดค่าใช้จ่าย ความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น T&E ระบุว่า ครอบครัวทั่วไปอาจต้องจ่ายค่าน้ำมันเพิ่มเฉลี่ยราว 500 ยูโร (ประมาณ 19,000 บาท) ต่อปี เมื่อเทียบกับตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองที่ผู้ผลิตโฆษณาไว้ ขณะเดียวกัน รัฐบาลและหน่วยงานกำกับดูแลซึ่งหวังพึ่งรถ PHEV เพื่อลดค่าเฉลี่ยการปล่อยคาร์บอนของกลุ่มผู้ผลิต ก็อาจพบว่าเครื่องมือนี้ไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่คิด
T&E ยังตั้งข้อสังเกตว่า บรรดาผู้ผลิตอาจหลีกเลี่ยงค่าปรับจำนวนมหาศาลจากการใช้สูตรคำนวณการปล่อยไอเสียที่มองโลกในแง่ดีเกินจริง ปัญหานี้ได้รับการรับรู้ในระดับนโยบายแล้ว โดยสหภาพยุโรปกำลังออกกฎใหม่ที่เข้มงวดขึ้น ลดตัวแปรที่คำนวณระยะเวลาที่รถคาดว่าจะวิ่งด้วยไฟฟ้า เพื่อให้การคำนวณค่าปล่อย CO₂ สะท้อนความจริงมากขึ้น

[img]https://www.headlightmag.com/hlmwp/wp-content/uploads/2025/10/PHEV-emissions-scandal_07.jpg[/img]

หากอ้างอิงกฎปัจจุบัน รถ PHEV ที่มีระยะทางวิ่งด้วยไฟฟ้า 60 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้โหมดไฟฟ้ากว่า 80% ของการใช้งานจริง แต่ในปี 2025–2026 ตัวเลขนี้จะลดลงเหลือ 54% และในปี 2027–2028 จะเหลือเพียง 34% แม้เช่นนั้น T&E ยังเตือนว่า จะยังมีช่องว่างระหว่างค่าทดสอบและค่าจริงอยู่ราว 18% ซึ่งสะท้อนว่าระบบ PHEV อาจไม่ใช่ทางออกที่แท้จริงของอุตสาหกรรมยานยนต์
ผลการศึกษาจาก Transport & Environment (T&E) เผย รถ Plug-in hybrid ปล่อยไอเสียจริงเกือบ 5 เท่าจากค่ามาตรฐาน