
- ดูจบรู้สึก หดหู่ ขึ้นมาทันทีที่เห็นปัญหา มลพิษ ที่มนุษย์เรายังคงต้องเผชิญหน้าต่อไปด้วยความวิตกและตระหนักด้วยว่าเป็นเรื่องใกล้ลมหายใจเกินกว่าจะมองข้ามอีกแล้วว่าไม่ใช่หน้าที่หรือเรื่องที่กูจะต้องเป็นคนจัดการก็ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะฝุ่นควันก็ดี น้ำท่วมก็ดี แม้กระทั่งแผ่นดินไหวเหล่านี้ก็มาจากฝีมือการใช้ชีวิตของมนุษย์เราเองนั่นแหล่ะที่โอบอุ้มความสะดวกสบายทางวัตถุหรือความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนส่งผลกระทบไปยังสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือพืชไม้นานาชนิดทำให้ระบบนิเวศทางภูมิประเทศและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดกระทั่งการเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วยิ่งตอกย้ำให้เห็นแล้วว่าโลกของเราต่อจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
- แม้จะมีการพูดถึงการมาของโควิด-19 ขึ้นมาในช่วงท้ายก็ไม่ได้เป็น Keywords หลักในหนังสารคดีเรื่องนี้ เพราะถ้าไล่เรียง Timeline จากที่ดูไปกว่า 1 ชั่วโมง 9 นาที Situations จะเกิดก่อนหน้านี้ไม่ทราบแน่ชัดว่ากี่ปีในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ที่กำลังเผชิญกับปัญหาภาวะมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็น Keywords สำคัญ ที่กำลังปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งจากการดำเนินชีวิตของมนุษย์จนเผลอนึกถึงเรื่อง Silent Hell (2006) + The Mist (2007) ลอยเข้ามาในหัวทันทีที่หนังเปิดตัวด้วยภาพของชายคนหนึ่งกำลังเดินถอยหลังพ่นยาฆ่าแมลงในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งก่อนที่ควันจะค่อย ๆ จับตัวเป็นกลุ่มไปทีละนิดจนกลายเป็นควันมหึมาที่กำลังปกคลุมและบดบังทัศนียภาพรอบข้างในที่สุด

- แล้วความที่บรรยากาศโดยรอบหม่นหมองรอบทิศจนแสบตาเข้าจมูก จู่ ๆ ดันเผลอวูบไปดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวหนังเพิ่งออกตัวไปได้ 10 นาทีเองแท้ ๆ จนมาฟื้นขึ้นเอาตอนกำลังสัมภาษณ์เจ้าของโรงงานถึงความในใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร ? ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ? พอเริ่มคลำทางจากการสัมภาษณ์บุคคลแต่ละ Status ก็ดีหรือสภาพในเมืองก็ดีก็พอประมวลได้คร่าว ๆ ว่าตัวหนังมีชุดข้อมูลที่อยากจะนำเสนอมากมายผ่านบุคคลที่แวะเวียนเข้ามาสัมภาษณ์ความในใจผ่านหน้ากล้องมากมายจนจำไม่หมดอยู่แต่ความที่มีเวลาจำกัดที่ได้มาสั้นไปจึงทำให้มาสามารถนำเสนอข้อมูลได้ตามใจอยาก ถ้าเพิ่มเวลายืดออกไปอีกหน่อยคงจะเห็น Layers ในแต่ละแง่มุมที่ซ่อนอยู่ในประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเชื่อความศรัทธาในศาสนาอย่างอินเดียได้มากกว่านี้โดยเฉพาะวิธีการป้องกันและการจัดการสุขภาพประชาชนของภาครัฐ

- แล้วที่สลดคือมีกลุ่มคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ตามถนนแถมในนั้นมีทั้งเด็กและคนสูงอายุสูดดมกลิ่นควันที่ลอยมาจากท่อไอเสียก็ดีหรือควันจากฝุ่นก็ตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าความน่ากลัวของ Effects นี้มันไม่เลือกชนชั้นว่าใใครจนนี่สิที่มนุษย์เราควรต้องมาทบทวนและตระหนักจริง ๆ ซะทีว่ายัง OK กับสภาวะที่เป็นอยู่แบบนี้อยู่หรือเปล่า ? แม้มีคำในใจอยู่หมื่นล้านคำแต่การปรากฎตัวของนักข่าวสาวเป็นระยะอย่างน้อยนอกจากช่วยเป็นที่พึ่งต่อการเรียบเรียง Story ได้สะดวกแล้วยังเป็นกระบอกเสียงกระจายปัญหาสู่วงกว้างให้คนทั่วมุมโลกได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นกระทั่งความเพิกเฉยของผู้มีอำนาจที่ดันปล่อยไก่ออกมาให้เห็น
- ถึงมันจะยากไปสำหรับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยมที่มนุษย์เราจำเป็นต้องกิน ต้องใช้ตามกลไลของภาคอุตสาหกรรมที่ทุกสิ่งต้องเจริญเติบโตไปข้างหน้า แต่ถ้าทุกคนร่วมกันสร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวมกันคนละนิด อาทิ ลดการใช้ไฟพร่ำเพรื่อหรือลดใช้ถุงพลาสติกเพิ่มแล้วเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าใช้แก้วน้ำเยติแทนอย่างนี้ โดยไม่ไปผลักภาระให้เป็นหน้าที่คนใดคนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการ Save ทรัพยากรที่เหลืออยู่คู่กับโลกให้คนรุ่นต่อไปได้เห็นได้ใช้กันต่อไปโดยไม่ต้องได้ยินเสียงในหัวดังขึ้นมาเลยว่า พวกทำเห้อะไรอยู่ ? ทำไมปล่อยให้พวกกูมาเจอสภาพอย่างนี้วะ ?

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.172 Invisible Demons (2021) : เมืองหมอก หลอกปีศาจ
- ดูจบรู้สึก หดหู่ ขึ้นมาทันทีที่เห็นปัญหา มลพิษ ที่มนุษย์เรายังคงต้องเผชิญหน้าต่อไปด้วยความวิตกและตระหนักด้วยว่าเป็นเรื่องใกล้ลมหายใจเกินกว่าจะมองข้ามอีกแล้วว่าไม่ใช่หน้าที่หรือเรื่องที่กูจะต้องเป็นคนจัดการก็ในเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะฝุ่นควันก็ดี น้ำท่วมก็ดี แม้กระทั่งแผ่นดินไหวเหล่านี้ก็มาจากฝีมือการใช้ชีวิตของมนุษย์เราเองนั่นแหล่ะที่โอบอุ้มความสะดวกสบายทางวัตถุหรือความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจจนส่งผลกระทบไปยังสิ่งมีชีวิตอื่นไม่ว่าจะเป็นสัตว์หรือพืชไม้นานาชนิดทำให้ระบบนิเวศทางภูมิประเทศและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดกระทั่งการเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไปเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วยิ่งตอกย้ำให้เห็นแล้วว่าโลกของเราต่อจากนี้จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
- แม้จะมีการพูดถึงการมาของโควิด-19 ขึ้นมาในช่วงท้ายก็ไม่ได้เป็น Keywords หลักในหนังสารคดีเรื่องนี้ เพราะถ้าไล่เรียง Timeline จากที่ดูไปกว่า 1 ชั่วโมง 9 นาที Situations จะเกิดก่อนหน้านี้ไม่ทราบแน่ชัดว่ากี่ปีในกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย ที่กำลังเผชิญกับปัญหาภาวะมลพิษทางอากาศ ซึ่งเป็น Keywords สำคัญ ที่กำลังปกคลุมไปทั่วทุกหนแห่งจากการดำเนินชีวิตของมนุษย์จนเผลอนึกถึงเรื่อง Silent Hell (2006) + The Mist (2007) ลอยเข้ามาในหัวทันทีที่หนังเปิดตัวด้วยภาพของชายคนหนึ่งกำลังเดินถอยหลังพ่นยาฆ่าแมลงในสวนสาธารณะแห่งหนึ่งก่อนที่ควันจะค่อย ๆ จับตัวเป็นกลุ่มไปทีละนิดจนกลายเป็นควันมหึมาที่กำลังปกคลุมและบดบังทัศนียภาพรอบข้างในที่สุด
- แล้วความที่บรรยากาศโดยรอบหม่นหมองรอบทิศจนแสบตาเข้าจมูก จู่ ๆ ดันเผลอวูบไปดื้อ ๆ ทั้ง ๆ ที่ตัวหนังเพิ่งออกตัวไปได้ 10 นาทีเองแท้ ๆ จนมาฟื้นขึ้นเอาตอนกำลังสัมภาษณ์เจ้าของโรงงานถึงความในใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร ? ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ? พอเริ่มคลำทางจากการสัมภาษณ์บุคคลแต่ละ Status ก็ดีหรือสภาพในเมืองก็ดีก็พอประมวลได้คร่าว ๆ ว่าตัวหนังมีชุดข้อมูลที่อยากจะนำเสนอมากมายผ่านบุคคลที่แวะเวียนเข้ามาสัมภาษณ์ความในใจผ่านหน้ากล้องมากมายจนจำไม่หมดอยู่แต่ความที่มีเวลาจำกัดที่ได้มาสั้นไปจึงทำให้มาสามารถนำเสนอข้อมูลได้ตามใจอยาก ถ้าเพิ่มเวลายืดออกไปอีกหน่อยคงจะเห็น Layers ในแต่ละแง่มุมที่ซ่อนอยู่ในประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเชื่อความศรัทธาในศาสนาอย่างอินเดียได้มากกว่านี้โดยเฉพาะวิธีการป้องกันและการจัดการสุขภาพประชาชนของภาครัฐ
- แล้วที่สลดคือมีกลุ่มคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่ตามถนนแถมในนั้นมีทั้งเด็กและคนสูงอายุสูดดมกลิ่นควันที่ลอยมาจากท่อไอเสียก็ดีหรือควันจากฝุ่นก็ตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าความน่ากลัวของ Effects นี้มันไม่เลือกชนชั้นว่าใใครจนนี่สิที่มนุษย์เราควรต้องมาทบทวนและตระหนักจริง ๆ ซะทีว่ายัง OK กับสภาวะที่เป็นอยู่แบบนี้อยู่หรือเปล่า ? แม้มีคำในใจอยู่หมื่นล้านคำแต่การปรากฎตัวของนักข่าวสาวเป็นระยะอย่างน้อยนอกจากช่วยเป็นที่พึ่งต่อการเรียบเรียง Story ได้สะดวกแล้วยังเป็นกระบอกเสียงกระจายปัญหาสู่วงกว้างให้คนทั่วมุมโลกได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นกระทั่งความเพิกเฉยของผู้มีอำนาจที่ดันปล่อยไก่ออกมาให้เห็น
- ถึงมันจะยากไปสำหรับโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบทุนนิยมที่มนุษย์เราจำเป็นต้องกิน ต้องใช้ตามกลไลของภาคอุตสาหกรรมที่ทุกสิ่งต้องเจริญเติบโตไปข้างหน้า แต่ถ้าทุกคนร่วมกันสร้างจิตสำนึกต่อส่วนรวมกันคนละนิด อาทิ ลดการใช้ไฟพร่ำเพรื่อหรือลดใช้ถุงพลาสติกเพิ่มแล้วเปลี่ยนมาใช้ถุงผ้าใช้แก้วน้ำเยติแทนอย่างนี้ โดยไม่ไปผลักภาระให้เป็นหน้าที่คนใดคนหนึ่ง อย่างน้อยก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการ Save ทรัพยากรที่เหลืออยู่คู่กับโลกให้คนรุ่นต่อไปได้เห็นได้ใช้กันต่อไปโดยไม่ต้องได้ยินเสียงในหัวดังขึ้นมาเลยว่า พวกทำเห้อะไรอยู่ ? ทำไมปล่อยให้พวกกูมาเจอสภาพอย่างนี้วะ ?
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้