กสม.เผยผลสอบ ชี้ชัด กองทัพ ใช้ไอโอโจมตีคนเห็นต่างจริง ให้เลิกละเมิดสิทธิ์ทันที
.
.
กสม.เผยผลสอบ ชี้ชัด กองทัพ ใช้ไอโอโจมตีคนเห็นต่างจริง ให้เลิกละเมิดสิทธิ์ทันที
.
วันที่ 24 ตุลาคม นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้องรายหนึ่งเมื่อเดือนเมษายน 2568 ระบุว่า ผู้ร้องได้รับทราบข้อมูล กรณีเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2568 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชนได้อภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี โดยกล่าวอ้างว่า หน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้จัดตั้งคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ภายใต้ศูนย์ปฏิบัติการร่วมทหารและตำรวจ เพื่อร่วมกันจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลและองค์กรเฝ้าระวังที่มีความสำคัญ และกระทบต่อสถาบันระดับสูง เช่น นักการเมือง นักวิชาการ นักกิจกรรมทางการเมือง เยาวชน และองค์กรเฝ้าระวัง นอกจากนี้ ยังใช้ข้อมูลโจมตีกลุ่มบุคคลและองค์กรดังกล่าว จึงขอให้ตรวจสอบ
.
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้รับรองสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว และเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งการกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าวไม่ว่าในทางใด ๆ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ตราขึ้นเพียงเท่าที่จำเป็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เพื่อคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อป้องกันสุขภาพของประชาชนเท่านั้น อันสอดคล้องตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ที่ไทยเป็นภาคี
.
จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า หน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) ได้ปฏิเสธการจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวังเพื่อปฏิบัติการข่าวสาร(Information Operations: IO) กับประชาชน นักการเมือง นักกิจกรรมทางการเมือง หรือองค์กรใด โดยในส่วนของกองทัพมุ่งสื่อสารประชาสัมพันธ์ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และสร้างภูมิคุ้มกันข่าวปลอม
.
อย่างไรก็ดี จากการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลจากพยานเอกสาร พยานบุคคล ข้อมูลและความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิ มีมูลอันเชื่อได้ว่า หน่วยงานผู้ถูกร้องมีการปฏิบัติการข่าวสารอันเป็นการสนธิปฏิบัติการต่างๆ ที่มุ่งสร้างผลกระทบหรือมีอิทธิพลต่อข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ กระบวนการคิด หรือกระบวนการตกลงใจของฝ่ายตรงข้ามหรือกลุ่มเป้าหมายอื่นๆ ซึ่งข้อเท็จจริงตามเอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. ลับที่สุด ปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างของคณะทำงาน การกำหนดยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร ปีงบประมาณ 2568 กำหนดแผนงานแต่ละเดือน มีนโยบายและข้อสั่งการในการร่วมกันกำหนดบัญชีกลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ชื่อ วันเดือนปีเกิด เลขประจำตัวประชาชน ที่อยู่อาศัย ข้อมูลการศึกษา หมายเลขทะเบียนรถ พฤติกรรม และทัศนคติทางการเมือง รวมถึงข้อมูลการจัดกิจกรรมขององค์กรเฝ้าระวังและพรรคการเมือง และมีการสุ่มรหัสผ่าน เจาะบัญชีโดยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติซึ่งเป็นกำลังพลในสังกัดที่ใช้บัญชีในสื่อสังคมออนไลน์และไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว เพื่อตอบโต้ข้อเท็จจริง สร้างภาพจำ และติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มเป้าหมาย
.
นอกจากนี้ เอกสารของ กอ.รมน. ลับมาก ระบุประมาณการภัยคุกคามด้านความมั่นคงภายในราชอาณาจักร รอบ 1 ปี ห้วง 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 กำหนดรายชื่อบุคคลที่แสวงหาผลประโยชน์โดยแอบอ้างสถาบัน เช่น นายกรัฐมนตรี อดีตนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการพรรคการเมือง กลุ่มบุคคลที่มีแนวคิดปฏิรูปกฎหมาย ทัศนคติและเจตนาที่เป็นปฏิปักษ์ และกลุ่มเห็นต่างทางการเมือง โดยในเอกสารปรากฏชื่อผู้อำนวยการสำนักการข่าว กอ.รมน. เอกสารของคณะทำงานความมั่นคงพิเศษ ทบ. ลับที่สุด จึงเป็นการกำหนดแผนการดำเนินงานต่อกลุ่มเป้าหมายไว้อย่างชัดเจน เป็นการยากที่หน่วยงานอื่นจะเข้าถึงข้อมูลและกระทำในลักษณะนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงรูปแบบและวิธีปฏิบัติการของหน่วยงานฝ่ายความมั่นคงโดยเฉพาะ จึงเชื่อได้ว่าเอกสารดังกล่าวจัดทำขึ้นภายในหน่วยงานของผู้ถูกร้อง
.
อย่างไรก็ดี การจัดทำบัญชีเป้าหมายกลุ่มบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวัง หน่วยงานของรัฐจะกระทำได้ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้ มีเงื่อนไข และขอบเขตที่ชัดเจน มาตรการที่ใช้จะต้องชอบด้วยกฎหมายและได้สัดส่วน ดังเช่นพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และการแพร่ขยายอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง พ.ศ. 2559 แต่ในกรณีนี้ผู้ถูกร้องได้นำข้อมูลส่วนบุคคลและข้อมูลการจัดกิจกรรมขององค์กรเฝ้าระวัง ซึ่งมีความเห็นต่างทางการเมืองมาจัดทำบัญชี จึงมีลักษณะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งถือเป็นการจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมาย โดยไม่ปรากฏบทบัญญัติของกฎหมายให้อำนาจผู้ถูกร้องดำเนินการ
.
นอกจากนี้ การที่ผู้ถูกร้องนำนโยบาย ยุทธศาสตร์ และแผนปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร โดยให้เจ้าหน้าที่ในสังกัดนำข้อมูลที่เก็บรวบรวมไว้ไปใช้วิเคราะห์ ติดตามความเคลื่อนไหวทางกายภาพและสื่อสังคมออนไลน์อย่างเป็นขั้นตอนและมีระบบ รวมทั้งตรวจสอบข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายเพื่อใช้ในการปฏิบัติด้านไซเบอร์ เพื่อตอบโต้และเผยแพร่ข้อเท็จจริง และสร้างกระแสบนสื่อสังคมออนไลน์ ด้วยการใช้ถ้อยคำด้อยค่าและสร้างภาพจำเชิงลบต่อบุคคลหรือองค์กรเป้าหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะให้กระทำได้
.
รวมทั้งไม่ปรากฏหลักเกณฑ์และมาตรฐานในการกำกับการปฏิบัติงานที่รัดกุมเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการกำหนดลักษณะของบุคคลหรือองค์กรที่ต้องเฝ้าระวัง หรือวิธีปฏิบัติในการติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล ดังนั้น การกระทำดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกร้องแทรกแซงสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเกินสมควรแก่เหตุ ทั้งที่หน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ให้หลักประกันสิทธิและเสรีภาพ รักษาความสงบเรียบร้อยและความสมดุลระหว่างความมั่นคงของรัฐกับการใช้สิทธิและเสรีภาพของประชาชน ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า การที่ผู้ถูกร้องจัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวังเป็นการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล และใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีบุคคลและองค์กรดังกล่าวเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
.
ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2568 จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะต่อกระทรวงกลาโหม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะประธานสภากลาโหม ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงและประมวลผล กรณีหน่วยงานของรัฐฝ่ายความมั่นคง (ผู้ถูกร้อง) จัดทำบัญชีกลุ่มเป้าหมายบุคคลหรือองค์กรเฝ้าระวัง และใช้ข้อมูลเพื่อโจมตีบุคคลและองค์กร เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณา โดยใช้ข้อมูลของรายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ประกอบการพิจารณา และให้สั่งการเน้นย้ำและกำชับหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ในสังกัดว่าในการกำหนดมาตรการหรือวิธีการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมหรือการรักษาความปลอดภัย จะต้องคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนควบคู่ไปด้วย อีกทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เป็นการจำกัดหรือแทรกแซงสิทธิหรือเสรีภาพของบุคคลจะต้องมีฐานของกฎหมายให้อำนาจไว้เป็นการเฉพาะและเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วน
.
นอกจากนี้ ให้ยกเลิกการจัดทำบัญชีบุคคลและองค์กรเฝ้าระวัง หรือปฏิบัติการในลักษณะเฝ้าระวังและติดตามความเคลื่อนไหวของบุคคล เพียงเพราะบุคคลดังกล่าวนั้นแสดงความคิดเห็นหรือแสดงออกทางการเมืองด้วย
.
.
เท้ง ชี้ประเทศไทยจะต้องเป็นตัวตั้งตัวตี ปราบสแกมเมอร์-ทุนเทา ในเวทีอาเซียนซัมมิท
.
เท้ง ชี้ประเทศไทยจะต้องเป็นตัวตั้งตัวตี ปราบสแกมเมอร์-ทุนเทา ในเวทีอาเซียนซัมมิท
.
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน.) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ
.
ปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศไทยมากที่สุดตอนนี้ คือกรณีสแกมเมอร์และเครือข่ายฟอกเงินเทา ที่กำลังเข้าครอบงำประเทศไทย ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ไขได้โดยกลไกภายในของไทย เพราะ มีสภาพการกระทำผิด และการไหลเวียนของเงินครอบคลุมเป็นเครือข่ายระดับข้ามประเทศ
.
ทีมไทยแลนด์เองก็เพิ่งประสบความสำเร็จ ชนะโหวตในการผลักดันการแก้ปัญหานี้ให้เป็นวาระเร่งด่วน ในเวทีรัฐสภาโลก(IPU) ที่นำโดยประธานวันมูหะมัดนอร์ มะทา, รังสิมันต์ โรม และ กัณวีร์ สืบแสง เป็นตัวแทนรัฐสภาไทยไปร่วมประชุม และจะมีการแถลงรายละเอียดอย่างเป็นทางการในวันที่ 29 ตุลาคมนี้
ดังนั้น โอกาสที่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กำลังจะเดินทางไปร่วมประชุมอาเซียนซัมมิท ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ในช่วงวันที่ 26-28 ตุลาคมนี้ จึงเป็นโอกาสทองที่ไทยจะได้ใช้เวทีนี้ จัดการภัยคุกคามสแกมเมอร์
.
นายณัฐพงษ์ ระบุว่า ตนมีข้อเสนอว่า ทีมไทยแลนด์ ก็ควรใช้เวทีอาเซียน ริเริ่มบทบาทนำในการดำเนินการเกี่ยวกับการปราบปรามสแกมเมอร์ด้วยวิธีการที่เป็นรูปธรรมดังต่อไปนี้
.
1. เสนอตัวเป็นเจ้าภาพในการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ในภูมิภาค ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในหลายประเทศทั่วโลก โดยไทยจะตั้ง Special Jointed Taskforce ต้านสแกมเมอร์ ประสานความร่วมมือใน 3 ประเด็น ได้แก่
1.1 Information-sharing ขยายผลการสอบเส้นเงิน เพื่ออายัดทรัพย์และป้องปราม การฟอกเงิน
1.2 ประสานตำรวจสากลและตำรวจแต่ละประเทศ ขยายผล ดำเนินคดีอาญาต่อผู้เกี่ยวข้อง
1.3 ประสานญาติ/ผู้เสียหายในแต่ละประเทศเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อค้ามนุษย์โดยเร็วและเป็นธรรม
.
2. นอกจากการประสานความร่วมมือกับชาติอาเซียน โดยเฉพาะสิงคโปร์ ซึ่งให้ความสำคัญกับการปราบปรามการฟอกเงิน ไทยยังสามารถใช้เวทีนี้ในการแสดงเจตจำนงว่าต้องการร่วมมือกับสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ และจีน ในฐานะประเทศที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก และเริ่มการสอบสวนกรณีสแกมเมอร์ไปแล้ว โดยอาจเสนอให้มีการใช้กลไก ICRG ของ FATF ในการตรวจติดตามการปรับปรุงมาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินของกัมพูชา และจะได้มั่นใจว่าหากกัมพูชาไม่มีการปรับปรุง จะถูกพิจารณาให้อยู่ในบัญชีสีเทา
JJNY : กสม.เผยผลสอบชี้ชัด กองทัพใช้ไอโอ│เท้งชี้ไทยต้องเป็นตัวตั้งตัวตี│"ไอซ์ รักชนก"กำชับธรรมนัส│Saab ปรับเพิ่มคาดการณ์
1.2 ประสานตำรวจสากลและตำรวจแต่ละประเทศ ขยายผล ดำเนินคดีอาญาต่อผู้เกี่ยวข้อง
1.3 ประสานญาติ/ผู้เสียหายในแต่ละประเทศเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเหยื่อค้ามนุษย์โดยเร็วและเป็นธรรม