"คนเราจะรวยมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับจำนวนสิ่งของที่เขาสามารถสละได้ โดยไม่รู้สึกเดือดร้อน" เฮนรี่ ดี.ธอโร
จะเป็นอย่างไร ถ้าวันหนึ่งเกิดเชื้อไวรัสประหลาดที่ทำให้ฟันเรืองแสง และทำให้เสียชีวิตได้ ในข้อยกเว้นที่ว่าไวรัสนี้จะแพร่กระจายเฉพาะในหมู่คนที่ "รวย" เท่านั้น.. แน่นอนความโกลาหลย่อมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และโลกต้องกลับตาลปัตร เมื่อต่อไปนี้คนรวยจะต้องเป็นผู้ถูกไล่ล่าจับตัวมากักกันไว้ เพื่อไม่ให้โรคระบาดออกไปเป็นวงกว้าง ดังนั้น พวก "คนรวย" เหล่านี้จะหาวิธีจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างไร..
สิ่งที่ชอบหลังจากดูหนังแล้วก็คือ สารตั้งต้นทางความคิดของหนังเรื่องนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่ดีเหมือนกันครับ หนังพยายามพูดถึงเรื่องระบบเศรษฐกิจแบบเสรี เรื่องของทุนนิยม ซึ่งผูกติดกับคำกล่าวที่ถูกเขียนขึ้นโดย เฮนรี่ ดี.ธอโร นักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ชาวอเมริกัน ที่เขียนอยู่ในหนังสือเรื่อง Walden ซึ่งถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ.1854 พูดถึงการกลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแนบชิดกับธรรมชาติ กลับไปหาคุณค่าดั้งเดิมของหยาดเหงื่อและการใช้แรงงาน
นอกจากนี้ หนังยังกล่าวถึงเรื่องความสำคัญของคำว่า "ครอบครัว" เวลาและความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูก ซึ่งต้องแลกกับการสร้างฐานะและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวให้ดีขึ้น รวมถึงความรักแบบคู่รัก และการวัดใจกันเมื่อถึงเวลาเป็นเวลาตาย การพูดไปถึงเรื่ององค์กรการกุศล และการบริจาคเงินของพวกเศรษฐีเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ต่าง ๆ ลามไปถึงชีวิตความยากลำบากของผู้อพยพที่ต้องการแสวงหาชีวิตใหม่ แต่กลับถูกปฏิเสธ และปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมจากชาติที่เจริญกว่า ไปจนถึงความพยายามในการสร้างสังคมใหม่ที่ทุกคนแบ่งปันซึ่งกันและกัน แต่สังคมแบบนี้จะยั่งยืนหรือไม่ ทั้งหมดนี้คำตอบอยู่ในหนังทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าสารจำนวนมากมายมหาศาลถูกบรรจุลงในหนังความยาวเพียงแค่เกือบ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ และนั่นก็คือข้อด้อยที่ผมไม่ชอบของหนังเรื่องนี้ และจะพูดถึงในส่วนต่อไป อ้อ! ส่วนที่ชอบอีกอย่าง คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหนังดำเนินเรื่องเร็ว ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่ แม้บางช่วงจะรู้สึกว่าเร็วไป จนจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ตาม
ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ อย่างที่กล่าวไปครับ สารจำนวนมากมายถูกส่งออกมาจากบทของหนังเรื่องนี้ ทำให้หัวข้อต่าง ๆ ที่หนังต้องการนำเสนอถูกแตะเพียงอย่างละเล็กละน้อย และค่อนข้างสะเปะสะปะ ช่วงแรกของหนังกับช่วงที่สองนั้น เหมือนไปคนละทิศละทาง รวมทั้งทิศทางของหนังที่ออกมานั้น ไม่เปิดโอกาสให้คนดูคิดต่างหรือตีความ แต่หนังเลือกที่จะสรุปแต่ละหัวข้อของสารในแบบชี้นำไปในแนวทางที่หนังต้องการ
นอกจากนี้ ปมต่าง ๆ รวมถึงเหตุผลและผลลัพธ์ที่หนังนำเสนอ กลับไม่ถูกคลี่คลาย แต่หนังเลือกที่จะทิ้งปมไปเลย เช่น สาเหตุที่มาที่ไป และจุดสิ้นสุดในวงกว้างของเชื้อไวรัสประหลาด รวมถึงบทสรุปของตัวละครแต่ละตัวก็ถูกบอกเล่าเพียงผิวเผิน และเหตุการณ์บางอย่างในหนัง ก็ไม่สามารถจับจุดอะไรได้เลย ว่าทำไมต้องเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นมา
อีกอย่าง คือ การใช้มุมกล้องถ่ายทำแบบ Handheld Shot ในหลาย ๆ ฉาก ทั้งที่บางฉากนั้นไม่จำเป็นเลย ก็ทำให้ผมซึ่งเป็นคนดูรู้สึกเวียนหัวมากกว่าจะอินไปกับเหตุการณ์
สรุป Rich Flu ไวรัสล้างพันธุ์อีลีท เป็นหนังที่มีสารตั้งต้นที่ดี แต่สารที่ว่ามานั้นกลับมีมากมายหลายหัวข้อ จนทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ง กอปรกับบทที่ค่อนข้างหลวม ทำให้ทุกอย่างดูสะเปะสะปะ ช่วงแรกกับช่วงสุดท้ายของหนังเหมือนไปคนละทิศคนละทาง ถ้าถามว่าดูได้มั้ย ก็ดูได้ครับ แต่ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมค่อนข้างผิดหวังกว่าที่คาดไว้ครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ
Rich Flu ไวรัสล้างพันธุ์อีลีท.. ใครไปดูมาแล้วบ้าง ชอบ ไม่ชอบ อย่างไรกันบ้างครับ
"คนเราจะรวยมากแค่ไหน ขึ้นอยู่กับจำนวนสิ่งของที่เขาสามารถสละได้ โดยไม่รู้สึกเดือดร้อน" เฮนรี่ ดี.ธอโร
จะเป็นอย่างไร ถ้าวันหนึ่งเกิดเชื้อไวรัสประหลาดที่ทำให้ฟันเรืองแสง และทำให้เสียชีวิตได้ ในข้อยกเว้นที่ว่าไวรัสนี้จะแพร่กระจายเฉพาะในหมู่คนที่ "รวย" เท่านั้น.. แน่นอนความโกลาหลย่อมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และโลกต้องกลับตาลปัตร เมื่อต่อไปนี้คนรวยจะต้องเป็นผู้ถูกไล่ล่าจับตัวมากักกันไว้ เพื่อไม่ให้โรคระบาดออกไปเป็นวงกว้าง ดังนั้น พวก "คนรวย" เหล่านี้จะหาวิธีจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างไร..
สิ่งที่ชอบหลังจากดูหนังแล้วก็คือ สารตั้งต้นทางความคิดของหนังเรื่องนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างจะแปลกใหม่ดีเหมือนกันครับ หนังพยายามพูดถึงเรื่องระบบเศรษฐกิจแบบเสรี เรื่องของทุนนิยม ซึ่งผูกติดกับคำกล่าวที่ถูกเขียนขึ้นโดย เฮนรี่ ดี.ธอโร นักเขียนและนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ ชาวอเมริกัน ที่เขียนอยู่ในหนังสือเรื่อง Walden ซึ่งถูกตีพิมพ์ขึ้นในปี ค.ศ.1854 พูดถึงการกลับไปใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายแนบชิดกับธรรมชาติ กลับไปหาคุณค่าดั้งเดิมของหยาดเหงื่อและการใช้แรงงาน
นอกจากนี้ หนังยังกล่าวถึงเรื่องความสำคัญของคำว่า "ครอบครัว" เวลาและความรักที่พ่อแม่มีให้กับลูก ซึ่งต้องแลกกับการสร้างฐานะและการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนในครอบครัวให้ดีขึ้น รวมถึงความรักแบบคู่รัก และการวัดใจกันเมื่อถึงเวลาเป็นเวลาตาย การพูดไปถึงเรื่ององค์กรการกุศล และการบริจาคเงินของพวกเศรษฐีเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ต่าง ๆ ลามไปถึงชีวิตความยากลำบากของผู้อพยพที่ต้องการแสวงหาชีวิตใหม่ แต่กลับถูกปฏิเสธ และปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมจากชาติที่เจริญกว่า ไปจนถึงความพยายามในการสร้างสังคมใหม่ที่ทุกคนแบ่งปันซึ่งกันและกัน แต่สังคมแบบนี้จะยั่งยืนหรือไม่ ทั้งหมดนี้คำตอบอยู่ในหนังทั้งหมด
จะเห็นได้ว่าสารจำนวนมากมายมหาศาลถูกบรรจุลงในหนังความยาวเพียงแค่เกือบ 2 ชั่วโมงเท่านั้นเองครับ และนั่นก็คือข้อด้อยที่ผมไม่ชอบของหนังเรื่องนี้ และจะพูดถึงในส่วนต่อไป อ้อ! ส่วนที่ชอบอีกอย่าง คือ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหนังดำเนินเรื่องเร็ว ทำให้ไม่รู้สึกเบื่อเท่าไหร่ แม้บางช่วงจะรู้สึกว่าเร็วไป จนจับต้นชนปลายไม่ถูกก็ตาม
ส่วนที่ไม่ชอบก็คือ อย่างที่กล่าวไปครับ สารจำนวนมากมายถูกส่งออกมาจากบทของหนังเรื่องนี้ ทำให้หัวข้อต่าง ๆ ที่หนังต้องการนำเสนอถูกแตะเพียงอย่างละเล็กละน้อย และค่อนข้างสะเปะสะปะ ช่วงแรกของหนังกับช่วงที่สองนั้น เหมือนไปคนละทิศละทาง รวมทั้งทิศทางของหนังที่ออกมานั้น ไม่เปิดโอกาสให้คนดูคิดต่างหรือตีความ แต่หนังเลือกที่จะสรุปแต่ละหัวข้อของสารในแบบชี้นำไปในแนวทางที่หนังต้องการ
นอกจากนี้ ปมต่าง ๆ รวมถึงเหตุผลและผลลัพธ์ที่หนังนำเสนอ กลับไม่ถูกคลี่คลาย แต่หนังเลือกที่จะทิ้งปมไปเลย เช่น สาเหตุที่มาที่ไป และจุดสิ้นสุดในวงกว้างของเชื้อไวรัสประหลาด รวมถึงบทสรุปของตัวละครแต่ละตัวก็ถูกบอกเล่าเพียงผิวเผิน และเหตุการณ์บางอย่างในหนัง ก็ไม่สามารถจับจุดอะไรได้เลย ว่าทำไมต้องเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นมา
อีกอย่าง คือ การใช้มุมกล้องถ่ายทำแบบ Handheld Shot ในหลาย ๆ ฉาก ทั้งที่บางฉากนั้นไม่จำเป็นเลย ก็ทำให้ผมซึ่งเป็นคนดูรู้สึกเวียนหัวมากกว่าจะอินไปกับเหตุการณ์
สรุป Rich Flu ไวรัสล้างพันธุ์อีลีท เป็นหนังที่มีสารตั้งต้นที่ดี แต่สารที่ว่ามานั้นกลับมีมากมายหลายหัวข้อ จนทำให้ไม่สามารถเข้าถึงได้อย่างลึกซึ้ง กอปรกับบทที่ค่อนข้างหลวม ทำให้ทุกอย่างดูสะเปะสะปะ ช่วงแรกกับช่วงสุดท้ายของหนังเหมือนไปคนละทิศคนละทาง ถ้าถามว่าดูได้มั้ย ก็ดูได้ครับ แต่ก็เป็นหนังอีกเรื่องที่ผมค่อนข้างผิดหวังกว่าที่คาดไว้ครับ
ใครได้ไปดูมาแล้วบ้าง คิดเห็นอย่างไรมาแชร์กันได้นะครับ