"ดีแต่พิมพ์ ยิ้มแต่จอ"

ในโลกคอมเมนต์ที่ทุกคนเป็นคนดีหมด ดีจนบางทีเทวดายังต้องขอคำปรึกษาเรื่องศีลธรรมจากพวกเขา
ที่นั่น ไม่มีใครเสียงดัง ไม่มีใครโมโห ไม่มีใครเคยทำผิด มีแต่ผู้รู้ ผู้ตื่น และผู้พร้อมสั่งสอนคนอื่นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแบบ
“ผมแค่เตือนด้วยความหวังดีนะครับ” แต่พอปิดจอแล้วออกไปข้างนอก... น้ำเสียงเดียวกันนั้น กลายเป็นเสียงบีบแตรใส่คนข้ามถนน
มือที่พิมพ์คำว่า “อย่าทำแบบนั้นเลยครับมันไม่เหมาะสม” กลับเป็นมือเดียวกับที่แอบโยนขยะใส่ถังคนอื่น แล้วบอกตัวเองว่า “มันก็ไม่เยอะนี่นา”

ในคอมเมนต์ทุกคนรักความถูกต้อง แต่ในชีวิตจริง ความถูกต้องมักต้องหลีกทางให้ “ความสะดวกของฉัน”
เรามักสอนคนอื่นเรื่องมารยาท โดยไม่เคยทักท้วงตัวเองเรื่องนิสัย เรามักพูดว่า “โลกนี้มันแย่เพราะคนเห็นแก่ตัว”
แต่ในทุกความเห็นนั้น... ก็แอบมีคำว่า “ฉัน” อยู่ตรงกลางเสมอ โลกออนไลน์ทำให้เราดูมีคุณธรรมกว่าที่เป็น มีเมตตาในตัวอักษรมากกว่าการกระทำ
มีความกล้าที่จะตัดสินคนอื่นมากกว่ากล้าที่จะเปลี่ยนตัวเอง คนดีในคอมเมนต์มักพูดด้วยน้ำเสียงของนักบุญ แต่ในชีวิตจริงเขาอาจแค่คนที่อยากได้
“ความรู้สึกว่าฉันเหนือกว่า” เพราะการพิมพ์ว่า “น่าสงสารจังค่ะ” ง่ายกว่าเดินเข้าไปช่วย การเขียนว่า “อย่าทำแบบนี้เลยมันไม่ถูกต้อง”
ง่ายกว่าการยอมรับว่าฉันเองก็เคยทำ บางทีโลกคอมเมนต์ก็เหมือนเวทีใหญ่ ที่คนมากมายพยายามแสดงความดีให้คนดู แต่ลืมไปว่า... ความดีจริงๆ
มันไม่มีผู้ชม และไม่ต้องมีใครกดไลก์

บางที “คนดีในคอมเมนต์” อาจไม่ใช่คนชั่วในชีวิตจริง แต่คือคนที่ อยากเป็นดี มากกว่าที่ อยากเป็นจริง
เพราะในโลกออนไลน์ ความดีไม่ต้องเหนื่อย แค่พิมพ์ก็ได้บุญ แค่กดหัวใจ ก็ถือว่ามีเมตตา แค่เขียน “ขอให้เจอแต่สิ่งดีๆนะคะ” ก็รู้สึกเหมือนตักบาตรทุกเช้า
เราสร้างวัดจำลองในพื้นที่คอมเมนต์แล้วใช้ศีลธรรมแบบสำเร็จรูปบูชาอัตตาของตัวเอง โลกจึงเต็มไปด้วย “คนดีที่ไม่มีเวลา” ไม่มีเวลาเก็บขยะที่ตัวเองโยน ไม่มีเวลาเปิดประตูให้ใคร แต่มีเวลามากพอจะพิมพ์คำสอนยาวสามบรรทัด บางทีศีลธรรมในยุคนี้... อาจไม่ได้สูญหายมันแค่ถูกย้ายที่
จากหัวใจไปอยู่ในนิ้วโป้ง และเมื่อถึงวันหนึ่งที่สังคมเราต้องพังลง เชื่อว่าคงไม่มีใครผิด เพราะในคอมเมนต์ "ทุกคนเป็นคนดีหมดแล้ว"
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่