KEY POINTS
ก.ล.ต. เดินหน้าภารกิจเข้ม สร้าง "ซิเคียวริตี้บูโร" ป้องกันหนี้เน่า คุมเข้ม Short Selling - Margin Loan
พร้อมยกระดับธรรมาภิบาลด้วยเทคโนโลยี AI และ SupTech
สร้างตลาดทุนโปร่งใส แข็งแกร่ง และเป็นธรรม
ภารกิจพลิกโฉมตลาดทุน: จากวิกฤติสู่การสร้างความเชื่อมั่น
ในฐานะรองเลขาธิการ และ โฆษก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) "เอนก อยู่ยืน" ย้ำชัดเจนภารกิจ ก.ล.ต.ในการขับเคลื่อนมาตรการสำคัญหลายประการเพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและความโปร่งใสในตลาดทุนไทย
การทำงานของ ก.ล.ต. มุ่งเน้นการสร้างกลไกป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้น หลังเกิดเหตุการณ์สำคัญอย่างเคส บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ซึ่ง ก.ล.ต. ตระหนักดีว่า การบริหารจัดการความเสี่ยงด้านสินเชื่อและการซื้อขายที่ซับซ้อนถือเป็นหัวใจสำคัญของการกำกับดูแล ดังนั้น ก.ล.ต. จึงได้เร่งปรับปรุงหลักเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้การให้กู้ยืมมีความเหมาะสมและลดความเสี่ยงต่อบริษัทหลักทรัพย์ (บล.)
สร้าง "ซิเคียวริตี้บูโร" ป้องกันหนี้เน่าในระบบ
หนึ่งในโครงการที่มีความคืบหน้าอย่างชัดเจนและเป็นมาตรการป้องกันโดยตรงหลังกรณี MORE คือการผลักดัน "Securities Data Exchange Platform (SDEP)" หรือที่เรียกกันว่า "ซิเคียวริตี้บูโร"
โดยระบบ SDEP นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจมีช่องทางสำหรับนำส่งและตรวจสอบข้อมูล "วงเงินซื้อขายหลักทรัพย์ของลูกค้า" ระหว่างกัน การที่ผู้ประกอบธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าที่จำเป็นและเพียงพอ จะช่วยในการพิจารณากำหนดและทบทวนวงเงินสินเชื่อได้อย่างเหมาะสมต่อความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า
ก.ล.ต. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจต้องตรวจสอบข้อมูลลูกค้าระหว่างกันในการกำหนดวงเงิน ซึ่งคาดหวังว่ามาตรการนี้จะสามารถลดความเสี่ยงของระบบลงได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยคาดว่าจะมีการทดสอบระบบ SDEP ภายในเดือน พ.ย.นี้ และเริ่มนำมาใช้จริงได้ในช่วงไตรมาส 1/2569
คุมเข้ม Short Selling - Margin Loan
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการซื้อขายหลักทรัพย์และลดความเสี่ยง ก.ล.ต. ได้ดำเนินการควบคู่กันหลายด้าน
1. Short Selling (ขายชอร์ต) ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้บริษัทหลักทรัพย์รับคำสั่งขายชอร์ตจากลูกค้าที่ยืนยันการจัดหาแหล่งยืมหุ้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลการขายชอร์ต โดยให้ผู้ลงทุนที่ไม่ส่งคำสั่งตามเกณฑ์มีความรับผิดตามกฎหมาย
ที่สำคัญคือ การเพิ่มกลไกให้สามารถติดตามผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจบัญชีแบบไม่เปิดเผยชื่อ (Omnibus Account)
2. Margin Loan (สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์) ก.ล.ต. ปรับปรุงหลักเกณฑ์ดูแล margin loan ของโบรกเกอร์ โดยปรับลดเพดานการปล่อยกู้ลงเหลือไม่เกิน 4 เท่าของส่วนของผู้ถือหุ้น จากเดิมที่กำหนดไว้ 5 เท่า
ข้อมูล ณ เดือน ก.ย.68 พบว่า โบรกเกอร์ทั้งอุตสาหกรรมมี margin loan รวม 4.87 หมื่นล้านบาท และมีการวางหลักประกันรวม 174,403 ล้านบาท ถือยังสูงกว่ามูลหนี้ถึง 3.58 เท่า
3. ติดตาม Program Trading ก.ล.ต. ยังคงติดตามและประเมินผลมาตรการดูแล Program Trading ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์ฯ
ยกระดับธรรมาภิบาลและบังคับใช้กฎหมายด้วย IA
การสร้างความมั่นใจไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่การซื้อขาย แต่ยังรวมถึงความโปร่งใสของบริษัทจดทะเบียนและการบังคับใช้กฎหมาย
รายงาน Share Pledging มีการเสนอแก้กฎหมายกำหนดหน้าที่ให้ผู้บริหารและกรรมการบริษัทจดทะเบียนต้องรายงานการก่อภาระผูกพันในหลักทรัพย์ (Share Pledging)ในจำนวนที่มีนัยสำคัญ เช่น การนำหุ้นไปวางเป็นหลักประกัน เพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนสำหรับการตัดสินใจลงทุน ซึ่งคาดว่าจะมีโอกาสเห็นการบังคับใช้ภายในปี 2569
เพิ่มอำนาจ Gatekeeper ก.ล.ต. ยังได้เสนอแก้กฎหมายเพิ่มอำนาจในการกำกับดูแลผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับตลาดทุน (gatekeeper) เช่น ผู้สอบบัญชี ที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทจัดอันดับเครดิต
เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. เป็นพนักงานสอบสวน เพื่อให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายในคดีที่มีผลกระทบสูง (high impact) รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้มีการเสนอแก้ไขกฎหมายให้เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต. มีอำนาจเป็นพนักงานสอบสวนในคดีเหล่านี้
ใช้ SupTech และ AI ก.ล.ต. มุ่งมั่นที่จะสร้างความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสให้กับตลาดทุน โดยประสานความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์ฯ และนำเทคโนโลยี (SupTech) และข้อมูล AI มาช่วยในการดำเนินการ เพื่อเพิ่มความรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ ในการตรวจจับ การกำกับดูแล และการบังคับใช้กฎหมาย
ภายใต้การขับเคลื่อนของ ก.ล.ต. กำลังสร้างเกราะป้องกันหลายชั้นให้กับตลาดทุนไทย เพื่อให้เป็นตลาดที่น่าเชื่อถือ โปร่งใส และเป็นธรรมสำหรับผู้ลงทุนทุกคน
ก.ล.ต. จุดพลุ "ซิเคียวริตี้บูโร" ป้องกันหนี้เน่า คุมเข้ม Short Selling - Margin Loan สร้างเกราะคุ้มกัน-คืนเชื่อมั่น