F-100 Super Sabre ตำนานเหยี่ยวเหนือเสียงลำแรกของโลก

1. การกำเนิดของ F-100 Super Sabre และยุคเหนือเสียง:
F-100 Super Sabre ถูกส่งมอบให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ในปี 1953 ถือเป็นการเปลี่ยนจากจินตนาการสู่ความจริง
เป็นเครื่องบินปฏิบัติการลำแรกที่สามารถทำลายกำแพงเสียงได้ (ก่อนหน้านี้มีเพียงเครื่องบินทดลองเท่านั้น) และเปิดยุคสงครามทางอากาศเหนือเสียง
F-100 สร้างสถิติโลกด้านความเร็วครั้งสุดท้ายในยุค Subsonic และสถิติแรกในยุค Supersonic
มันเป็นเครื่องบินที่แบ่งระหว่างเครื่องบินขับไล่ไอพ่นยุคที่ 1 และ 2
F-100 เป็นหนึ่งในเครื่องบินตระกูล "Century Fighters" ซึ่งเป็นเครื่องบินเหนือเสียงชุดแรกที่ใช้การกำหนดชื่อรุ่นเป็นเลขหลักร้อย (F-100, F-105 ฯลฯ)
2. ปัญหาและชื่อเสียงในช่วงต้น:
แม้จะมีปัญหาเรื่องการลงจอดที่คล้ายกับการ "ตกแบบควบคุมได้" แต่ความไวในการตอบสนองและความน่าเชื่อถือในการบินก็ชนะใจนักบิน
F-100 ถูกเลือกใช้โดยทีมแสดงการบินผาดโผน Thunderbirds ตั้งแต่ปี 1956 ถึง 1969 ซึ่งพวกเขาบินรุ่นนี้ยาวนานกว่าเครื่องบินรุ่นอื่น ๆ
3. มรดกของ North American (ผู้ผลิต):
North American เป็นบริษัทที่มั่นคงและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1935
F-100 เป็นผลงานที่สานต่อตำนานของเครื่องบินรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทในสงครามโลกครั้งที่สองและเกาหลี ได้แก่ P-51 Mustang (สร้างกว่า 16,000 ลำ) และ F-86 Sabre
F-86 Sabre ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสงครามเกาหลี โดยสามารถเอาชนะ MiG-15 ของรัสเซียได้ (จากปัจจัยด้านเทคโนโลยี, การฝึกฝน, และยุทธวิธี)
4. การพัฒนาสู่เครื่องบินเหนือเสียง:
การพัฒนาเพื่อทำลายกำแพงเสียงเริ่มต้นในปี 1949 หลังจากประสบความสำเร็จกับ F-86 Sabre
การขยายขีดความสามารถของ F-86 เดิมเผยให้เห็นข้อจำกัด จึงต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ทำให้ F-100 เป็นเครื่องบินที่ใหญ่กว่ามาก
F-100 เป็นเครื่องบินรบหลัก (Supersonic Day Fighter) ที่ถูกสั่งเข้าสู่สายการผลิตอย่างรวดเร็วในปี 1951 โดยไม่มีการสร้างเครื่องบินทดลอง (X-aircraft) แต่ใช้เครื่องต้นแบบการผลิต (Y-plane) แทน
5. บทบาทที่เปลี่ยนไป (จากครองอากาศสู่โจมตี):
แม้จะถูกออกแบบมาเป็นเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ (Air Superiority Fighter) แต่ F-100 ก็พัฒนาความสามารถหลากหลายบทบาท (Multi-role) และพบว่ามีประโยชน์ในฐานะ เครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด (Fighter-Bomber)
ปีกถูกออกแบบใหม่เพื่อบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 6,000 ปอนด์บนเสาติดตั้ง 6 เสา
มีการทดลองติดตั้งอาวุธใหม่ เช่น ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่พื้น Bullpup (แม้จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและมีราคาสูง) แต่ระเบิดที่ไม่มีการนำวิถีก็ยังคุ้มค่ากว่า
ในช่วงสงครามจำกัด (Limited War) F-100 กลายเป็นอาวุธสนับสนุนสนามรบหลัก โดยมีบทบาทในการรักษาความเหนือกว่าทางอากาศ การขัดขวางเสบียงศัตรู และการสนับสนุนกองทัพบก
6. ปัญหาการออกแบบที่สำคัญและอุบัติเหตุ:
ในช่วงปี 1952 มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบสำคัญหลังเซ็นสัญญา ซึ่งรวมถึงการ ย่นแพนหางแนวตั้งให้สั้นลง ทำให้เกิดปัญหาการควบคุมที่ความเร็วสูงจนเครื่องหมุนและแตก (roll coupling problems)
หลังจากอุบัติเหตุใหญ่ 6 ครั้ง (นักบินเสียชีวิต 2 คน) F-100 ถูกสั่งห้ามบิน (Grounded) จนกระทั่งมีการแก้ไขโดยขยายแพนหางให้กลับสู่ขนาดเดิมและขยายปีก
ที่ความเร็วต่ำ เครื่องบินก็ไม่ให้อภัย (unforgiving) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่า "Sabre Dance" (การหมุน/ตกหลุมอากาศที่ความเร็วต่ำจากการแก้ไขที่ผิดพลาด)
ปัญหาการควบคุมความเร็วต่ำไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ นักบินต้องใช้การฝึกฝน ประสบการณ์ และการลงจอดด้วยความเร็วสูงเพื่อลดความเสี่ยง
มีการพัฒนารุ่นสองที่นั่ง (DF-model) สำหรับการฝึกฝนนักบิน ซึ่งรุ่นนี้มีอัตราการสูญเสียในอุบัติเหตุที่ไม่ใช่การรบสูงกว่าหนึ่งในสี่
7. ลักษณะทางเทคนิคและรุ่นต่างๆ:
F-100 แสดงถึงความต้องการของการบินเหนือเสียง ทั้งขอบปีกที่เฉียงและช่องดักอากาศที่คม
ใช้แพนหางแนวราบแบบแผ่นเต็ม (fully pivoting slab horizontal tail) และใช้สแลทขอบปีกหน้า (leading edge slats) แทนแฟลปด้านนอก
มีการติดตั้งความสามารถในการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศเพื่อเพิ่มพิสัยบิน
มีการสร้าง 3 รุ่นหลัก:
F-100A: รุ่นสกัดกั้น (Interceptor) - สร้าง 203 ลำ
F-100C: รุ่นขับไล่-ทิ้งระเบิด (Fighter-Bomber) - สร้าง 476 ลำ
F-100D: รุ่นโจมตีโดยเฉพาะ (Dedicated Attack Version) - สร้าง 1,274 ลำ
มีการสร้าง F-100 ทั้งหมด 2,294 ลำ (รวมรุ่นฝึก 2 ที่นั่งและต้นแบบ)
นักบินมักเรียกเครื่องบินลำนี้ว่า "Huns" ซึ่งเป็นคำย่อของ F-100

F-100 Super Sabre ตำนานเหยี่ยวเหนือเสียงลำแรกของโลก
F-100 Super Sabre ถูกส่งมอบให้กองทัพอากาศสหรัฐฯ ในปี 1953 ถือเป็นการเปลี่ยนจากจินตนาการสู่ความจริง
เป็นเครื่องบินปฏิบัติการลำแรกที่สามารถทำลายกำแพงเสียงได้ (ก่อนหน้านี้มีเพียงเครื่องบินทดลองเท่านั้น) และเปิดยุคสงครามทางอากาศเหนือเสียง
F-100 สร้างสถิติโลกด้านความเร็วครั้งสุดท้ายในยุค Subsonic และสถิติแรกในยุค Supersonic
มันเป็นเครื่องบินที่แบ่งระหว่างเครื่องบินขับไล่ไอพ่นยุคที่ 1 และ 2
F-100 เป็นหนึ่งในเครื่องบินตระกูล "Century Fighters" ซึ่งเป็นเครื่องบินเหนือเสียงชุดแรกที่ใช้การกำหนดชื่อรุ่นเป็นเลขหลักร้อย (F-100, F-105 ฯลฯ)
2. ปัญหาและชื่อเสียงในช่วงต้น:
แม้จะมีปัญหาเรื่องการลงจอดที่คล้ายกับการ "ตกแบบควบคุมได้" แต่ความไวในการตอบสนองและความน่าเชื่อถือในการบินก็ชนะใจนักบิน
F-100 ถูกเลือกใช้โดยทีมแสดงการบินผาดโผน Thunderbirds ตั้งแต่ปี 1956 ถึง 1969 ซึ่งพวกเขาบินรุ่นนี้ยาวนานกว่าเครื่องบินรุ่นอื่น ๆ
3. มรดกของ North American (ผู้ผลิต):
North American เป็นบริษัทที่มั่นคงและประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1935
F-100 เป็นผลงานที่สานต่อตำนานของเครื่องบินรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของบริษัทในสงครามโลกครั้งที่สองและเกาหลี ได้แก่ P-51 Mustang (สร้างกว่า 16,000 ลำ) และ F-86 Sabre
F-86 Sabre ประสบความสำเร็จอย่างสูงในสงครามเกาหลี โดยสามารถเอาชนะ MiG-15 ของรัสเซียได้ (จากปัจจัยด้านเทคโนโลยี, การฝึกฝน, และยุทธวิธี)
4. การพัฒนาสู่เครื่องบินเหนือเสียง:
การพัฒนาเพื่อทำลายกำแพงเสียงเริ่มต้นในปี 1949 หลังจากประสบความสำเร็จกับ F-86 Sabre
การขยายขีดความสามารถของ F-86 เดิมเผยให้เห็นข้อจำกัด จึงต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด ทำให้ F-100 เป็นเครื่องบินที่ใหญ่กว่ามาก
F-100 เป็นเครื่องบินรบหลัก (Supersonic Day Fighter) ที่ถูกสั่งเข้าสู่สายการผลิตอย่างรวดเร็วในปี 1951 โดยไม่มีการสร้างเครื่องบินทดลอง (X-aircraft) แต่ใช้เครื่องต้นแบบการผลิต (Y-plane) แทน
5. บทบาทที่เปลี่ยนไป (จากครองอากาศสู่โจมตี):
แม้จะถูกออกแบบมาเป็นเครื่องบินขับไล่ครองอากาศ (Air Superiority Fighter) แต่ F-100 ก็พัฒนาความสามารถหลากหลายบทบาท (Multi-role) และพบว่ามีประโยชน์ในฐานะ เครื่องบินขับไล่-ทิ้งระเบิด (Fighter-Bomber)
ปีกถูกออกแบบใหม่เพื่อบรรทุกน้ำหนักได้ถึง 6,000 ปอนด์บนเสาติดตั้ง 6 เสา
มีการทดลองติดตั้งอาวุธใหม่ เช่น ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่พื้น Bullpup (แม้จะไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรและมีราคาสูง) แต่ระเบิดที่ไม่มีการนำวิถีก็ยังคุ้มค่ากว่า
ในช่วงสงครามจำกัด (Limited War) F-100 กลายเป็นอาวุธสนับสนุนสนามรบหลัก โดยมีบทบาทในการรักษาความเหนือกว่าทางอากาศ การขัดขวางเสบียงศัตรู และการสนับสนุนกองทัพบก
6. ปัญหาการออกแบบที่สำคัญและอุบัติเหตุ:
ในช่วงปี 1952 มีการเปลี่ยนแปลงการออกแบบสำคัญหลังเซ็นสัญญา ซึ่งรวมถึงการ ย่นแพนหางแนวตั้งให้สั้นลง ทำให้เกิดปัญหาการควบคุมที่ความเร็วสูงจนเครื่องหมุนและแตก (roll coupling problems)
หลังจากอุบัติเหตุใหญ่ 6 ครั้ง (นักบินเสียชีวิต 2 คน) F-100 ถูกสั่งห้ามบิน (Grounded) จนกระทั่งมีการแก้ไขโดยขยายแพนหางให้กลับสู่ขนาดเดิมและขยายปีก
ที่ความเร็วต่ำ เครื่องบินก็ไม่ให้อภัย (unforgiving) โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาที่นำไปสู่เหตุการณ์ที่เรียกว่า "Sabre Dance" (การหมุน/ตกหลุมอากาศที่ความเร็วต่ำจากการแก้ไขที่ผิดพลาด)
ปัญหาการควบคุมความเร็วต่ำไม่เคยได้รับการแก้ไขอย่างสมบูรณ์ นักบินต้องใช้การฝึกฝน ประสบการณ์ และการลงจอดด้วยความเร็วสูงเพื่อลดความเสี่ยง
มีการพัฒนารุ่นสองที่นั่ง (DF-model) สำหรับการฝึกฝนนักบิน ซึ่งรุ่นนี้มีอัตราการสูญเสียในอุบัติเหตุที่ไม่ใช่การรบสูงกว่าหนึ่งในสี่
7. ลักษณะทางเทคนิคและรุ่นต่างๆ:
F-100 แสดงถึงความต้องการของการบินเหนือเสียง ทั้งขอบปีกที่เฉียงและช่องดักอากาศที่คม
ใช้แพนหางแนวราบแบบแผ่นเต็ม (fully pivoting slab horizontal tail) และใช้สแลทขอบปีกหน้า (leading edge slats) แทนแฟลปด้านนอก
มีการติดตั้งความสามารถในการเติมเชื้อเพลิงกลางอากาศเพื่อเพิ่มพิสัยบิน
มีการสร้าง 3 รุ่นหลัก:
F-100A: รุ่นสกัดกั้น (Interceptor) - สร้าง 203 ลำ
F-100C: รุ่นขับไล่-ทิ้งระเบิด (Fighter-Bomber) - สร้าง 476 ลำ
F-100D: รุ่นโจมตีโดยเฉพาะ (Dedicated Attack Version) - สร้าง 1,274 ลำ
มีการสร้าง F-100 ทั้งหมด 2,294 ลำ (รวมรุ่นฝึก 2 ที่นั่งและต้นแบบ)
นักบินมักเรียกเครื่องบินลำนี้ว่า "Huns" ซึ่งเป็นคำย่อของ F-100