ถังดับเพลิงทุกบ้าน: การลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อความปลอดภัยของคนไทย
ประเด็นเรื่องการแจกจ่ายและกำกับดูแลถังดับเพลิงให้ "ทุกบ้าน" ทั่วประเทศ (ประมาณ 21 ล้านครัวเรือน) นับเป็นการลงทุนด้านความปลอดภัยสาธารณะที่สำคัญ โดยแม้ว่าในประเทศไทยจะยังไม่มีโครงการครอบคลุมทั้งประเทศ แต่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ริเริ่มโครงการนำร่องแจกจ่ายถังดับเพลิงในชุมชนกว่า 36,000 ถังในปี 2567 และอีก 18,607 ถังในปี 2568 ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสภาพและกำกับดูแลด้วย QR Code[1][2][3] การศึกษาจากข้อมูลทั้งในและต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่าโครงการลักษณะนี้มีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จสูงและมีความคุ้มค่าในระยะยาว[1]
1. เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จ (Success Rate) ที่พิสูจน์แล้ว
ความสำเร็จของโครงการแจกถังดับเพลิงสามารถวัดได้จากสองมิติหลัก คือ ความสามารถในการดับเพลิงเมื่อใช้งานจริง และผลกระทบโดยรวมต่อการลดความเสียหายและสูญเสีย[1]
อัตราความสำเร็จในการใช้งานจริง: ถังดับเพลิงมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมเพลิงไหม้ขนาดเล็ก โดยข้อมูลจากการสำรวจในสหราชอาณาจักรปี 2564 ระบุว่าถังดับเพลิงสามารถดับเพลิงได้สำเร็จสูงถึง 93% เมื่อมีการใช้งาน[1] ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจาก 80% ในปี 2546 และในสหรัฐอเมริกาพบว่า 98% ของผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย และ 93.5% ของการใช้งานประสบความสำเร็จ โดยผู้ใช้สามารถเลือกใช้ถังดับเพลิงประเภทที่ถูกต้องได้ถึง 93% ของเวลา[1] นอกจากนี้ ถังดับเพลิงยังช่วยดับเพลิงในอาคารรัฐของรัฐเท็กซัสได้ 40% ของเหตุการณ์ทั้งหมด 47 ครั้ง (ปี 2551-2553) และมีส่วนช่วยดับเพลิงในบ้านพักอาศัยได้ 5% ของเหตุเพลิงทั้งหมดในสหรัฐฯ (ราว 371,000 ครั้งต่อปี จากข้อมูลปี 2547-2548)[1] สิ่งนี้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของถังดับเพลิงในการระงับเพลิงระยะเริ่มต้น
ผลกระทบโดยรวมต่อการลดเหตุเพลิงไหม้: โครงการที่บูรณาการการแจกถังดับเพลิงเข้ากับการฝึกอบรมการใช้งานและการกำกับดูแลอย่างสม่ำเสมอ (เช่น การตรวจสอบรายเดือน) สามารถลดเหตุเพลิงไหม้ในบ้าน ลดอุบัติเหตุ และลดการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในชุมชนเปราะบาง[1] การผสมผสานถังดับเพลิงกับการติดตั้งเครื่องตรวจจับควันสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากเพลิงได้ถึง 50% และลดความเสียหายต่อทรัพย์สินได้ 72% ในบางกรณี[1] โครงการของ กทม. ที่ตรวจสอบและเปลี่ยนถังเก่ากว่า 30,000 ถัง ก็เป็นการเพิ่มความพร้อมใช้งานในชุมชน[1] หากขยายโครงการไปสู่ทุกครัวเรือน คาดว่าความสำเร็จโดยรวมจะสูงถึง 80-95% หากมีการกำกับดูแลที่ดีและการอบรมประจำปี ซึ่งสามารถลดเหตุเพลิงลุกลามได้ 5-10% ในชุมชนที่มีความเสี่ยง[1]
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จคือ การเลือกใช้ถังดับเพลิงชนิด ABC ซึ่งสามารถดับเพลิงได้หลากหลายประเภท (เช่น ไม้ น้ำมัน ไฟฟ้า) และการให้ความรู้หรืออบรมแก่ผู้รับ ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด[1][4][5]
2. ความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness) ในระยะยาว
การประเมินความคุ้มค่าพิจารณาจากต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (การจัดซื้อ การแจกจ่าย การตรวจสอบ และการกำกับดูแล) เทียบกับผลประโยชน์ที่ได้รับ เช่น การลดความเสียหาย การสูญเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายทางสังคม[1]
ต้นทุน: ราคาถังดับเพลิงต่อหน่วยอยู่ที่ประมาณ 500-2,000 บาท[1] หากประเมินสำหรับการแจกจ่าย 21 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ จะมีต้นทุนเริ่มต้นประมาณ 10,500-42,000 ล้านบาท[1] อย่างไรก็ตาม ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (รวมถึงการบำรุงรักษา 5-10 ปี) ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 0.5-4 เซนต์ต่อตารางฟุตต่อปี (หรือประมาณ 0.17-1.36 บาท/ตร.ม./ปี)[1] การกำกับดูแลผ่านแอปพลิเคชันหรือ QR Code อาจมีต้นทุนการตรวจสอบรายเดือนประมาณ 100-200 บาทต่อถังต่อปี แต่ก็สามารถลดลงได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม[1]
ผลประโยชน์และผลตอบแทนการลงทุน (ROI):
ลดความเสียหาย: ในสหราชอาณาจักร ถังดับเพลิงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายบริการดับเพลิงได้ถึง 5.1 ล้านปอนด์ต่อปี (ประมาณ 230 ล้านบาท) และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจรวม 500 ล้านปอนด์ต่อปี (ประมาณ 22,500 ล้านบาท) โดยสามารถป้องกันการบาดเจ็บได้ 1,629 ราย และลดการเสียชีวิตได้ 24 รายต่อปี[1] ในสหรัฐฯ การใช้ถังดับเพลิงช่วยลดค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายในการซ่อมแซมบ้านได้หลายเท่า เนื่องจากเหตุเพลิงไหม้บ้านโดยเฉลี่ยสร้างความเสียหายถึง 50,000-100,000 ดอลลาร์ต่อครั้ง[1]
ROI โดยรวม: โครงการแจกถังดับเพลิงแบบหลายมิติมีอัตราส่วนต้นทุนต่อผลประโยชน์สูง โดยสามารถลดต้นทุนทางสังคมจากเพลิงไหม้ได้ถึง 10 เท่า เช่น ลดค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลและการสูญเสียทรัพย์สิน[1] ในประเทศไทย ซึ่งมีเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประมาณ 5,000-10,000 ครั้งต่อปี[1][6] โครงการนี้จะยิ่งคุ้มค่าหากมีการเชื่อมโยงกับการลดเบี้ยประกันภัย (ลดได้ 10-20% สำหรับบ้านที่มีถังดับเพลิง) และการป้องกันการลุกลามของเพลิงไหม้[1][7]
ด้าน
ต้นทุนโดยประมาณ (ต่อครัวเรือน/ปี)
ผลประโยชน์โดยประมาณ (ต่อครัวเรือน/ปี)
ROI (ประมาณ)
แจกและติดตั้ง
500-2,000 บาท (ครั้งเดียว)[1]
ลดความเสียหายเพลิง 10,000-50,000 บาท (ถ้าดับได้)[1]
สูง (5-10 เท่า)[1]
กำกับดูแล (ตรวจ+อบรม)
100-200 บาท[1]
ลดอุบัติเหตุ 20-50% (93% success)[1]
สูงมาก (ป้องกันเสียชีวิต/บาดเจ็บ)[1]
โดยรวม
0.17-1.36 บาท/ตร.ม.[1]
ประหยัดสังคม 1,000-5,000 ล้านบาท/ปี (ระดับทุกบ้าน)[1]
คุ้มค่า (net positive)[1]
สรุปและข้อเสนอแนะ
โครงการแจกและกำกับดูแลถังดับเพลิงให้ทุกครัวเรือนมีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จสูง โดยสามารถดับเพลิงได้ 93% เมื่อใช้งานจริง และมีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง ด้วยต้นทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนที่สูงถึง 5-10 เท่า[1] โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นโครงการที่มีหลายมิติ (multi-faceted) คือมีการแจก การอบรมใช้งาน และการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดเหตุเพลิงไหม้ ลดการเสียชีวิต และประหยัดงบประมาณทางสังคมได้เป็นจำนวนมาก[1]
สำหรับประเทศไทย การขยายผลจากโครงการของ กทม.[2] สามารถทำได้โดยใช้งบประมาณจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับการสนับสนุนจากภาคเอกชนผ่านโครงการ CSR[8] อย่างไรก็ตาม สิ่งท้าทายที่ต้องพิจารณาคือ การบำรุงรักษาถังดับเพลิงที่มีอายุการใช้งาน 5-10 ปี และการจัดอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ[1] หากสามารถดำเนินการได้อย่างดี โครงการนี้จะเป็นมาตรการป้องกันอัคคีภัยที่มีประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้งบประมาณที่จำกัด และยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยได้อย่างยั่งยืน.
Sources help
Current time information in Bangkok, TH.
bangkokfire.go.th
bangkok.go.th
baankang.go.th
thaiwatsadu.com
roojai.com
bsa.or.th
sst.co.th
Google Search Suggestions
Display of Search Suggestions is required when using Grounding with Google Search. Learn more
[img]https://www.gstatic.com/images/branding/productlogos/googleg/v6/24px.svg[/img]
โครงการแจกถังดับเพลิง กทม 2567
สถิติเพลิงไหม้บ้านในประเทศไทย
ประสิทธิภาพการใช้งานถังดับเพลิงงานวิจัย
ความคุ้มค่าการแจกถังดับเพลิง
จำนวนครัวเรือนประเทศไทย 2567
T-series: นำเสนอนโยบายอัคคีภัย
ประเด็นเรื่องการแจกจ่ายและกำกับดูแลถังดับเพลิงให้ "ทุกบ้าน" ทั่วประเทศ (ประมาณ 21 ล้านครัวเรือน) นับเป็นการลงทุนด้านความปลอดภัยสาธารณะที่สำคัญ โดยแม้ว่าในประเทศไทยจะยังไม่มีโครงการครอบคลุมทั้งประเทศ แต่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ได้ริเริ่มโครงการนำร่องแจกจ่ายถังดับเพลิงในชุมชนกว่า 36,000 ถังในปี 2567 และอีก 18,607 ถังในปี 2568 ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบสภาพและกำกับดูแลด้วย QR Code[1][2][3] การศึกษาจากข้อมูลทั้งในและต่างประเทศ ชี้ให้เห็นว่าโครงการลักษณะนี้มีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จสูงและมีความคุ้มค่าในระยะยาว[1]
1. เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จ (Success Rate) ที่พิสูจน์แล้ว
ความสำเร็จของโครงการแจกถังดับเพลิงสามารถวัดได้จากสองมิติหลัก คือ ความสามารถในการดับเพลิงเมื่อใช้งานจริง และผลกระทบโดยรวมต่อการลดความเสียหายและสูญเสีย[1]
อัตราความสำเร็จในการใช้งานจริง: ถังดับเพลิงมีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมเพลิงไหม้ขนาดเล็ก โดยข้อมูลจากการสำรวจในสหราชอาณาจักรปี 2564 ระบุว่าถังดับเพลิงสามารถดับเพลิงได้สำเร็จสูงถึง 93% เมื่อมีการใช้งาน[1] ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจาก 80% ในปี 2546 และในสหรัฐอเมริกาพบว่า 98% ของผู้ใช้ทั่วไปสามารถใช้งานได้อย่างปลอดภัย และ 93.5% ของการใช้งานประสบความสำเร็จ โดยผู้ใช้สามารถเลือกใช้ถังดับเพลิงประเภทที่ถูกต้องได้ถึง 93% ของเวลา[1] นอกจากนี้ ถังดับเพลิงยังช่วยดับเพลิงในอาคารรัฐของรัฐเท็กซัสได้ 40% ของเหตุการณ์ทั้งหมด 47 ครั้ง (ปี 2551-2553) และมีส่วนช่วยดับเพลิงในบ้านพักอาศัยได้ 5% ของเหตุเพลิงทั้งหมดในสหรัฐฯ (ราว 371,000 ครั้งต่อปี จากข้อมูลปี 2547-2548)[1] สิ่งนี้ตอกย้ำบทบาทสำคัญของถังดับเพลิงในการระงับเพลิงระยะเริ่มต้น
ผลกระทบโดยรวมต่อการลดเหตุเพลิงไหม้: โครงการที่บูรณาการการแจกถังดับเพลิงเข้ากับการฝึกอบรมการใช้งานและการกำกับดูแลอย่างสม่ำเสมอ (เช่น การตรวจสอบรายเดือน) สามารถลดเหตุเพลิงไหม้ในบ้าน ลดอุบัติเหตุ และลดการเสียชีวิตได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในชุมชนเปราะบาง[1] การผสมผสานถังดับเพลิงกับการติดตั้งเครื่องตรวจจับควันสามารถลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากเพลิงได้ถึง 50% และลดความเสียหายต่อทรัพย์สินได้ 72% ในบางกรณี[1] โครงการของ กทม. ที่ตรวจสอบและเปลี่ยนถังเก่ากว่า 30,000 ถัง ก็เป็นการเพิ่มความพร้อมใช้งานในชุมชน[1] หากขยายโครงการไปสู่ทุกครัวเรือน คาดว่าความสำเร็จโดยรวมจะสูงถึง 80-95% หากมีการกำกับดูแลที่ดีและการอบรมประจำปี ซึ่งสามารถลดเหตุเพลิงลุกลามได้ 5-10% ในชุมชนที่มีความเสี่ยง[1]
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จคือ การเลือกใช้ถังดับเพลิงชนิด ABC ซึ่งสามารถดับเพลิงได้หลากหลายประเภท (เช่น ไม้ น้ำมัน ไฟฟ้า) และการให้ความรู้หรืออบรมแก่ผู้รับ ทำให้ประสิทธิภาพการใช้งานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด[1][4][5]
2. ความคุ้มค่า (Cost-Effectiveness) ในระยะยาว
การประเมินความคุ้มค่าพิจารณาจากต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (การจัดซื้อ การแจกจ่าย การตรวจสอบ และการกำกับดูแล) เทียบกับผลประโยชน์ที่ได้รับ เช่น การลดความเสียหาย การสูญเสียชีวิต และค่าใช้จ่ายทางสังคม[1]
ต้นทุน: ราคาถังดับเพลิงต่อหน่วยอยู่ที่ประมาณ 500-2,000 บาท[1] หากประเมินสำหรับการแจกจ่าย 21 ล้านครัวเรือนทั่วประเทศ จะมีต้นทุนเริ่มต้นประมาณ 10,500-42,000 ล้านบาท[1] อย่างไรก็ตาม ต้นทุนตลอดอายุการใช้งาน (รวมถึงการบำรุงรักษา 5-10 ปี) ในสหรัฐฯ อยู่ที่ 0.5-4 เซนต์ต่อตารางฟุตต่อปี (หรือประมาณ 0.17-1.36 บาท/ตร.ม./ปี)[1] การกำกับดูแลผ่านแอปพลิเคชันหรือ QR Code อาจมีต้นทุนการตรวจสอบรายเดือนประมาณ 100-200 บาทต่อถังต่อปี แต่ก็สามารถลดลงได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม[1]
ผลประโยชน์และผลตอบแทนการลงทุน (ROI):
ลดความเสียหาย: ในสหราชอาณาจักร ถังดับเพลิงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายบริการดับเพลิงได้ถึง 5.1 ล้านปอนด์ต่อปี (ประมาณ 230 ล้านบาท) และสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจรวม 500 ล้านปอนด์ต่อปี (ประมาณ 22,500 ล้านบาท) โดยสามารถป้องกันการบาดเจ็บได้ 1,629 ราย และลดการเสียชีวิตได้ 24 รายต่อปี[1] ในสหรัฐฯ การใช้ถังดับเพลิงช่วยลดค่ารักษาพยาบาลและความเสียหายในการซ่อมแซมบ้านได้หลายเท่า เนื่องจากเหตุเพลิงไหม้บ้านโดยเฉลี่ยสร้างความเสียหายถึง 50,000-100,000 ดอลลาร์ต่อครั้ง[1]
ROI โดยรวม: โครงการแจกถังดับเพลิงแบบหลายมิติมีอัตราส่วนต้นทุนต่อผลประโยชน์สูง โดยสามารถลดต้นทุนทางสังคมจากเพลิงไหม้ได้ถึง 10 เท่า เช่น ลดค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลและการสูญเสียทรัพย์สิน[1] ในประเทศไทย ซึ่งมีเหตุเพลิงไหม้บ้านเรือนประมาณ 5,000-10,000 ครั้งต่อปี[1][6] โครงการนี้จะยิ่งคุ้มค่าหากมีการเชื่อมโยงกับการลดเบี้ยประกันภัย (ลดได้ 10-20% สำหรับบ้านที่มีถังดับเพลิง) และการป้องกันการลุกลามของเพลิงไหม้[1][7]
ด้าน
ต้นทุนโดยประมาณ (ต่อครัวเรือน/ปี)
ผลประโยชน์โดยประมาณ (ต่อครัวเรือน/ปี)
ROI (ประมาณ)
แจกและติดตั้ง
500-2,000 บาท (ครั้งเดียว)[1]
ลดความเสียหายเพลิง 10,000-50,000 บาท (ถ้าดับได้)[1]
สูง (5-10 เท่า)[1]
กำกับดูแล (ตรวจ+อบรม)
100-200 บาท[1]
ลดอุบัติเหตุ 20-50% (93% success)[1]
สูงมาก (ป้องกันเสียชีวิต/บาดเจ็บ)[1]
โดยรวม
0.17-1.36 บาท/ตร.ม.[1]
ประหยัดสังคม 1,000-5,000 ล้านบาท/ปี (ระดับทุกบ้าน)[1]
คุ้มค่า (net positive)[1]
สรุปและข้อเสนอแนะ
โครงการแจกและกำกับดูแลถังดับเพลิงให้ทุกครัวเรือนมีเปอร์เซ็นต์ความสำเร็จสูง โดยสามารถดับเพลิงได้ 93% เมื่อใช้งานจริง และมีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง ด้วยต้นทุนที่ต่ำเมื่อเทียบกับผลตอบแทนการลงทุนที่สูงถึง 5-10 เท่า[1] โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นโครงการที่มีหลายมิติ (multi-faceted) คือมีการแจก การอบรมใช้งาน และการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดเหตุเพลิงไหม้ ลดการเสียชีวิต และประหยัดงบประมาณทางสังคมได้เป็นจำนวนมาก[1]
สำหรับประเทศไทย การขยายผลจากโครงการของ กทม.[2] สามารถทำได้โดยใช้งบประมาณจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับการสนับสนุนจากภาคเอกชนผ่านโครงการ CSR[8] อย่างไรก็ตาม สิ่งท้าทายที่ต้องพิจารณาคือ การบำรุงรักษาถังดับเพลิงที่มีอายุการใช้งาน 5-10 ปี และการจัดอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ[1] หากสามารถดำเนินการได้อย่างดี โครงการนี้จะเป็นมาตรการป้องกันอัคคีภัยที่มีประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้งบประมาณที่จำกัด และยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยได้อย่างยั่งยืน.
Sources help
Current time information in Bangkok, TH.
bangkokfire.go.th
bangkok.go.th
baankang.go.th
thaiwatsadu.com
roojai.com
bsa.or.th
sst.co.th
Google Search Suggestions
Display of Search Suggestions is required when using Grounding with Google Search. Learn more
[img]https://www.gstatic.com/images/branding/productlogos/googleg/v6/24px.svg[/img]
โครงการแจกถังดับเพลิง กทม 2567
สถิติเพลิงไหม้บ้านในประเทศไทย
ประสิทธิภาพการใช้งานถังดับเพลิงงานวิจัย
ความคุ้มค่าการแจกถังดับเพลิง
จำนวนครัวเรือนประเทศไทย 2567