❌❌❌ยืนยันโรงพยาบาลรัฐ “ขาดทุนแทบทุกแห่ง” ❌❌❌ วิจารณ์ สปสช. “บิดเบือนข้อมูล” และ “ไม่ยอมรับปัญหางบประมาณ” เสนอเพิ่มงบตามต้นทุนจริง หรือเปิดทางร่วมจ่าย เตือน “Information War” สร้างความแตกแยกระหว่างกองทุนและหน่วยบริการ ชี้บอร์ด สปสช. ควรถูกปฏิรูป ขาดมุมมองใหม่ ๆ ที่จะพัฒนาระบบให้ก้าวหน้า
วันนี้ (27 ต.ค. 68) ศาสตราจารย์นายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ #เก็บตกจากวชิรวิทย์ กรณี อดีตรองเลขาธิการ สปสช. ชี้แจงต่อสาธารณะว่า มีเพียง 58 โรงพยาบาลเท่านั้นที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ขณะที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังมีเงินหมุนเวียนรวมกว่า 38,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่า ข้อมูลดังกล่าว “บิดเบือนข้อเท็จจริง” และสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม
“คำว่า ‘ขาดสภาพคล่อง’ หมายถึงโรงพยาบาลที่ขาดทุนจนไม่เหลือเงินสดสำหรับดำเนินกิจการแล้ว เท่ากับล้มละลายตามภาษาธุรกิจ แต่ความจริงคือ โรงพยาบาลขาดทุนแทบทุกแห่ง เพียงแต่ยังอยู่ได้เพราะมีรายได้จากสิทธิอื่นมาชดเชย เช่น ข้าราชการ ประกันสังคม หรือผู้ป่วยที่จ่ายเอง” ศ.นพ.มานพ กล่าว
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวเลข “เงินบำรุงสะสม 38,000 ล้านบาท” ที่ สปสช.ใช้เป็นหลักฐานนั้น ไม่ใช่ตัวชี้วัดกำไรของโรงพยาบาล เพราะเป็นเงินสะสมจากอดีต และแต่ละแห่งมีไม่มากนัก อีกทั้งตัวเลขดังกล่าวกำลังลดลงเรื่อย ๆ สะท้อนสัญญาณว่า “ระบบกำลังอยู่ในภาวะถดถอย”
◤ “เงินบำรุง” คือเงินของรัฐ แต่ สปสช.ไม่มีสิทธิกดดันให้ใช้ชดเชยขาดทุน
ศ.นพ.มานพ เห็นด้วยว่าตามหลักการ เงินบำรุงโรงพยาบาลเป็นเงินของรัฐที่อนุญาตให้สถานพยาบาลใช้บริหารจัดการภายในเพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่ไม่หมายความว่า สปสช.จะสามารถกดดันให้โรงพยาบาลนำเงินบำรุงมาใช้ชดเชยการขาดทุนในระบบบัตรทองได้
“การใช้ข้ออ้างว่าเงินบำรุงเป็นเงินของรัฐ แล้วทำให้โรงพยาบาลขาดทุนเพื่อดึงเงินก้อนนี้ออกมาใช้ เป็นตรรกะที่ผิด สปสช.ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น เพราะเงินบำรุงต้องใช้เพื่อรักษาความมั่นคงของหน่วยบริการ ไม่ใช่ถูกรีดมาอุดช่องโหว่งบประมาณของกองทุน” เขากล่าว
◤ ไม่มอง รพ.ขาดทุนเพราะจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรสูง ย้ำต้นเหตุอยู่ที่ค่ารักษาไม่ได้รับชดเชยเต็ม
ต่อข้อสังเกตจากชมรมแพทย์ชนบทว่า โรงพยาบาลขาดทุนเพราะใช้จ่ายงบค่าตอบแทนบุคลากรสูง โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล (ฉ.11) ศ.นพ.มานพ มองว่า ไม่เกี่ยวกัน
“การขาดทุนไม่ได้เกิดจากค่าใช้จ่ายบุคลากร แต่เกิดจากต้นทุนการรักษาพยาบาลที่สูงกว่างบที่ได้รับ โรงพยาบาลต้องรักษาผู้ป่วยก่อนแล้วค่อยเบิกคืน แต่เมื่อใช้ไป 100 บาท กลับได้คืนเพียง 50 บาท ระบบก็ไม่รอด”
เขาระบุว่า งบบุคลากรเป็นงบที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่ปัจจัยแปรผันที่ทำให้เกิดปัญหาขาดทุน
◤ “ระบบไม่ล่ม เพราะโรงพยาบาลเสียสละ ไม่ใช่เพราะ สปสช.บริหารดี”
ศ.นพ.มานพ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ระบบบัตรทองยังคงดำเนินต่อได้ ไม่ใช่เพราะ สปสช.บริหารเก่ง แต่เพราะความเสียสละของโรงพยาบาลรัฐที่ต้องแบกรับภาระโดยไม่มีทางเลือก
“ทุกวันนี้คนที่รับภาระคือหน่วยบริการ ไม่ใช่ สปสช. โรงพยาบาลต้องก้มหน้าทำงาน แม้รู้ว่ายิ่งรักษายิ่งขาดทุน ขณะที่เอกชนส่วนใหญ่ถอนตัวไปหมดแล้ว เพราะยิ่งให้บริการยิ่งเจ๊ง มีเพียงโรงพยาบาลรัฐเท่านั้นที่ยังฝืนอยู่ได้เพราะหน้าที่ต่อประชาชน”
◤ เสนอให้ สปสช. “ยอมรับปัญหา” และ “เพิ่มงบประมาณตามต้นทุนจริง”
เขาระบุว่า หาก สปสช.ยังไม่ยอมรับว่าปัญหาเกิดจากโครงสร้างงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ระบบจะยิ่งเข้าสู่ภาวะขัดแย้งระหว่าง “คนถือเงิน” กับ “หน่วยบริการ”
“สิ่งแรกที่ต้องทำคือ สปสช.ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่างบไม่พอ เพราะสิทธิประโยชน์ถูกขยายออกไปทุกปี แต่ค่าใช้จ่ายพื้นฐานไม่ได้ปรับเพิ่มตามต้นทุนจริง”
ศ.นพ.มานพ อธิบายว่า ปัจจุบันต้นทุนบริการผู้ป่วยใน (Adjust RW) ไม่ได้ปรับเพิ่มมาหลายปี ทั้งที่ต้นทุนรักษาเพิ่มขึ้นราว 8% ต่อปี ทั้งจากราคายา วัสดุ และเครื่องมือแพทย์ ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
◤ “ถ้าไม่เพิ่มงบ ต้องลดสิทธิประโยชน์” หรือเปิดทาง “ร่วมจ่ายอย่างมีเหตุผล”
ศ.นพ.มานพ ระบุว่า ทางออกของระบบมีเพียงสองทาง คือ
1. เพิ่มงบประมาณให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง หรือ
2. ทบทวนสิทธิประโยชน์บางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในความคุ้มครองของ สปสช.
เขายกตัวอย่างว่า การให้บริการฟรีในทุกกรณี แม้ในโรคที่ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ เช่น ยาเบื้องต้น หรือการรักษาเล็กน้อยในร้านยา อาจเป็นการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น (oversupply)
นอกจากนี้ เขาเสนอว่า “ระบบร่วมจ่าย” (co-payment) ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากออกแบบอย่างเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความรับผิดชอบในการใช้บริการ และช่วยให้ระบบยั่งยืนขึ้น
“co-payment ไม่ได้แปลว่าทำให้คนไข้ล้มละลาย มันขึ้นอยู่กับการออกแบบ เช่น บางกรณีที่สิทธิบัตรทองไม่ครอบคลุม ถ้าผู้ป่วยสมัครใจใช้บริการเพิ่ม ก็สามารถจ่ายส่วนเกินได้ เหมือนระบบของกรมบัญชีกลางในปัจจุบัน ซึ่งก็มีรูปแบบร่วมจ่ายอยู่แล้วแต่ไม่มีใครบ่นว่าล้มละลาย”
เขายังชี้ว่า โรงพยาบาลรัฐจำนวนมากอยู่รอดได้เพราะกำไรจากสิทธิข้าราชการ ซึ่งถูกนำไปชดเชยขาดทุนของผู้ป่วยสิทธิบัตรทองโดยปริยาย “ระบบนี้อยู่ได้เพราะกรมบัญชีกลางกลายเป็นโรบินฮู้ดของโรงพยาบาลรัฐ” เขากล่าว
◤ เตือน “Information War” ทำลายความเชื่อมั่นระบบหลักประกันสุขภาพ
ศ.นพ.มานพ เตือนว่า การที่ สปสช.ออกมาสื่อสารแบบ “Information War” หรือกล่าวโทษหน่วยบริการ โดยไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาการเงิน จะยิ่งสร้างความแตกแยกระหว่างหน่วยงาน และทำให้การหาทางออกร่วมกันยากขึ้น
“สิ่งที่ควรทำคือยอมรับปัญหา แล้วร่วมกันหาทางแก้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ สปสช.ทำคือปฏิเสธทุกอย่าง แล้วโยนความผิดให้โรงพยาบาล ซึ่งไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย”
◤ ชี้ “บอร์ด สปสช.” มีปัญหา “ผลประโยชน์ทับซ้อน” – คนกลุ่มเดิมวนเวียนอยู่ในระบบนานเกินไป
ท้ายสุด ศ.นพ.มานพ ระบุว่า ปัญหาภายใน สปสช. ยังสะท้อนความไม่สมดุลในโครงสร้างคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) โดยเฉพาะกลุ่มตัวแทนจากภาคประชาชนหรือ NGO ที่มีบทบาทซ้ำซ้อนในระบบมานานหลายปี
“กรรมการหลายคนอยู่ใน สปสช.มาเป็นสิบปี วนเวียนสลับตำแหน่งไปมาในกลุ่มเดิม ซึ่งอาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและขาดมุมมองใหม่ ๆ ที่จะพัฒนาระบบให้ก้าวหน้า” เขากล่าวทิ้งท้าย
#นักข่าวสาธารณสุข #เก็บตกจากวชิรวิทย์
CR
https://www.facebook.com/share/17fVxH5v8Z/?mibextid=wwXIfr
ศ.นพ.มานพ ชี้ ระบบอยู่ได้เพราะความเสียสละของโรงพยาบาลรัฐ ไม่ใช่เพราะ สปสช.เก่ง
วันนี้ (27 ต.ค. 68) ศาสตราจารย์นายแพทย์มานพ พิทักษ์ภากร หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ให้สัมภาษณ์ #เก็บตกจากวชิรวิทย์ กรณี อดีตรองเลขาธิการ สปสช. ชี้แจงต่อสาธารณะว่า มีเพียง 58 โรงพยาบาลเท่านั้นที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ขณะที่โรงพยาบาลส่วนใหญ่ยังมีเงินหมุนเวียนรวมกว่า 38,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่า ข้อมูลดังกล่าว “บิดเบือนข้อเท็จจริง” และสร้างความเข้าใจผิดต่อสังคม
“คำว่า ‘ขาดสภาพคล่อง’ หมายถึงโรงพยาบาลที่ขาดทุนจนไม่เหลือเงินสดสำหรับดำเนินกิจการแล้ว เท่ากับล้มละลายตามภาษาธุรกิจ แต่ความจริงคือ โรงพยาบาลขาดทุนแทบทุกแห่ง เพียงแต่ยังอยู่ได้เพราะมีรายได้จากสิทธิอื่นมาชดเชย เช่น ข้าราชการ ประกันสังคม หรือผู้ป่วยที่จ่ายเอง” ศ.นพ.มานพ กล่าว
เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ตัวเลข “เงินบำรุงสะสม 38,000 ล้านบาท” ที่ สปสช.ใช้เป็นหลักฐานนั้น ไม่ใช่ตัวชี้วัดกำไรของโรงพยาบาล เพราะเป็นเงินสะสมจากอดีต และแต่ละแห่งมีไม่มากนัก อีกทั้งตัวเลขดังกล่าวกำลังลดลงเรื่อย ๆ สะท้อนสัญญาณว่า “ระบบกำลังอยู่ในภาวะถดถอย”
◤ “เงินบำรุง” คือเงินของรัฐ แต่ สปสช.ไม่มีสิทธิกดดันให้ใช้ชดเชยขาดทุน
ศ.นพ.มานพ เห็นด้วยว่าตามหลักการ เงินบำรุงโรงพยาบาลเป็นเงินของรัฐที่อนุญาตให้สถานพยาบาลใช้บริหารจัดการภายในเพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่ไม่หมายความว่า สปสช.จะสามารถกดดันให้โรงพยาบาลนำเงินบำรุงมาใช้ชดเชยการขาดทุนในระบบบัตรทองได้
“การใช้ข้ออ้างว่าเงินบำรุงเป็นเงินของรัฐ แล้วทำให้โรงพยาบาลขาดทุนเพื่อดึงเงินก้อนนี้ออกมาใช้ เป็นตรรกะที่ผิด สปสช.ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น เพราะเงินบำรุงต้องใช้เพื่อรักษาความมั่นคงของหน่วยบริการ ไม่ใช่ถูกรีดมาอุดช่องโหว่งบประมาณของกองทุน” เขากล่าว
◤ ไม่มอง รพ.ขาดทุนเพราะจ่ายค่าตอบแทนบุคลากรสูง ย้ำต้นเหตุอยู่ที่ค่ารักษาไม่ได้รับชดเชยเต็ม
ต่อข้อสังเกตจากชมรมแพทย์ชนบทว่า โรงพยาบาลขาดทุนเพราะใช้จ่ายงบค่าตอบแทนบุคลากรสูง โดยเฉพาะพื้นที่ห่างไกล (ฉ.11) ศ.นพ.มานพ มองว่า ไม่เกี่ยวกัน
“การขาดทุนไม่ได้เกิดจากค่าใช้จ่ายบุคลากร แต่เกิดจากต้นทุนการรักษาพยาบาลที่สูงกว่างบที่ได้รับ โรงพยาบาลต้องรักษาผู้ป่วยก่อนแล้วค่อยเบิกคืน แต่เมื่อใช้ไป 100 บาท กลับได้คืนเพียง 50 บาท ระบบก็ไม่รอด”
เขาระบุว่า งบบุคลากรเป็นงบที่วางแผนไว้ตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่ปัจจัยแปรผันที่ทำให้เกิดปัญหาขาดทุน
◤ “ระบบไม่ล่ม เพราะโรงพยาบาลเสียสละ ไม่ใช่เพราะ สปสช.บริหารดี”
ศ.นพ.มานพ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ระบบบัตรทองยังคงดำเนินต่อได้ ไม่ใช่เพราะ สปสช.บริหารเก่ง แต่เพราะความเสียสละของโรงพยาบาลรัฐที่ต้องแบกรับภาระโดยไม่มีทางเลือก
“ทุกวันนี้คนที่รับภาระคือหน่วยบริการ ไม่ใช่ สปสช. โรงพยาบาลต้องก้มหน้าทำงาน แม้รู้ว่ายิ่งรักษายิ่งขาดทุน ขณะที่เอกชนส่วนใหญ่ถอนตัวไปหมดแล้ว เพราะยิ่งให้บริการยิ่งเจ๊ง มีเพียงโรงพยาบาลรัฐเท่านั้นที่ยังฝืนอยู่ได้เพราะหน้าที่ต่อประชาชน”
◤ เสนอให้ สปสช. “ยอมรับปัญหา” และ “เพิ่มงบประมาณตามต้นทุนจริง”
เขาระบุว่า หาก สปสช.ยังไม่ยอมรับว่าปัญหาเกิดจากโครงสร้างงบประมาณที่ไม่เพียงพอ ระบบจะยิ่งเข้าสู่ภาวะขัดแย้งระหว่าง “คนถือเงิน” กับ “หน่วยบริการ”
“สิ่งแรกที่ต้องทำคือ สปสช.ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่างบไม่พอ เพราะสิทธิประโยชน์ถูกขยายออกไปทุกปี แต่ค่าใช้จ่ายพื้นฐานไม่ได้ปรับเพิ่มตามต้นทุนจริง”
ศ.นพ.มานพ อธิบายว่า ปัจจุบันต้นทุนบริการผู้ป่วยใน (Adjust RW) ไม่ได้ปรับเพิ่มมาหลายปี ทั้งที่ต้นทุนรักษาเพิ่มขึ้นราว 8% ต่อปี ทั้งจากราคายา วัสดุ และเครื่องมือแพทย์ ขณะเดียวกันประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย ทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังและผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
◤ “ถ้าไม่เพิ่มงบ ต้องลดสิทธิประโยชน์” หรือเปิดทาง “ร่วมจ่ายอย่างมีเหตุผล”
ศ.นพ.มานพ ระบุว่า ทางออกของระบบมีเพียงสองทาง คือ
1. เพิ่มงบประมาณให้สอดคล้องกับต้นทุนจริง หรือ
2. ทบทวนสิทธิประโยชน์บางอย่างที่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในความคุ้มครองของ สปสช.
เขายกตัวอย่างว่า การให้บริการฟรีในทุกกรณี แม้ในโรคที่ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองได้ เช่น ยาเบื้องต้น หรือการรักษาเล็กน้อยในร้านยา อาจเป็นการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น (oversupply)
นอกจากนี้ เขาเสนอว่า “ระบบร่วมจ่าย” (co-payment) ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากออกแบบอย่างเหมาะสม เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงความรับผิดชอบในการใช้บริการ และช่วยให้ระบบยั่งยืนขึ้น
“co-payment ไม่ได้แปลว่าทำให้คนไข้ล้มละลาย มันขึ้นอยู่กับการออกแบบ เช่น บางกรณีที่สิทธิบัตรทองไม่ครอบคลุม ถ้าผู้ป่วยสมัครใจใช้บริการเพิ่ม ก็สามารถจ่ายส่วนเกินได้ เหมือนระบบของกรมบัญชีกลางในปัจจุบัน ซึ่งก็มีรูปแบบร่วมจ่ายอยู่แล้วแต่ไม่มีใครบ่นว่าล้มละลาย”
เขายังชี้ว่า โรงพยาบาลรัฐจำนวนมากอยู่รอดได้เพราะกำไรจากสิทธิข้าราชการ ซึ่งถูกนำไปชดเชยขาดทุนของผู้ป่วยสิทธิบัตรทองโดยปริยาย “ระบบนี้อยู่ได้เพราะกรมบัญชีกลางกลายเป็นโรบินฮู้ดของโรงพยาบาลรัฐ” เขากล่าว
◤ เตือน “Information War” ทำลายความเชื่อมั่นระบบหลักประกันสุขภาพ
ศ.นพ.มานพ เตือนว่า การที่ สปสช.ออกมาสื่อสารแบบ “Information War” หรือกล่าวโทษหน่วยบริการ โดยไม่ยอมรับข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาการเงิน จะยิ่งสร้างความแตกแยกระหว่างหน่วยงาน และทำให้การหาทางออกร่วมกันยากขึ้น
“สิ่งที่ควรทำคือยอมรับปัญหา แล้วร่วมกันหาทางแก้ แต่ตอนนี้สิ่งที่ สปสช.ทำคือปฏิเสธทุกอย่าง แล้วโยนความผิดให้โรงพยาบาล ซึ่งไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย”
◤ ชี้ “บอร์ด สปสช.” มีปัญหา “ผลประโยชน์ทับซ้อน” – คนกลุ่มเดิมวนเวียนอยู่ในระบบนานเกินไป
ท้ายสุด ศ.นพ.มานพ ระบุว่า ปัญหาภายใน สปสช. ยังสะท้อนความไม่สมดุลในโครงสร้างคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) โดยเฉพาะกลุ่มตัวแทนจากภาคประชาชนหรือ NGO ที่มีบทบาทซ้ำซ้อนในระบบมานานหลายปี
“กรรมการหลายคนอยู่ใน สปสช.มาเป็นสิบปี วนเวียนสลับตำแหน่งไปมาในกลุ่มเดิม ซึ่งอาจเกิดผลประโยชน์ทับซ้อนและขาดมุมมองใหม่ ๆ ที่จะพัฒนาระบบให้ก้าวหน้า” เขากล่าวทิ้งท้าย
#นักข่าวสาธารณสุข #เก็บตกจากวชิรวิทย์
CR https://www.facebook.com/share/17fVxH5v8Z/?mibextid=wwXIfr