จากการเรียนพระอภิธรรมมัตถสังคหะ ก็เอาความจำเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท มาใช้ เอาเรื่องปรมัตถธรรม 4 มาใช้ เอาเรื่องวิถีจิตมาใช้
แล้วก็ไล่เรียงดู ก็พบว่า อัตตา นี่แหละต้นเหตุเกิดอภิชฌาและโทมนัส
และเมื่อเรียนพระสูตรเรื่อง มหาตัณหาสังขยาสูตร เรียนเรื่องมธุปิณฑิกสูตร และเรื่องต่างๆในหน้าตั้งกระทู้ของกระผม ซึ่งแปะตำราที่จำเป็นไว้ด้วย
เพื่อไว้ศึกษาทบทวนได้เมื่ออยู่นอกบ้าน ก็สามารถตอบคำถามต่อการพิจารณาเรื่องการเกิดเวทนาและต่อถึงการเกิดกัมมภวะได้โดยเฉพาะใน มธุปิณฑิกะสูตรอย่างชัดแจ้ง ว่าเพราะ ปปัญจสัญญาสังขา นั่นเอง
เมื่อพบว่า การสอนเรื่องปฏิสัมภิทามรรค ของอาจารย์สุภีร์ ทุมทอง มีระบบการสอนที่ดี จึงได้มาฟังเรื่องทิฏฐิ ซึ่งอยู่ในคลิปยูทู๊บชื่อว่า
สัมมนาปฏิสัมภิทามรรคชั้นสูง ๔ ทิฏฐิกถา ความรู้เรื่องทิฏฐิ ๖ ประเด็น
ก็เพราะเห็นว่า การที่จะมี สัมมาทิฏฐิ ให้ได้จนหมดสิ้นสักกายทิฏฐินั้นก็ต้องเข้าใจเรื่องทิฏฐิให้ชัดเจนแจ่มแจ้งก่อน
---------
การศึกษาพระธรรมด้วยตนเองมีประโยชน์มากมายมหาศาล เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองอย่างแท้จริง
ความจริงเคยไปฟังอาจารย์สุจินต์ที่บ้านครั้งหนึ่ง ก่อนไปต้องอ่านหนังสือของอาจารย์ 6 เล่มให้จบก่อนแล้วถึงไป ไปแล้ว ส่วนมากก็ฟังวิทยุเสียงอาจารย์ตอน
ก่อนนอนคือแม่ฟังแล้วได้ยินด้วยในตอนเด็กๆ ปัจจุบัน เมื่อเรียนพระอภิธัมมัตถสังคหะ อภิธัมมาวตาร และเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องในปัจจุบันแล้ว
ก็กะว่าเมื่อมีความรู้พอสมควรแล้ว ถึงจะไปลองเข้าคอสของอาจารย์ สุภีร์ บ้างในโอกาสต่อไป แต่ตอนนี้ยังมีความรู้ไม่เพียงพอ
--------
การเรียนพระธรรม เมื่อเจอท่านหนึ่ง ก็หวังว่าจะได้เจอพระอริยะอาจารย์ท่านต่อไปในความรู้พระธรรมที่สูงขึ้น
--------
ปัจจุบันนี้ พยายามบันทึกการสอนเรื่อง ปัฏฐาน ให้ครบ 17 บท ตอนนี้ใกล้จบบทที่ 15 อีกไม่กี่หน้า และเหลืออีก 100 หน้าเพื่อบันทึกบทที่ 16 บทที่ 17 ให้สมบูรณ์
เมื่อพิจารณาเรื่อง รูเป รูปทั้งหลาย ก็คิดจะกลับไปต่อเรื่องรูปให้จบ และจะต้องพิจารณาเรื่องรูปปรมัตถ์ทั้งหลายให้ได้ครบถ้วน
กำลังบันทึกคำสอนเรื่องวิถีจิต ประมาณ 64 ตอน บันทึกไปได้แค่ ตอน 2/2 ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้ในการพิจารณาเรื่อง ภวังคจิต เป็นต้น เพราะอาจารย์สุภีร์ กล่าวไว้ในพระสูตรเรื่อง มธุปิณฑิกสูตร
เรื่องเรียนพระธรรมมีอีกมากที่น่าสนใจ
--------
แต่เรื่องบันเทิงก็ยั่วยวนน่าสนใจมากกว่า โดดไปทีนึงกว่าจะกลับมาได้ ก็ต้องเบื่อก่อน
--------
การบันทึกในพันธ์ทิพย์ไม่ได้ตั้งตัวเป็นครูนะครับ แต่เป็นการบันทึกการเรียนพระธรรมส่วนตัว นะครับ มีเจตนาเพื่อบันทึกแทนสมุดกระดาษนะครับ
เอาไว้อ่านเองค้นหาเองใช้เองไม่ได้ตั้งใจให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นนะครับ
-------
การศึกษาและการปฏิบัติธรรมของผม ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของกระผม จะบรรลุหรือไม่บรรลุ กระผมไม่สนใจนะครับ
การที่จะหาพระอาจารย์ อาจารย์ เพื่อฟังสอนของท่านนั้น กระผมก็ฟังไปจนหมดม้วนนะครับ ของอาจารย์สุภีร์ ทุมทอง นี่เยอะมากมายแต่ก็จะไปเก็บให้หมดม้วน ไม่จบจะตามไปฟังที่ดาวติงสา อีก
-------
การตั้งหัวข้อไว้ไม่ให้น่าสนใจหรือให้ดูแล้วผ่านไปเลยไกลๆ ---ก็เพราะเจตนาบันทึกการเรียนนี่และ
แต่ถ้าใครเกิดสนใจติดตาม ก็จะบอก ยูอาร์แอล ไปต่อหากต้องการความรวดเร็ว กว่าที่จะรออารมณ์ธรรมมะปรากฏนานๆสักครั้งหนึ่งนะครับ
-------
การเรียนพระธรรมมากก็มีความรู้มาก แม้จะตกหล่นเพราะหลงลืม เพราะความแก่ที่เป็นตน ความแก่ที่เป็นของตน ความแก่นั่นเป็นตัวตนของเรา ถึงตอนนี้เกือบบรรลุโสดาบัน เพราะยังมี อภินิเวสปราโส ทิฏฐิ อยู่นี่เองนะครับ จึงยังคงเป็นปุถุชนอยู่ นะครับ
-------------------------------------------อ้างอิง
-------------------------------------------อ้างอิง
มีพระอรรถกถาอธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า
บัดนี้ พึงทราบการแสดงโดยพิสดารของบทมีอาทิว่า กถํ อภินิเวสปรามาโส การลูบคลำด้วยการถือผิดเป็นอย่างไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ เป็นทุติยาวิภัตติ. เชื่อมความว่า การลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูป.
อนึ่ง ในบทว่า รูปํ นี้ ได้แก่ รูปูปาทานขันธ์และกสิณรูป. ทิฏฐิคือการลูบคลำด้วยความถือผิดว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา พึงประกอบเฉพาะอย่าง.
บทว่า เอตํ เป็นสามัญวจนะ. ด้วยบทนั้นท่านทำให้เป็นนปุงสกวจนะและเอกวจนะว่า นั่นเวทนาของเรา นั่นสังขารของเรา.
แต่บทว่า เอโส ท่านเพ่งถึงสิ่งที่ควรกล่าวถึง จึงทำให้เป็นปุลลิงควจนะ.
บทว่า เอตํ มม (นั่นของเรา) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะตัณหาเป็นมูล.
บทว่า เอโสหมสฺมิ (เราเป็นนั่น) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะมานะเป็นมูล.
บทว่า เอโส เม อตฺตา (นั่นเป็นตัวตนของเรา) มีความสำคัญ เพราะทิฏฐินั่นเอง.
ส่วนอาจารย์บางพวกพรรณนาความแห่งคำทั้ง ๓ เหล่านี้ว่า ความดำริด้วยมมังการ (ความถือว่าเป็นของเรา) ว่านั่นเป็นของเรา ความดำริด้วยอหังการ (ความถือว่าเป็นเรา) ว่าเราเป็นนั่น และการถือมั่นตัวตนอันดำริด้วยอหังการ มมังการว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา.
อนึ่ง การยกย่องด้วยมานะอาศัยตัณหาเป็นมูลตามลำดับ อันมานะยกย่องแล้วอาศัยตัณหาเป็นมูล และการยึดถือตัวตน. การไม่เห็นลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขารทั้งหลาย การไม่เห็นลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย และการยึดถือตัวตนอันเป็นเหตุไม่เห็นพระไตรลักษณ์แห่งสังขารทั้งหลาย การยึดถือตัวตนของผู้ที่ถึงความวิปลาสในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ในความไม่งามว่าเป็นความงาม ในความเป็นของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง และผู้ถึงความวิปลาส ๔ อย่าง.
-----------------------------------จบอ้างอิง
-----------------------------------จบอ้างอิง
เรื่องทิฏฐินี่น่าสนใจที่จะต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนแจ่มแจ้งให้ได้ จึงจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ที่แท้จริงให้ได้
-----------------------------------อ้างอิง
-----------------------------------อ้างอิง
441

ต่อไปท่านพระสารีบุตรก็จะขยายความแต่ละอันแต่ละอัน
อันที่ 1 ก็คือ อะภินิเวสะปรามาโส ทิฏฐิ
ความยึดถือเป็นอย่างอื่นอย่างเหนียวแน่นเรียกว่า ทิฏฐิ เป็นยังไง ท่านก็ขยายความไป
เวลาท่านขยายความท่านก็อาศัยธรรม201อย่างนั่นแหละที่เราเรียนมาแล้วมีอะไรบ้างก็เรียนไปเมื่อว่านแล้วมั๊งท่านจำไม่ได้ก็ต้องไปทบทวนนิดนึง
ธรรม 201 ผมเขียนแต่ชื่อมาให้ ก็คือ ยึดสิ่งเหล่านี้ อาการยึดก็จะเป็นว่า
รูปัง เนี่ยสมมุติเอารูปขึ้นมาเป็นตัวหลักในการยึด นา ก็ยึดธรรม 201 นั่นแหละก็สลับไปตามองค์ธรรมหรือว่าตามสภาวะที่เข้าไปยึดนะ
รูปัง
เอตัง มะมะ
เอโสหะมัสสะมิ
เอโส เมอัตตา ติ
อะภินิเวสาปรามาโส ทิฏฐิ
ความยึดเป็นอย่างอื่นอย่างเหนียวแน่นว่า
รูปนั่นเป็นของเรา
เราเป็นรูปนั่น
รูปนั่นเป็นอัตราของเรา
ดังนี้ เป็นทิฏฐิ
----------19.02
------เมื่อไปดูเรื่องนี้ในพระอรรถกถาจารย์ มีดังนี้
...บัดนี้ พึงทราบการแสดงโดยพิสดารของบทมีอาทิว่า กถํ อภินิเวสปรามาโส การลูบคลำด้วยการถือผิดเป็นอย่างไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ เป็นทุติยาวิภัตติ. เชื่อมความว่า การลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูป.
อนึ่ง ในบทว่า รูปํ นี้ ได้แก่ รูปูปาทานขันธ์และกสิณรูป. ทิฏฐิคือการลูบคลำด้วยความถือผิดว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา พึงประกอบเฉพาะอย่าง.
บทว่า เอตํ เป็นสามัญวจนะ. ด้วยบทนั้นท่านทำให้เป็นนปุงสกวจนะและเอกวจนะว่า นั่นเวทนาของเรา นั่นสังขารของเรา.
แต่บทว่า เอโส ท่านเพ่งถึงสิ่งที่ควรกล่าวถึง จึงทำให้เป็นปุลลิงควจนะ.
บทว่า เอตํ มม (นั่นของเรา) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะตัณหาเป็นมูล.
บทว่า เอโสหมสฺมิ (เราเป็นนั่น) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะมานะเป็นมูล.
บทว่า เอโส เม อตฺตา (นั่นเป็นตัวตนของเรา) มีความสำคัญ เพราะทิฏฐินั่นเอง.
ส่วนอาจารย์บางพวกพรรณนาความแห่งคำทั้ง ๓ เหล่านี้ว่า ความดำริด้วยมมังการ (ความถือว่าเป็นของเรา) ว่านั่นเป็นของเรา ความดำริด้วยอหังการ (ความถือว่าเป็นเรา) ว่าเราเป็นนั่น และการถือมั่นตัวตนอันดำริด้วยอหังการ มมังการว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา.
อนึ่ง การยกย่องด้วยมานะอาศัยตัณหาเป็นมูลตามลำดับ อันมานะยกย่องแล้วอาศัยตัณหาเป็นมูล และการยึดถือตัวตน. การไม่เห็นลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขารทั้งหลาย การไม่เห็นลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย และการยึดถือตัวตนอันเป็นเหตุไม่เห็นพระไตรลักษณ์แห่งสังขารทั้งหลาย การยึดถือตัวตนของผู้ที่ถึงความวิปลาสในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ในความไม่งามว่าเป็นความงาม ในความเป็นของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง และผู้ถึงความวิปลาส ๔ อย่าง.
...
และ รูป เป็นเพียงตัวอย่าง 1 ในธรรม 11 หมวด 201 บท
ภาพหมายเลข 113

ภาพหมายเลข 114

ภาพหมายเลข 115

---19.02
คำตรงคำว่า รูปัง สามารถเปลี่ยนแปลงได้จำนวน 201 คำ
บางคนก็ยึด รูป บางคนก็ยึดเวทนา ในเวทนาก็สามารถยึดกระจายได้อีกเป็น เวทนาสุข เวทนาทุกข์
19.19
เวทนาอทุกขมสุข
หรือ รูป ก็สามารถกระจายได้อีกเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม
ดินนั้นเป็นของเรา เราเป็นดินนั่น ดินนั่นเป็นอัตราของเรา ประมาณนี้นะครับทำนองนี้
เราก็จะเข้าใจว่าอ้อทิฏฐิคือแบบนี้
ตัวหลักของทิฏฐิ ก็คือ อะภินิเวสะปรามาโส นั่นเองนะครับตัวนี้
แต่เวลาเขายึดเขาก็จะยึดสิ่งต่างๆจำนวน 201 อย่างนั่นเองนะ แต่ว่าในพระสูตรทั่วไปเราก็จะเห็น
พระพุทธเจ้าแสดงยึดขันธ์ 5 อะไรอย่างนี้นะ ยึดอายะตะนะ อะไรประมาณนี้ เอบางท่านก็บอกว่า
มันยึดได้กี่อย่างนะ อยากรู้เราก็มาเรียนในคัมภีร์นี้ก็จะรู้หมดเลยนะครับ จนถึงนี่ ชรา มรณะ
ก็คือ รูป นี้เป็นลำดับที่ 1 นะ ชรามรณะเรียนลำดับที่ 201
ชะรามะระณัง เอตัง มะมะ , เอโสหะมะสะมิ , เอโส เม อัตตา ติ อภินิเวสะปรามาโส ทิฏฐิ .
การยึดถือเป็นอย่างอื่นอย่างเหนียวแน่นว่า
ชรามรณะ นั่น เป็นของเรา
เรา เป็นชรามรณะนั่น
ชรามรณะนั่น เป็นอัตราตัวตนของเรา
ดั่งนี้ เป็นทิฏฐิ นะครับ
-----20.29
จริงๆชรามรณะก็เป็นสภาวะธรรมน๊อ เกิดดับ แต่ว่าความยึดถือเป็นอย่างอื่น ที่จริง จริงๆ
ชรามรณะไม่ได้เป็นเรา เป็นของเรา แต่คนนี้ยึดเป็นอย่างอื่นก็ ความยึดนั่นแหละคือทิฏฐิ
และยึดอย่างเหนียวแน่นด้วยว่า ต้องเป็นเราเท่านั้นที่แก่ เราไม่แก่ได้ยังไง เราก็แก่ยิ่งอะไรประมาณนี้นะ
ทำนองนี้นะครับ
เราตายอะไรทำนองนี้ จริงๆแก่แล้วตายก็เป็นเรื่องของรูปนามขันธ์ 5 น๊อคนละเรื่องกันทีนี้เขายึด
พวกยึดเนี่ย ฉนั้นเวลาท่านขยายทิฏฐิก็เลยใช้คำบาลีว่า อภินิเวสะปรามาโส ทิฏฐิ
อภินิเวสะ เหนียวแน่นกอดรัดไว้
ปรามาสะ ปะระเป็นอย่างอื่น มาสะถือถือเป็นอย่างอื่น อย่างเหนียวแน่น นะครับ เรียกว่า ทิฏฐิ นา
นี้คืออธิบายชุดที่ 1 ทิฏฐิคืออะไร
-------21.23
เมื่อเดินออกกำลังกายแล้วเจอโทสะบ้างเจอโลภะบ้างเจอเตโชธาตุบ้างแล้วเกิดเวทนา บางครั้งก็เกิดกัมมภวะ เป็นอกุศลบ้าง
แล้วก็ไล่เรียงดู ก็พบว่า อัตตา นี่แหละต้นเหตุเกิดอภิชฌาและโทมนัส
และเมื่อเรียนพระสูตรเรื่อง มหาตัณหาสังขยาสูตร เรียนเรื่องมธุปิณฑิกสูตร และเรื่องต่างๆในหน้าตั้งกระทู้ของกระผม ซึ่งแปะตำราที่จำเป็นไว้ด้วย
เพื่อไว้ศึกษาทบทวนได้เมื่ออยู่นอกบ้าน ก็สามารถตอบคำถามต่อการพิจารณาเรื่องการเกิดเวทนาและต่อถึงการเกิดกัมมภวะได้โดยเฉพาะใน มธุปิณฑิกะสูตรอย่างชัดแจ้ง ว่าเพราะ ปปัญจสัญญาสังขา นั่นเอง
เมื่อพบว่า การสอนเรื่องปฏิสัมภิทามรรค ของอาจารย์สุภีร์ ทุมทอง มีระบบการสอนที่ดี จึงได้มาฟังเรื่องทิฏฐิ ซึ่งอยู่ในคลิปยูทู๊บชื่อว่า
ในบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ เป็นทุติยาวิภัตติ. เชื่อมความว่า การลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูป.
อนึ่ง ในบทว่า รูปํ นี้ ได้แก่ รูปูปาทานขันธ์และกสิณรูป. ทิฏฐิคือการลูบคลำด้วยความถือผิดว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา พึงประกอบเฉพาะอย่าง.
บทว่า เอตํ เป็นสามัญวจนะ. ด้วยบทนั้นท่านทำให้เป็นนปุงสกวจนะและเอกวจนะว่า นั่นเวทนาของเรา นั่นสังขารของเรา.
แต่บทว่า เอโส ท่านเพ่งถึงสิ่งที่ควรกล่าวถึง จึงทำให้เป็นปุลลิงควจนะ.
บทว่า เอตํ มม (นั่นของเรา) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะตัณหาเป็นมูล.
บทว่า เอโสหมสฺมิ (เราเป็นนั่น) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะมานะเป็นมูล.
บทว่า เอโส เม อตฺตา (นั่นเป็นตัวตนของเรา) มีความสำคัญ เพราะทิฏฐินั่นเอง.
ส่วนอาจารย์บางพวกพรรณนาความแห่งคำทั้ง ๓ เหล่านี้ว่า ความดำริด้วยมมังการ (ความถือว่าเป็นของเรา) ว่านั่นเป็นของเรา ความดำริด้วยอหังการ (ความถือว่าเป็นเรา) ว่าเราเป็นนั่น และการถือมั่นตัวตนอันดำริด้วยอหังการ มมังการว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา.
อนึ่ง การยกย่องด้วยมานะอาศัยตัณหาเป็นมูลตามลำดับ อันมานะยกย่องแล้วอาศัยตัณหาเป็นมูล และการยึดถือตัวตน. การไม่เห็นลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขารทั้งหลาย การไม่เห็นลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย และการยึดถือตัวตนอันเป็นเหตุไม่เห็นพระไตรลักษณ์แห่งสังขารทั้งหลาย การยึดถือตัวตนของผู้ที่ถึงความวิปลาสในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ในความไม่งามว่าเป็นความงาม ในความเป็นของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง และผู้ถึงความวิปลาส ๔ อย่าง.
ต่อไปท่านพระสารีบุตรก็จะขยายความแต่ละอันแต่ละอัน
อันที่ 1 ก็คือ อะภินิเวสะปรามาโส ทิฏฐิ
ความยึดถือเป็นอย่างอื่นอย่างเหนียวแน่นเรียกว่า ทิฏฐิ เป็นยังไง ท่านก็ขยายความไป
เวลาท่านขยายความท่านก็อาศัยธรรม201อย่างนั่นแหละที่เราเรียนมาแล้วมีอะไรบ้างก็เรียนไปเมื่อว่านแล้วมั๊งท่านจำไม่ได้ก็ต้องไปทบทวนนิดนึง
ธรรม 201 ผมเขียนแต่ชื่อมาให้ ก็คือ ยึดสิ่งเหล่านี้ อาการยึดก็จะเป็นว่า
รูปัง เนี่ยสมมุติเอารูปขึ้นมาเป็นตัวหลักในการยึด นา ก็ยึดธรรม 201 นั่นแหละก็สลับไปตามองค์ธรรมหรือว่าตามสภาวะที่เข้าไปยึดนะ
รูปัง
เอตัง มะมะ
เอโสหะมัสสะมิ
เอโส เมอัตตา ติ
อะภินิเวสาปรามาโส ทิฏฐิ
ความยึดเป็นอย่างอื่นอย่างเหนียวแน่นว่า
รูปนั่นเป็นของเรา
เราเป็นรูปนั่น
รูปนั่นเป็นอัตราของเรา
ดังนี้ เป็นทิฏฐิ
----------19.02
------เมื่อไปดูเรื่องนี้ในพระอรรถกถาจารย์ มีดังนี้
...บัดนี้ พึงทราบการแสดงโดยพิสดารของบทมีอาทิว่า กถํ อภินิเวสปรามาโส การลูบคลำด้วยการถือผิดเป็นอย่างไร.
ในบทเหล่านั้น บทว่า รูปํ เป็นทุติยาวิภัตติ. เชื่อมความว่า การลูบคลำด้วยความถือผิดซึ่งรูป.
อนึ่ง ในบทว่า รูปํ นี้ ได้แก่ รูปูปาทานขันธ์และกสิณรูป. ทิฏฐิคือการลูบคลำด้วยความถือผิดว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา พึงประกอบเฉพาะอย่าง.
บทว่า เอตํ เป็นสามัญวจนะ. ด้วยบทนั้นท่านทำให้เป็นนปุงสกวจนะและเอกวจนะว่า นั่นเวทนาของเรา นั่นสังขารของเรา.
แต่บทว่า เอโส ท่านเพ่งถึงสิ่งที่ควรกล่าวถึง จึงทำให้เป็นปุลลิงควจนะ.
บทว่า เอตํ มม (นั่นของเรา) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะตัณหาเป็นมูล.
บทว่า เอโสหมสฺมิ (เราเป็นนั่น) เป็นทิฏฐิมีความสำคัญ เพราะมานะเป็นมูล.
บทว่า เอโส เม อตฺตา (นั่นเป็นตัวตนของเรา) มีความสำคัญ เพราะทิฏฐินั่นเอง.
ส่วนอาจารย์บางพวกพรรณนาความแห่งคำทั้ง ๓ เหล่านี้ว่า ความดำริด้วยมมังการ (ความถือว่าเป็นของเรา) ว่านั่นเป็นของเรา ความดำริด้วยอหังการ (ความถือว่าเป็นเรา) ว่าเราเป็นนั่น และการถือมั่นตัวตนอันดำริด้วยอหังการ มมังการว่า นั่นเป็นตัวตนของเรา.
อนึ่ง การยกย่องด้วยมานะอาศัยตัณหาเป็นมูลตามลำดับ อันมานะยกย่องแล้วอาศัยตัณหาเป็นมูล และการยึดถือตัวตน. การไม่เห็นลักษณะที่เป็นทุกข์แห่งสังขารทั้งหลาย การไม่เห็นลักษณะที่เป็นของไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย และการยึดถือตัวตนอันเป็นเหตุไม่เห็นพระไตรลักษณ์แห่งสังขารทั้งหลาย การยึดถือตัวตนของผู้ที่ถึงความวิปลาสในความทุกข์ว่าเป็นความสุข ในความไม่งามว่าเป็นความงาม ในความเป็นของไม่เที่ยงว่าเป็นของเที่ยง และผู้ถึงความวิปลาส ๔ อย่าง.
...
และ รูป เป็นเพียงตัวอย่าง 1 ในธรรม 11 หมวด 201 บท
ภาพหมายเลข 114
ภาพหมายเลข 115
---19.02
คำตรงคำว่า รูปัง สามารถเปลี่ยนแปลงได้จำนวน 201 คำ
บางคนก็ยึด รูป บางคนก็ยึดเวทนา ในเวทนาก็สามารถยึดกระจายได้อีกเป็น เวทนาสุข เวทนาทุกข์
19.19
เวทนาอทุกขมสุข
หรือ รูป ก็สามารถกระจายได้อีกเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ไฟ ลม
ดินนั้นเป็นของเรา เราเป็นดินนั่น ดินนั่นเป็นอัตราของเรา ประมาณนี้นะครับทำนองนี้
เราก็จะเข้าใจว่าอ้อทิฏฐิคือแบบนี้
ตัวหลักของทิฏฐิ ก็คือ อะภินิเวสะปรามาโส นั่นเองนะครับตัวนี้
แต่เวลาเขายึดเขาก็จะยึดสิ่งต่างๆจำนวน 201 อย่างนั่นเองนะ แต่ว่าในพระสูตรทั่วไปเราก็จะเห็น
พระพุทธเจ้าแสดงยึดขันธ์ 5 อะไรอย่างนี้นะ ยึดอายะตะนะ อะไรประมาณนี้ เอบางท่านก็บอกว่า
มันยึดได้กี่อย่างนะ อยากรู้เราก็มาเรียนในคัมภีร์นี้ก็จะรู้หมดเลยนะครับ จนถึงนี่ ชรา มรณะ
ก็คือ รูป นี้เป็นลำดับที่ 1 นะ ชรามรณะเรียนลำดับที่ 201
ชะรามะระณัง เอตัง มะมะ , เอโสหะมะสะมิ , เอโส เม อัตตา ติ อภินิเวสะปรามาโส ทิฏฐิ .
การยึดถือเป็นอย่างอื่นอย่างเหนียวแน่นว่า
ชรามรณะ นั่น เป็นของเรา
เรา เป็นชรามรณะนั่น
ชรามรณะนั่น เป็นอัตราตัวตนของเรา
ดั่งนี้ เป็นทิฏฐิ นะครับ
-----20.29
จริงๆชรามรณะก็เป็นสภาวะธรรมน๊อ เกิดดับ แต่ว่าความยึดถือเป็นอย่างอื่น ที่จริง จริงๆ
ชรามรณะไม่ได้เป็นเรา เป็นของเรา แต่คนนี้ยึดเป็นอย่างอื่นก็ ความยึดนั่นแหละคือทิฏฐิ
และยึดอย่างเหนียวแน่นด้วยว่า ต้องเป็นเราเท่านั้นที่แก่ เราไม่แก่ได้ยังไง เราก็แก่ยิ่งอะไรประมาณนี้นะ
ทำนองนี้นะครับ
เราตายอะไรทำนองนี้ จริงๆแก่แล้วตายก็เป็นเรื่องของรูปนามขันธ์ 5 น๊อคนละเรื่องกันทีนี้เขายึด
พวกยึดเนี่ย ฉนั้นเวลาท่านขยายทิฏฐิก็เลยใช้คำบาลีว่า อภินิเวสะปรามาโส ทิฏฐิ
อภินิเวสะ เหนียวแน่นกอดรัดไว้
ปรามาสะ ปะระเป็นอย่างอื่น มาสะถือถือเป็นอย่างอื่น อย่างเหนียวแน่น นะครับ เรียกว่า ทิฏฐิ นา
นี้คืออธิบายชุดที่ 1 ทิฏฐิคืออะไร
-------21.23