ก.ล.ต. ตอบปมร้อน ‘ทุนสีเทา’ รุกคืบตลาดหุ้น ?

ประเด็น “ธุรกิจสีเทา” หรือ “ทุนสีเทา” หรือ “เครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ” กลายเป็นปมร้อนแรงสำหรับประเทศไทยในขณะนี้ โดยมีการเปิดประเด็นจากสื่อต่างประเทศ และมีการเชื่อมโยงมายังภาคธุรกิจและบุคคลในประเทศไทยหลายราย ร้อนถึงหลาย ๆ บริษัทธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องออกมาปฏิเสธข่าวเป็นพัลวัน ขณะที่ล่าสุด นำมาสู่การลาออกของรัฐมนตรีอีกด้วย ซึ่งในมุมขององค์กรกำกับตลาดทุน ก็มีคำถามถึงทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ว่า จะดำเนินการกับเรื่องที่เกี่ยวข้องอย่างไร

ล่าสุด นายเอนก อยู่ยืน รองเลขาธิการและโฆษกสำนักงาน ก.ล.ต. ให้สัมภาษณ์ตอบคำถามถึงกรณีที่มีข่าวว่า บริษัทจดทะเบียน 2-3 แห่ง อาจมีความเกี่ยวข้องกับ “ทุนสีเทา” ว่า ประเด็นดังกล่าวต้องพิจารณาข้อเท็จจริงให้รอบคอบ เนื่องจากยังอยู่ในขั้นตอนของข่าวที่ไม่ชัดเจน ว่าเป็นไปตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ ซึ่งจำเป็นต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบที่ถูกต้อง ทั้งในมิติของกฎหมายว่าด้วยการฟอกเงินและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง

“บริษัทจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชนที่เปิดให้ประชาชนเข้ามาลงทุนได้ จึงมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลอย่างเสรี

ขณะเดียวกันกรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวังและซื่อสัตย์สุจริต เพื่อป้องกันความเสียหายต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น หากไปทำสิ่งใดที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเกี่ยวกับกระบวนการฟอกเงินจริง กรรมการต้องรับผิดชอบ เพราะถือเป็นเรื่องใหญ่ ไม่น่าจะนำกิจการไปสุ่มเสี่ยงในลักษณะนั้น”

นายเอนกกล่าวว่า ส่วนกรณีที่หากเกิดเหตุขึ้นแล้ว แต่กรรมการได้ลาออกไปก่อนการตรวจสอบ ก็ยืนยันว่า ก.ล.ต.ยังสามารถดำเนินการได้ เนื่องจากการลงโทษสามารถมีผลย้อนหลังได้ หากพบว่ามีการกระทำผิดในช่วงที่บุคคลนั้นดำรงตำแหน่งกรรมการ ต่อให้ลาออกไปแล้ว กระบวนการบังคับใช้กฎหมายของ ก.ล.ต.ยังมีผลอยู่ และกฎหมายอื่น เช่น กฎหมายฟอกเงิน ก็มีบทลงโทษที่รุนแรงกว่า เป็นต้น

ทั้งนี้ การกระทำผิดหน้าที่ กรรมการมีโทษตาม มาตรา 89/7 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่กำหนดให้กรรมการและผู้บริหารต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ระมัดระวัง และซื่อสัตย์สุจริต หากฝ่าฝืนจนก่อให้เกิดความเสียหาย มีโทษปรับไม่เกินจำนวนค่าเสียหายหรือประโยชน์ที่ได้รับ แต่ไม่ต่ำกว่า 500,000 บาท และตาม มาตรา 281/2 หากกระทำโดยทุจริต จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินสองเท่าของค่าเสียหายหรือประโยชน์ที่ได้รับ แต่ต้องไม่ต่ำกว่า 1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

เมื่อถามถึงการตรวจสอบกรณีข่าวที่มีความเชื่อมโยงกับ บจ. นายเอนกกล่าวว่า ก.ล.ต.มีหน้าที่กำกับดูแลตามกรอบกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการใช้อำนาจในการตรวจสอบต้องอ้างอิงถึงข้อสงสัยหรือพฤติกรรมที่อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเหล่านี้ ยกตัวอย่าง เช่น หากมีข้อสงสัยว่ามี “ทุนสีเทา” เข้ามาถือหุ้นใน บจ. หรือบริษัทหลักทรัพย์ในสัดส่วนที่เป็นส่วนใหญ่ ก็จะเข้ากรอบของมาตรา 246 ที่กำหนดให้ผู้ถือครองหลักทรัพย์ตั้งแต่ร้อยละ 5 ของสิทธิออกเสียงทั้งหมด ต้องรายงานการเปลี่ยนแปลงต่อ ก.ล.ต. หากไม่รายงาน ถือว่ามีความผิดและสามารถดำเนินการลงโทษได้

กรณีที่เห็นตามข่าว ก.ล.ต.ต้องตรวจสอบเป็นรายกรณีไป แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ามีการเข้าไปตรวจสอบหรือไม่ เพราะอยู่ในข้อจำกัดของกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ย้ำว่าหากพบพฤติกรรมหรือข้อสงสัยที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ก.ล.ต.จะมีการติดตาม ตรวจสอบ และดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างแน่นอน” นายเอนกกล่าว

นายเอนกกล่าวด้วยว่า เรื่องการฟอกเงินไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่โดยตรงของ ก.ล.ต. เพราะหน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงินคือ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อย่างไรก็ตาม หาก ก.ล.ต.พบธุรกรรมของบริษัทจดทะเบียนที่มีความผิดปกติ เช่น การจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงโดยไม่มีเหตุผลอันควร ก็จะดำเนินการส่งข้อมูลหรือประสานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทันที เพื่อให้หน่วยงานที่มีอำนาจดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

“ก.ล.ต.มีระบบติดตาม ตรวจสอบ และแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว” โฆษก ก.ล.ต.กล่าว

ด้าน นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง ชี้แจงในการแถลงลาออกจากตำแหน่งว่า การเข้าซื้อหุ้น 29% ของบริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส เมื่อปี 2564 ผ่านบริษัท Pilgrim Finansa เป็นการลงทุนที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ และได้รับการอนุมัติจากตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน ก.ล.ต. โดยธุรกรรมดังกล่าวเป็นลักษณะ Management Buyout โดยมีตนเอง และนายช่วงชัย นะวงศ์ ผู้บริหารของบริษัท ได้ร่วมกันลงทุน เพื่อพัฒนาบริษัทให้เติบโต มีผู้สนับสนุนทางการเงินจากธนาคารและกองทุนในสิงคโปร์ Capital Asia Investment (CAI) และ BIC Bank Lao ซึ่งเป็นธนาคารในลาวที่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจลาวและการไฟฟ้าลาว ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ BIC Bank Cambodia แต่อย่างใด

“หลังจากการปรับโครงสร้างบริษัทในช่วงปี 2564-2567 ได้ตัดสินใจขายหุ้นทั้งหมดให้คุณช่วงชัยและลาออกจากทุกตำแหน่งบริหาร และไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทอีกต่อไป”

ทั้งนี้ นายวรภัค ได้แถลงลาออกจากตำแหน่ง รมช.คลัง เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2568 ภายหลังจากได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อยกระดับการติดตามตรวจสอบธุรกรรมต้องสงสัย (คณะกรรมการ Connect the Dots) เมื่อวันที่ 20 ต.ค

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1907477

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่