แบ่งปันประสบการณ์ป่วยโรคจิตเภทขั้นรุนแรง 14 ปี (Schizophrenia)

แบ่งปันประสบการณ์ป่วยโรคจิตเภทขั้นรุนแรง 14 ปี (Schizophrenia)

เริ่มจากลักษณะนิสัยส่วนตัวเป็น Introvert พูดน้อย ขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก โลกส่วนตัวสูง ทำให้ไม่ได้พูดคุยหรือเล่นกับเพื่อน ๆ ตั้งแต่อนุบาล 1- ประถม 6 แล้วก็จะมีแก๊งเด็กที่ชอบบูลลี่เพื่อน 4 คน มารุมด่า แกล้ง ทำร้ายร่างกายเราทุกวัน เพราะช่วงนั้นเราโดนย้ายให้ไปนั่งกับ 1 ในแก๊งนั้น เพราะความต้องการของครูประจำชั้นคือต้องการให้เด็กเงียบ นั่งคู่กับเด็กพูดเยอะ จะได้ไม่เป็นการชวนกันคุย เรานั่งเฉย ๆ ตอนที่ครูยังไม่เข้ามาสอน ก็จะโดนอีก 3 คนเดินมารุมแกล้งถึงที่ค่ะ เพราะเดินมาหาคนในกลุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เรา ก็จะโดนตบหัว โดนเรียกว่าเสแสร้งแกล้งเงียบ โดนผลัก ชกคอ ทุบหลัง เรานั่งเรียนอยู่ ๆ ก็ปายางลบมาใส่หู เดินไปโรงอาหารก็มาตามเหยียบส้นร้องเท้าเราให้เราสะดุดล้ม โดนแบบนี้ทุกวัน แล้วซ้ำเติมว่าเราไม่สวย หน้าตาไม่ดี มีคำด่ามากกว่านั้น แต่พูดออกอากาศไม่ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่รุนแรงและกระทบจิตใจมาก ๆ เราร้องไห้ กลั้นน้ำตาไม่ได้ ก็ผลักหัวเราแรง ๆ แล้วด่าเราว่าสวยมากหรอ ร้องไห้ทำไม เป็นนางเอกหรอ ก็จะโดนแกล้ง ด่า ทำร้ายร่างกายมากกว่าเดิม คนนั้นเลขที่ 15 เราเลขที่ 16 เวลามีสอบก็จะบังคับให้เราบอกข้อสอบ โดยหันมาแล้วให้เราชี้ 1-4 แทน ก.-ง. แล้วครูประจำชั้นซึ่งเป็น รองผู้อำนวยการโรงเรียน ก็เคร่งมาก ๆ กดดันเด็กเกินกว่าจะมาสอนในระดับประถม แล้วชอบเอาเราเปรียบเทียบกับพี่สาวแท้ ๆ เรา ที่เรียนจบประถม 6 ไปปี 2010 ชอบเอาไปพูดต่อหน้าห้องว่าเราไม่ได้เรื่องเลยนะเธอ ใช้ไม่ได้เลยนะเธอ ไม่ดี ไม่เก่ง ไม่ได้ครึ่งนึงของพี่สาว ทั้ง ๆ ที่ครูทุกคนก็ชื่นชมเราว่าดีแล้ว เก่งแล้ว แต่โดนครูประจำชั้นกดดันต่อหน้าห้องอยู่คนเดียว จนเราเริ่มเก็บตัวมากขึ้น ไม่กล้าไปโรงเรียน กลัวสังคม แต่ไม่กล้าเล่าปัญหาให้ใครฟังเพราะเคยมองว่าเป็นเรื่องน่าอาย แล้วครอบครัวเราก็มีปัญหา มีสมาชิกครอบครัวเยอะแต่ไม่สนิทกันเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จนเราเริ่มไปเรียนไม่ไหว บวกกับมีปัญหาทางบ้าน สะสมความเครียด กดดัน ตั้งแต่อายุ 11 ทำให้เริ่มมีอาการป่วยทางจิต ทำร้ายตัวเอง (กินยาเกินขนาดวันละ 50+ เม็ดติดกันเป็นอาทิตย์+กรีดแขนตัวเอง+กินน้ำยาล้างห้องน้ำ)

อาการป่วยเริ่มแรกที่เป็นนอนซมอยู่บนที่นอน หมดแรง อ่อนเพลีย ซึมเศร้า ไม่กิน ไม่ลุกจากที่นอน ไม่ไปโรงเรียน จนถึงวันสอบจบป.6 ก็ไม่ไปสอบจบ เพราะกลัวสังคมที่โรงเรียน กลัวเรื่องที่ต้องเจอทุกวัน คิดแต่จะ ฆตต. อย่างเดียว อยากหนีไปให้พ้นทุกปัญหา (โดนโรงเรียนเรียกไปสอบย้อนหลังที่โรงเรียนช่วงปิดเทอมเดือนเมษาปี 2011) แต่ไม่ได้เล่าปัญหาให้เจ้าของโรงเรียนฟัง

แล้วเราก็เข้าเรียนระดับมัธยมทั้งหมด 7 โรงเรียนในช่วงปี 2012-2015 เรียนไม่ได้สักที่ ไม่มีสมาธิทำการบ้าน ทำงานไม่เป็น ทำอะไรก็ช้า สมองช้า ช้าลงทุกอย่าง สมาธิสั้นไปแล้ว ฟุ้งซ่าน ไม่มีสติ กลัวสังคม

ช่วงที่เราหยุดเรียน 1 ปี ปี 2011 อยู่บ้าน ก็มีปัญหากับที่บ้านทุกวัน โดนด่าว่าโง่บ้าง เป็นบ้าบ้าง ไม่เรียนหนังสือบ้าง ไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่เราเจอมา เพราะเราไม่ได้เปิดใจเล่าให้ใครฟัง

ช่วงปี 2012 ที่เก็บตัวมีความคิดว่าน้ำมีเชื้อโรค สกปรก ทำให้เราไม่เอาตัวไปโดนน้ำ เพราะเป็นคนกลัวสกปรกเป็นทุนเดิม นั่นคืออาการหลงผิดของโรคจิตเภท (มีความคิด ความเชื่อ ไม่ตรงกับความเป็นจริง) เลยไม่ได้อาบน้ำเป็นเดือน หนีน้ำ กลัวแบบจริง ๆ จัง ๆ ไม่ได้ใช้มือไปโดนอะไรด้วยเพราะคิดว่าทุกอย่างมีเชื้อโรค คิดว่าคนที่ไม่ชอบเราเอาเชื้อโรคมาแพร่กระจายไปที่สิ่งของรอบ ๆ ตัวเรา เคยเผลอเอามือไปโดนน้ำ แล้วมีความคิดจะไปตัดมือข้างนั้นทิ้งเพราะคิดว่ามือข้างนั้นติดเชื้อโรคไปแล้ว จากนั้นผู้ปกครองเริ่มเห็นความผิดปกติ ตั้งแต่ไม่ไปเรียนหนังสือไปจนถึงเรื่องไม่อาบน้ำ-กลัวเชื้อโรค เลยส่งเข้าไปพบจิตแพทย์

ครั้งแรกที่พบจิตแพทย์โรงพยาบาลทำการมัดตัวไว้ที่เตียงในขณะที่อายุ 12 ปี แล้วลงมติว่าจะส่งตัวไปโรงพยาบาลศรีธัญญา ครั้งนั้นที่เราได้ยินก็น้ำตาไหล เพราะตอนนั้นเรามองโรงพยาบาลศรีธัญญาเป็นอีกแบบที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในความคิดของเราในตอนนั้น เราปฏิเสธไม่ได้ โดนเจาะเลือด ฉีดยานอนหลับประมาณ 10 เข็ม (2วัน) ระหว่างหาเตียงว่างที่โรงพยาบาล ก็ไม่ได้กินอะไรเลย ลืมตาขึ้นมาก็โดนฉีดยานอนหลับไปเรื่อย ๆ จนรถโรงพยาบาลมารับส่งตัวย้ายไปโรงพยาบาลอื่น

ครั้งแรกที่โดนรถส่งไปโรงพยาบาลศรีธัญญา โรงพยาบาลศรีธัญญาไม่รับและส่งต่อไปโรงพยาบาลจิตเวชอื่น วันแรกที่เข้าไปก็จะเจอพนักงานผู้หญิงคนนึง มองจิก ทุกครั้งที่เจอ เหน็บแนมด่าเราว่า สกปรกจริง ๆ เลยนะเธอ โสโครก ซกมก แล้วเราต้องแอดมิทที่นั่น 2 ครั้ง ร้องไห้ทุกคืน ไม่มีความสุขเลย โดนด่า ซ้ำเติมทุกวัน แต่ไม่กล้าเล่าให้หมอฟัง

เราไม่กล้าเปิดใจเรื่องที่โรงเรียนกับหมอและเรื่องที่คิดว่าน้ำมีเชื้อโรคสกปรก หมอแทบไม่รู้สาเหตุจากอาการเราเลยด้วยซ้ำ วินิจฉัยครั้งแรกว่าเป็นโรคซึมเศร้า+ย้ำคิดย้ำทำ เราก็ยังไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่โดนบูลลี่ที่โรงเรียนและที่บ้าน

ช่วงปี 2015-2017 พอเริ่มเปิดใจใช้ชีวิตพูดคุย ทำความรู้จักกับคนมากขึ้น ก็ไปคุยกับผู้ชาย 2 คน โรงเรียนชายล้วนแห่งหึ่ง ซึ่ง 2 คนนั้นเป็นเพื่อนกัน เสร็จแล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งในกลุ่มแคปรูปโปรไฟล์เราไปบูลลี่แล้วขำในกลุ่มไลน์ว่า แย่งปูแป่(ปูเป้) น้องกู แย่งกันทำไมวะ ผู้หญิงหน้า Here ขนาดนี้ พอแฟนผู้ชายคนนั้นที่บูลลี่เราชื่อเล่นเหมือนเรากลับเรียกว่าเปเป้คนสวย ชัดเจนว่าสองมาตรฐาน เราร้องไห้ รู้สึกไม่ดีกับหน้าตาร่างกายตัวเอง เลยขอเลิกคุยกับผู้ชาย 2 คนนั้นไป แล้วมีผู้ชายคนนึงสติไม่ค่อยเต็ม เหมือนแค้นที่เราขอเลิกคุยก็แอดมาซ้ำเติมว่าอะหน้า Here หน้าแบบคนจน แบบคน_(เหยียดเชื้อชาติ) มีเงินทำศัลยกรรมด้วยหรอวะ ได้ข่าวว่าบ้านจน หมอยังไม่กล้ารักษาหน้าเลย

หลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเรื่องที่โดนบูลลี่โรงเรียน+เหตุการณ์นี้ และเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ก็เข้ามาทำร้ายเรา ปี 2012 ช่วงที่ยังไม่มีอาการหลงผิดเรื่องน้ำ เราเดินอยู่แถว ๆ บ้าน ก็มีผู้ชายวัยเดียวกันมาบอกชอบ เสร็จแล้วก็มีเสียงผู้หญิงรุ่นเดียวกันตะโกนขึ้นมาว่า ชอบไปได้ไงวะหน้าก็อย่างกับปลวก พูดอยู่ 2-3 ครั้ง พูดเสียงดังตั้งใจให้เราได้ยิน เราเลยเริ่มรู้สึกแย่กับหน้าตาร่างกายตัวเองตั้งแต่อายุ 14 ปี คิดว่าหน้าตาร่างกายอวัยวะรูปร่างผิดปกติทุกสัดส่วน จนถึงตอนนี้วัย 26 ปี ก็คิดว่าหน้าตาร่างกายอวัยวะรูปร่างตัวเองผิดปกติ น่าเกลียดตลอดเวลา และยังมีเหตุการณ์อีกหลาย ๆ อย่างที่ถูกบูลลี่เรื่องหน้าตารูปลักษณ์ร่างกาย

ช่วงอายุ 18-23 เราเก็บตัวอยู่คนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว ไม่เล่นโซเชียล ไม่ให้ใครเห็นหน้าตาหรือความเคลื่อนไหว ไม่ถ่ายรูป ไม่มีภาพถ่ายสักภาพ ไม่ส่องกระจกให้สะท้อนเห็นตัวเอง เพราะกลัวตัวเอง กลัวสังคมมาก ๆ ถ้าจำเป็นต้องออกไปหรือให้ใครเห็นหน้า ก็จะใส่แมสก์อำพรางตัวตลอดเวลา เรียกได้ว่าไม่ได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเลย

อายุ 24 เริ่มกลับมารักษาอาการทางจิตเวชอีกครังพร้อมเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้หมอฟัง หมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) ขั้นรุนแรง มีความคิดความเชื่อไม่ตรงกับความเป็นจริง มีอาการหูแว่ว เห็นภาพหลอนในวัย 25 ปี ได้ยินเสียงคนมาด่า มาไล่ มาบูลลี่ เห็นภาพหลอนตัวเองเป็นตัวเงินตัวทอง สัตว์ประหลาด จนต้องพกผ้าปิดตา ต้องกินยาวันละ 16-20 เม็ด   ช่วงที่กินยามีผลข้างเคียงจากยาคือน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมา 20 กิโล ภายใน 8 เดือน แอดมิทวอร์ดจิตเวช 3 ครั้งใน 9 เดือน และต้องรักษาด้วยการทำ ECT หรือช็อตไฟฟ้า 1 เดือน (12 ครั้ง) และทำต่อเนื่องเดือนละ 1 ครั้ง

นี่แค่ปัญหาคร่าว ๆ ของชีวิตนะคะ ชีวิตยังมีปัญหา ผ่านอะไรมาอีกเยอะมากค่ะ เป็นกำลังใจทุกคนที่กำล้งมีปัญหาชีวิตค่ะ ผ่านไปด้วยกันนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่