ทำไม Bitcoin ถึง “เปลี่ยนโลกการเงิน” อย่างสิ้นเชิง

ช่วงนี้เรามักได้ยินข่าวว่า “ราคาทองขึ้น หุ้นเทคเฟ้อ แม้แต่ Bitcoin ก็เฟ้อ หนี้ของรัฐบาลทั่วโลกพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆแบบกู่ไม่กลับ” ขณะที่เงินดอลลาร์ที่ทั่วโลกถือเป็นทุนสำรอง กำลังเสื่อมค่าลงอย่างต่อเนื่อง
ไม่ใช่เพราะใครคนเดียว แต่เพราะการพิมพ์เงินจำนวนมหาศาลที่ดำเนินมาหลายสิบปี ระบบการเงินโลกจึงเริ่มเปลี่ยนจากรากฐาน
“ดอลลาร์” ที่ครองอำนาจเกือบ 100 ปีหลังสงครามโลก กำลังเข้าสู่ยุคใหม่



🔄 Bitcoin คือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนระบบการเงินอย่างไร

ในประเทศไทย หลายคนอาจไม่รู้สึกว่ามันจำเป็น เพราะการโอนเงินผ่านมือถือรวดเร็วอยู่แล้ว แต่ในความจริง ระบบหลังบ้านของธนาคารยังซับซ้อนมาก —
การโอนเงิน 10 บาทจาก A ไป B ที่เห็นเสร็จในไม่กี่วินาที จริง ๆ แล้วเป็นเพียง “การบันทึกชั่วคราว” และจะเคลียร์ยอดกันจริงตอนจบวัน

แต่ถ้าเป็น Bitcoin การโอนข้ามโลกใช้เวลาเพียงไม่กี่สิบนาที และเป็น “การโอนจริง” ที่ตรวจสอบได้โดยไม่มีตัวกลาง
ระบบนี้จึงสามารถทำให้การโอนข้ามประเทศที่เคยใช้เวลาหลายวัน เหลือเพียงไม่กี่นาที

Bitcoin คือการเปลี่ยนผ่านเหมือนยุคที่คนเริ่มใช้ “รถแทนม้า” หรือ “ไฟฟ้าแทนเทียนไข”


❓แล้วทำไมยังใช้ซื้อของเล็ก ๆ อย่างหมูปิ้งไม่ได้?

ถ้าจะทำก็ทำได้ แต่ไม่นิยม เพราะตอนนี้คนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจหรือยังไม่เชื่อมั่นในระบบใหม่นี้ และตลาดยังเล็กเกินไป ยังไม่อยู่ในระดับเดียวกับระบบเงินทั่วโลก แต่เมื่อมูลค่าตลาดเติบโตจนใกล้เคียงกับระบบการเงินเดิม การใช้งานในชีวิตจริงจะตามมาเอง


🔥3 ปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ Bitcoin กลายเป็นคู่แข่งของ “เงิน” และ “ทองคำ”

1. 🧱 การควบคุมเงินของประชาชน (Global Control on Savings)

หลายประเทศเริ่มใช้ระบบ “Digital ID” และ “เงินดิจิทัลของรัฐ (CBDC)” เพื่อตรวจสอบและควบคุมการใช้จ่ายของประชาชน ไม่ใช่แค่จีนนะ อย่างไทยก็มีการคุมบัญชีม้าจริงและม้าเทียม คุมปริมาณการโอนแต่ละวัน เวียดนามก็มีบัญชีที่ถูกระงับ อังกฤษเริ่มใช้ระบบdigital ID รัฐหักเงินจากบัญชีได้เลยถ้าจ่ายภาษีช้า แนวโน้มนี้เกิดทั่วโลก รวมถึงในเอเชียและยุโรป Bitcoin จึงถูกมองว่าเป็น “ทางเลือกเสรีภาพทางการเงิน” ที่ไม่ขึ้นกับรัฐบาลใด


2. 🌍 ความต้องการจากทั่วโลก (Rising Global Demand)

ประเทศ บริษัท และกองทุนขนาดใหญ่เริ่มทยอยถือ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรอง ในระบบมีเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น
>>ปัจจุบันสถาบันการเงินใหญ่ (เช่น ETF) ถืออยู่กว่า 1 ล้านเหรียญ
>>บริษัทเอกชนทั่วโลกถืออีกกว่า 1 ล้านเหรียญ
>>รัฐบาลหลายประเทศถือรวมกันราว 600,000 เหรียญ
>>และมีเหรียญที่ “สูญหายถาวร” ไปแล้วราว 4–5 ล้านเหรียญ
นั่นหมายความว่ากว่า 35% ของ Bitcoin ทั้งหมดอยู่ในมือคนที่ไม่ขายง่าย ๆ แล้ว

สถาบันเข้ามาเพราะเห็นอนาคตของระบบที่คนสามารถ ซื้อขายหุ้น ที่ดิน หรือสินทรัพย์ใด ๆ ข้ามประเทศได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านธนาคาร โบรกเกอร์ หรือคนกลางอีกต่อไป


3. 💎 ปริมาณจำกัด (Supply Scarcity)
Bitcoin ถูกออกแบบให้มีจำนวนจำกัด ไม่สามารถ “พิมพ์เพิ่ม” ได้ เมื่อความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่จำนวนคงที่
ราคาจึงมีแนวโน้มสูงขึ้นตามหลักเศรษฐศาสตร์ ตลาดในอนาคตอาจไม่ผันผวนรุนแรงเหมือนในอดีตเพราะสภาพคล่องจะเพิ่มขึ้นและมีผู้เล่นสถาบันมากขึ้น
(สีม่วงคือ จำนวน Bitcoin ที่ค่อยๆหายไปจากระบบ)
เครดิต: https://youtu.be/HzX2Yf7eSk8?si=G35vYv8VFYWRNxOr

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่